๑๘

บุรุษต่างศักดิ์และต่างวัยรวมทั้งสิ้น ๑๖ นาย นั่งล้อมรอบโต๊ะยาวรี บริโภคอาหารร่วมกัน ผู้เป็นทั้งเจ้าของบ้านและเจ้าของงานนี้คือหลวงธุรกิจกำจร

ตามปกติคุณหลวงผู้นี้มีนิสัยชังความเงียบเหงา รักความสนุกสนานเฮฮา การเชิญเพื่อนมาเลี้ยงที่บ้านคราวละหลายคน จึงเป็นธรรมดาที่สุด แต่เฉพาะคราวนี้ การเลี้ยงมิได้มีขึ้นเพื่อความสนุกรื่นเริงระหว่างเจ้าของบ้านกับแขกเท่านั้น หากได้มีเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ที่ได้ร่วมสำนักเรียนเดียวกัน และจะได้ร่วมทุนร่วมแรงกันประกอบความเจริญให้แก่สำนักเล่าเรียนของตน กล่าวคือ ตั้งสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนศุภวิทยาการเป็นขั้นต้น และจะได้ขยายกิจการของสมาคมให้กว้างขวางถึงกับร่วมทุนสร้างและซ่อมโรงเรียนนี้ให้ใหญ่โต จนเป็นสำนักศึกษาที่สำคัญ

บุรุษทั้ง ๑๖ นาย ได้เริ่มต้นเจรจาถึงกิจการของสมาคมโดยละเอียดตั้งแต่เวลา ๑๗.๓๐ นาฬิกาเศษ จนถึงเวลา ๒๐ นาฬิกา ได้ผลคือร่างข้อบังคับของสมาคมเสร็จสรรพ พร้อมที่จะเปิดรับสมาชิกได้ในทันทีที่จะจดทะเบียนแล้ว นอกจากนี้ยังได้กำหนดไว้ว่า ภายหลังที่ได้รับสมาชิกแล้วครบหนึ่งเดือน สมาคมจะได้จัดให้มีละครเก็บเงินสมทบทุนของสมาคมเพื่อจะได้ลงมือซ่อมโรงเรียน เชื่อมั่นในกำลังทรัพย์ส่วนของตน และความสามารถในการวิ่งเต้นที่ตนเคยใช้ได้ผลอยู่เสมอ ประกอบกับไว้ใจในกำลังดวงจิตและกำลังความสามัคคีแห่งเพื่อนร่วมสถานศึกษา ซึ่งตนได้พยายามติดต่ออยู่ตลอดเวลา ๒-๓ เดือนนี้ หลวงธุรกิจ ฯ มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า การที่ได้เปิดสมาคมนี้ขึ้นจักเป็นผลสำเร็จยังความเจริญให้เกิดแก่โรงเรียนศุภวิทยาการ และยังประโยชน์ให้เกิดแก่กุลบุตรกุลธิดาอีกมากหลาย

ในเวลาที่เจ้าของบ้านได้รวบช้อนส้อมวางไว้ในจานเป็นคนสุดท้าย และผู้รับใช้กำลังยกอาหารชุดคาวไปจากโต๊ะ ขุนประเสริฐวรรณกิจอาจารย์โรงเรียนศุภวิทยาการ จึงลุกยืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสั่นเล็กน้อยด้วยความปลาบปลื้มและตื้นตันใจ

“ขอให้พวกเราที่เป็นลูกหนี้บุญคุณของโรงเรียนศุภวิทยาการจงดื่มให้พรแก่นายกสมาคมของเรา ขอให้ท่านเจริญ เจริญ เจริญด้วยประการทั้งปวง ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เวลานี้ไม่ใช่แต่พวกเราที่นั่งอยู่ในที่นี้เท่านั้น ที่จะปีติและกตัญญูต่อการกระทำอันน่าสรรเสริญของท่าน แม้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้นว่าปู่ของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งเคยเป็นทั้งศิษย์และอาจารย์ของโรงเรียนนี้และท่านอื่น ๆ อีกหลายท่าน ก็คงจะพลอยปิติด้วยกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายจงตั้งใจอัญเชิญท่านที่สิ้นชีวิตไปแล้ว แม้วิญญาณจะสถิตอยู่แห่งใดก็ขอให้มาช่วยเราอำนวยพรให้แก่คุณหลวงธุรกิจกำจร ขอให้ท่านเจริญ ! เจริญ ! เจริญ !”

เสียงปรบมือดังกราว ! แล้วถ้วยแชมเปญทั้ง ๑๕ ถ้วยก็เคลื่อนจากโต๊ะขึ้นจรดกับริมฝีปากบุรุษทั้ง ๑๕ นาย

เงียบเสียงปรบมือเสียงเก้าอี้เคลื่อนที่ และพูดพึมพำสนองพจน์ขุนประเสริฐวรรณกิจแล้ว หลวงธุรกิจ ฯ จึงลุกขึ้นยืน สีหน้าแดงเรื่อด้วยความเบิกบานใจ กระแอมครั้งหนึ่งแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดังนักแต่แจ่มใสและมีกังวานหนักแน่นตามวิสัยของผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองย่อมปราศจากความสะทกสะท้านในเมื่อจะทำกิจนานัปการ

“ขอบพระคุณท่านทุก ๆ ท่าน ขอบพระคุณท่านที่ได้พากันให้พรข้าพเจ้า ขอบคุณท่านที่ได้รับคำเชื้อเชิญของข้าพเจ้า พากันมาประชุมพร้อมอยู่ในที่นี้ และขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ได้ให้ความเชื่อถือข้าพเจ้า การงานทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ดำริขึ้น ถ้าแม้ว่าท่านทั้งหมดที่นั่งอยู่ในที่นี้ มิได้ให้ความเห็นพ้องและช่วยเหลือตามกำลังแล้ว อย่าว่าแต่ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงข้าพเจ้าเท่านี้ ถึงแม้จะเป็นนารายณ์มีสี่กร ถือตรี คทา จักร สังข์ ก็ไม่อาจที่จะทำการนี้ให้ลุล่วงไปได้ เพราะฉะนั้นเพื่อสนองคุณของท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีแรงทำงานการได้แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่เฉยเมยต่อการประสานงานที่ท่านและข้าพเจ้าได้ช่วยกันก่อขึ้นนี้เลย บัดนี้ขอให้เราทั้งหลายจงมาตั้งสัตยาธิษฐาน ขอให้งานของเราจงเป็นผลสำเร็จ และจงดื่มให้แก่ความสำเร็จแห่งงานของเรา ขอให้งานของเราจงเจริญ ! เจริญ ! เจริญ !”

เสียงปรบมือและเสียงสนองคำพูดอีกพักหนึ่ง และเมื่อแขกทั้งหมดวางถ้วยแชมเปญลงแล้ว เจ้าของบ้านยังหาได้นั่งลงไม่ มือขวาถือถ้วยแชมเปญชูไว้ตรงหน้า พูดสืบไปว่า

“บัดนี้ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านขุนประเสริฐวรรณกิจเป็นพิเศษ ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายพร้อมกันดื่มเพื่อความเจริญแห่งท่านขุน ซึ่งหมายถึงความเจริญแห่งโรงเรียนศุภวิทยาการด้วย--” เสียงปรบมือ เป็นครั้งที่ ๓ “และในที่สุด ขอให้ท่านดื่มเพื่อความสุข ความสวัสดีของพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้”

เสียงมโหรีทำเพลงมหาฤกษ์ลอยตามลม จากสนามหญ้าเข้ามาในห้องเหมาะกับเวลาที่บุรุษทั้ง ๑๖ นายพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน และมองดูกันด้วยสายตาแสดงความเป็นมิตร แชมเปญที่อยู่ในถ้วยก็สิ้นไป ครั้นแล้วเขาทั้งหมดกลับนั่งลง บริโภคของหวานต่ออีก

เมื่อเสร็จการบริโภคแล้ว หลวงธุรกิจ ฯ จึงนำแขกลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วชี้ชวนให้เขาเหล่านั้นพากันไปยังที่ ๆ จัดไว้รับรอง คือตรงมุขหน้าตึกใกล้กับวงมโหรี

ในที่นั้นมีสุภาพสตรี ๓ นางนั่งอยู่ก่อนแล้ว คือภรรยาเจ้าของบ้านกับน้องสาวและนางช้อย เมื่อหมู่บุรุษมาถึง นางธุรกิจ ฯ ก็ยิ้มรับและเชิญให้นั่งด้วยวาจาและท่าทางของผู้ที่คุ้นต่อการรับแขกเป็นอย่างดี ส่วนจันทรนั้นลุกจกที่เลี่ยงไปแอบอยู่ที่มุมบันได

หลวงศักดิ์รณชิต หลวงธุรกิจ ฯ พระอรรถคดี ฯ ๓ คนนี้เดินอยู่หลังคนอื่น เขาทั้ง ๓ คนกำลังมีเรื่องพูดโต้ตอบค้างกันอยู่ แต่ร่างนั้นแน่งน้อยในเครื่องแต่งกายสืนวล มีอำนาจแรงกล้าดึงดูดเอาใจบุรุษคนหนึ่งใน ๓ คนออกไปเสียจากเรื่องที่เขากำลังเจรจา เพราะฉะนั้นเมื่อหลวงธุรกิจพูดจบประโยค และทวนคำซ้ำว่า “ได้ไหมคุณพระ?” บุรุษผู้นั้นจึงเกือบสะดุ้ง แววตาส่อพิรุธในการที่ตนตกอยู่ในความมืดแปดด้าน ตอบส่งออกไปว่า

“ได้?”

“ดีจริง ! เป็นพระคุณอย่างยิ่ง” หลวงธุรกิจ ฯ พูดต่อไป “โปรดเร็วหน่อยนะครับ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”

“อ้า--” พระอรรถคดี ฯ พึมพำ “โปรดอธิบายอีกที จะให้ผม—อื้อ--ทำอะไรบ้าง?”

“เท่าที่เขาบอกให้ทำก็ตั้งใจจำไว้ให้ดีเถอะ” หลวงศักดิ์รณชิตขัดขึ้น “เดี๋ยวพ่อก็จะเอาไปลืมทิ้งเสียเท่านั้น อั๊วละไม่ไว้ใจแกไอ้เรื่องขี้ลืมระยำหมานี่แหละ”

“ขออย่าให้เป็นอย่างคุณหลวงศักดิ์ ฯ ว่า และขอให้เร็วหน่อยเท่านั้น”

พระอรรถคดีกลืนน้ำลายโดยอาการลำบาก “จะให้เร็วแค่ไหน?” เขาถามเสียงพิกล

“เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ตามปกติคุณพระต้องการเวลานานเท่าใด”

“แล้วแต่งาน” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “งานมากก็ต้องการเวลามาก งานน้อยก็ต้องการเวลาน้อย”

“เดือนหนึ่งแล้วไหว?” หลวงศักดิ์ ฯ ถาม

“อะไร?” วิชัยย้อนถาม วางหน้าตาเฉย

“ก็แต่งบทละครน่ะซี” หลวงศักดิ์ ฯ ขึ้นเสียง “พูดกันอยู่อย่างนี้ยังถามอีกได้”

สีหน้าวิชัยดีขึ้นถนัด รีบตอบชัดถ้อยชัดคำว่า

“ก็ราว ๆ นั้น อย่างเร็ว ๒ อาทิตย์ อย่างช้า ๒ เดือน ข้อสำคัญอยู่ที่ว่ามีเวลาได้แต่งไหม ถ้าได้แต่งละก็แล้วเร็ว ถ้าไม่ได้แต่งก็ไม่รู้จักแล้วอยู่นั่นเอง”

เวลานี้หลวงศักดิ์ ฯ กับหลวงธุรกิจ ฯ นั่งลงรวมหมู่กับคนอื่นแล้ว แต่วิชัยหานั่งไม่ มือเท้าพนักเก้าอี้หันมาทางคู่สนทนา แต่สายตาพุ่งไปทางอื่น

“ผมได้อ่านเรื่องที่คุณพระแต่งให้ข้าราชการที่สงขลาเล่นแล้ว เวลานี้กำลังอยากจะอ่านเรื่องที่แต่งให้ข้าราชการที่จันทบุรี ต้นฉบับของคุณพระยังมีอยู่ไหมครับ?”

วิชัยถอนสายตาจากมุมบันไดชั่วขณะ นิ่งคิดแล้วตอบว่า

“ไม่แน่ว่าจะมีหรือไม่ จะต้องค้นดูก่อน” รวบรวมสติที่ลอยไปไกลได้คืนมาแล้ว วิชัยพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงขึ้น “นี่แน่ะครับ ผมจะบอกอะไรให้ ละครของเราจะแสดงเป็นงานใหญ่ในกรุงเทพพระมหานคร จะให้ผมเป็นคนแต่ง จะใช้ได้หรือครับ ผมออกหวั่นใจเหลือเกิน เราควรจะเลือกหาเรื่องละครที่มีอยู่แล้ว เช่นพระราชนิพนธ์ของท่านที่มีชื่อเสียงมิดีกว่าหรือ”

ไม่ดี หลวงธุรกิจ ฯ ตอบโดยเร็วโดยไม่ต้องยั้งคิด เพราะเหตุว่าได้คิดไว้ก่อนแล้ว บทละครที่ท่านผู้มีชื่อเสียงแต่งไว้ใคร ๆ ก็รู้เรื่องเสียหมด ผมต้องการให้คนที่มาดูละครของเรารู้สึกทึ่งทั้งในละคร และทึ่งทั้งการแสดงบทบาทด้วย ไม่ใช่ให้มาทึ่งแต่การแสดงบทบาทเท่านั้น เพราะถ้าเขาทึ่งในเรื่อง เขาคอยดูเรื่อง เขาจับผิดคนแสดงได้น้อยกว่าที่เขาจะมานั่งคอยดูการแสดงของเราโดยเฉพาะ อีกอย่างหนึ่งเรื่องที่พวกเราแต่งกันเองแต่ง ถึงตัวละครจะเล่นบทไม่ดีแท้ทีเดียว ก็คงไม่ค่อยมีใครจับได้ ส่วนเรื่องที่ท่านแต่งกันไว้แล้ว คนอื่นเขาเคยเล่นแล้ว เรามาเล่นผิดเพี้ยนไปบ้างก็จะถูกติอย่างเงยหน้าไม่ขึ้น จริงไหมครับ คุณหลวงเห็นอย่างไร”

หลวงศักดิ์ ฯ พยักหน้า ยังมิทันได้กล่าวตอบ พอหลวงธุรกิจ ฯ มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินมาแต่ไกลก็ทักขึ้นว่า

“นั้นดูเหมือนคุณชัดใช่ไหมคุณพระ น้องชายคุณพระใช่ไหม?”

วิชัยมองตามสายตาเจ้าของบ้าน เห็นนายทหารหนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินมา ครั้นใกล้จะถึงมุมตึกเขามีอาการชะงักหยุดยืนมองดูหมู่แขก วิชัยก็ชูมือขึ้นเป็นเชิงทักทายแล้วยิ้มและพูดกับเจ้าของบ้านว่า

“ชักงงแล้วตาชัด เห็นคนมาก !”

หลวงธุรกิจๆ ลุกขึ้นโดยเร็ว เดินไปรับผู้มาถึงใหม่พามาเข้าหมู่แขกที่นั่งอยู่ก่อน เสียงนายร้อยตรีชัดพูดค่อนข้างดังว่า

“ผมกลับจากสนามกอล์ฟแล้วไปบ้าน ไม่พบใครสักคน ได้ความจากคนใช้ว่าพี่ใหญ่กับพี่ช้อยมาที่นี่เลยตามมาบ้าง ไม่ทราบมีงานพิเศษ ขอรับประทานโทษผมทำตัวยุ่มย่ามมาก”

“โอ๊ะ ไม่เป็นไร ไม่ยุ่มย่ามเลย” เจ้าของบ้านตอบอย่างหนักแน่น

“งานพิเศษเรื่องประชุมตั้งสมาคมของเราสำเร็จไป แล้วเวลานี้เหลือแต่การรื่นเริงระหว่างมิตร ว่าแต่คุณยังไม่ได้รับประทานข้าวไม่ใช่หรือ?”

“รับประทานแล้วครับ เพราะผมทราบว่าผมจะมาไม่ทัน”

“ยังงั้นก็เชิญนั่ง เชิญฟังมโหรี เชิญเล่นมโหรี คุณเล่นอะไรได้บ้าง?”

“ผมเล่นได้แต่หีบเสียง เป็นมือขวา” ชัดตอบพลางหัวเราะ “เพราะฉะนั้นคืนนี้เห็นจะได้เป็นผู้ฟัง อ้อ--คุณอุไรอยู่นั่นเอง ผมต้องไปแสดงความเคารพเสียก่อน” พูดแล้วชัดก็ออกเดิน

วิชัยฉวยโอกาสตามน้องไปด้วย แต่หาหยุดในที่ ๆ ชัดหยุดไม่ เดินเลยไปยังบันไดหิน จันทรยังยืนอยู่ที่เดิม วิชัยเข้าไปใกล้หล่อนแล้วพูดว่า

“เบื่อพวกผู้ชายเอะอะหนวกหูหรือ เห็นยืนแอบอยู่ที่นี่นานแล้ว”

หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ นั่งลงบนบันได แล้วจึงตอบเสียงอ่อนและแช่มช้า

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ดิฉันนั่งมานานแล้วจนเมื่อย อยากจะเหยียดขาเสียบ้าง นอกจากนั้น นั่งที่นี่ฟังมโหรีได้ถนัดกว่าที่โน่น เพราะไม่มีเสียงพูดดังแทรกเสียงดนตรี”

วิชัยมองดูที่ว่างข้างตัวหล่อนอย่างกระหาย แต่ความเคร่งในธรรมเนียมยังครอบงำเขาอยู่ จึงหาอาจลดตัวลงนั่งยังที่นั้นไม่ จันทรพูดขึ้นอีกว่า

“ดิฉันนึกว่ายืนอยู่ที่นี่จะไม่มีใครสังเกตเห็นแล้วนะคะ คุณพระยังเห็นจนได้”

อยากจะตอบแก่หล่อนว่า “สาอะไรกับระยะเพียง ๓-๔ ศอกเท่านั้นเขาหรือจะไม่เห็นหล่อน ฯลฯ” แต่ก็อีกนั่นแหละ ละอายต่อความมีอายุพ้นวัยหนุ่มคะนอง จะใช้คำหวานโลมหญิงสาวให้กระดากใจ วิชัยจึงพูดเรื่อย ๆ ว่า

“เธอเข้าใจที่นี่มืดนักหรือ หรือคิดว่าตัวเธอเล็กจนใครเขามองไม่เห็น ฉันเห็นเธอตั้งแต่ออกประตูห้องกินข้าว จะเดินมาหาก็ยังพูดธุระไม่แล้ว อยากจะถามว่าวันนี้เหนื่อยมากไหม เพราะว่าอาหารทุกอย่างอร่อย และโต๊ะกินข้าวก็จัดงดงามมาก”

จันทรหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากแดงโดยธรรมชาติเผยอขึ้นจากกันทำให้มองเห็นฟันซี่น้อย ๆ ได้ระเบียบเป็นเงางาม ดวงตาของหล่อนนั้นมีแววเชื่อมซึมเจืออยู่เป็นปกติ ถึงกระนั้นก็หวานดังจะหยด ชะม้ายดูผู้พูดแล้วจึงตอบคำของเขา

“ดิฉัน จะรับคำยอของคุณพระไว้ให้แก่พี่อุไรเพราะดิฉันเพียงผู้ช่วยของเธอเท่านั้น”

“ถ้าเธอถือว่าเป็นแต่เพียงคำยอละก็อย่ารับไว้เลย ลืมเสียเถิด แต่อันที่จริงฉันไม่ใช่คนช่างยอ ยิ่งสำหรับคนที่ฉันถือว่าชอบพอกันจริง ๆ แล้วยิ่งไม่ยอเลยทีเดียว ที่พูดเมื่อตะกี้เป็นความเห็นจากใจจริง”

หล่อนหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง งามยิ่งไปกว่าครั้งแรกเพราะคราวนี้มีความพอใจเป็นเหตุ แล้วหล่อนตอบว่า

“ตกลงดิฉันเชื่อว่าเป็นคำชมจากใจจริง ต้องขมวดชายผ้าเช็ดหน้าไว้เดี๋ยวจะลืมบอกพี่อุไร-อ้อ นี่ผ้าเช็ดหน้าที่คุณพระให้ดิฉันยังไงล่ะคะ ของพี่อุไรหายเสียผืนหนึ่งแล้ว เมื่อวานซืนนี้เอง ของดิฉันยังอยู่ครบ อุ๊ยตายน้ำอบก็ขวดที่คุณพระให้อีกน่ะแหละ หยดลงผ้าเช็ดหน้านิดเดียวยังหอมฟุ้งอยู่เลย”

วิชัยมองดูหล่อนด้วยสายตาที่เขามิได้เคยมองมนุษย์คนหนึ่งคนใดมาก่อนเลยในชีวิตของเขา นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง จึงถามว่า

“จวนหมดแล้วหรือยัง?”

“หมดไปครึ่งหนึ่งค่ะ ดิฉันต้องฟ้องอีก พี่อุไรแย่งดิฉันใช้ เธอบอกว่าขวดของเธอนั้นกลิ่นแรง ฉุนเฉียวเกินไป คุณพี่หลวงไม่ชอบ อันที่จริงเมื่อคุณพระเอามาให้ พี่อุไรก็เป็นคนเลือกก่อนนะคะ”

วิชัยพยักหน้าอย่างสติลอย แท้จริงเขาเอาใจใส่ต่อคำพูดของหล่อนน้อยกว่าเหตุที่ทำให้หล่อนพูดมากนัก สายตาของเขาจับอยู่ที่ดวงหน้าอันงามแท้หาที่ตำหนิบ่มิได้ พูดพลางคิดพลางเพื่อค้นหาความจริงจากดวงหน้านั้นและหัวใจก็เต้นแรง จนเขารู้สึกร้อนทั้งที่ลมหนาวกำลังพัดมาต้องตัวไม่ขาดสาย

มีคนเรียกหาตัวพระอรรถคดี ฯ ขึ้นในเวลานั้น จันทรได้ยินจึงหันมาบอกคู่สนทนา สบสายตาที่กำลังจ้องดูหล่อน จันทรก็หลบตาลง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นปกติ

“เขาจะจับตัวคุณพระไปเข้าวงมโหรีค่ะ”

ก่อนที่วิชัยจะได้ขยับเขยื้อน ชัดก็เดินมาถึงตัวเขา ศีรษะก้มให้ความเคารพแก่สุภาพสตรี มือจับแขนพี่ชายปากพูดว่า

“คนสำคัญมาซุ่มอยู่เสียที่นี่เอง เสียงเรียกหากันออกลั่นไป ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากฟังซอของพี่ใหญ่ด้วย”

ต่อจากชัด หลวงธุรกิจ ฯ กับสหายอีก ๔ นายต่างพากันเดินมาสู่บันได เห็นหมดหนทางที่จะเลี่ยงแน่แล้ว วิชัยจึงออกไปรับหน้าแล้วเข้าหมู่เฮฮาไปกับเขาจนถึงวงมโหรี

เมื่อเลือกได้เครื่องดนตรีที่ตนถนัดคนละอย่าง นักดนตรีสมัครเล่นก็ลงมือด้วยเพลงไอยเรศ ซึ่งทุกคนเชื่อว่าตนเล่นได้เป็นอย่างแม่นมั่น วิชัยนั้นถูกเกณฑ์ให้สีซอด้วง เพราะเขาเป็นผู้ได้ชื่อว่าเล่นดนตรีได้ทุกชนิด แต่ครั้นสีไปได้ถึงท่อน ๓ ถึงตอนที่จะต้องเล่นลูกล้อ ซอด้วงซึ่งเป็นซอนำก็นำไปเสียเป็นเพลงอื่น เครื่องสายทั้งวงก็ล่มพร้อม ๆ กัน

“อุบ๊ะ ไอ้ซอนำนี่มันบ้าหรอยังไงโว้ย !” หลวงศักดิ์ ฯ ร้องขึ้นแล้วทิ้งขลุ่ยที่ถืออยู่ลงเสียทันที “เปลี่ยนคนเสียใหม่เถอะ ให้พ่อเจ้าประคุณพระอรรถคดี ฯ ผู้มีสติเลื่อนลอยนำเห็นจะไม่ได้การแน่”

หลวงวิเชียรมนตรีผู้ดีดจะเข้ เงยหน้าพูดขึ้นว่า

“ผมสีได้ แต่ใครจะเป็นคนดีดจะเข้?”

“แกดีดได้ไหมล่ะศักดิ์?” วิชัยถาม “กันน่ะไม่ได้ เกิดมาไม่เคยจับ”

หลวงศักดิ์ ฯ แสดงกิริยาลังเล ในที่สุดจึงว่า

“ตาม ๆ ไปเห็นจะได้ แกเป่าขลุ่ยได้หรือ?”

วิชัยไม่ตอบ ฉวยขลุ่ยมาเช็ดแล้วก็ลองเสียงและขยับนิ้ว

ครั้นทุกคนเตรียมท่าพร้อมแล้ว จึงเล่นเพลงไอยเรศต่อ แต่เล่นไปถึงท่อน ๓ ท่อนลูกล้อก็ล่มอีกโดยที่จับผิดใครไม่ได้แน่ หลวงวิเชียรมนตรีแสดงความเห็นว่าพระอรรถคดี ฯ เป่าขลุ่ยได้ดังมาก และนิ้วดิ้นเกินไป กลบเสียงซอด้วงเสียหมด คุณหลวงจึงนำไปไม่ไหว หลวงธุรกิจ ฯ หัวเราะอย่างขบขันที่สุด วิชัยทำหน้าอย่าง “หมดท่า” ครั้นแล้วจึงอาสาใหม่

“ให้ผมสีซออู้ ทีนี้เป็นสำเร็จแน่ เพราะว่าผมเล่นอยู่เสมอ”

ตั้งต้นไอยเรศท่อน ๓ เป็นครั้งที่ ๓ คราวนี้จึงจบเพลงลงได้อย่างเรียบร้อย

นักดนตรีสมัครเล่นดีดสีตีเป่า ล่มบ้างขาดบ้างครบบ้างไปตามเรื่อง มีเสียงฮาเสียงบ่นเสียงชมเชยปนกันอย่างสนุกสนาน มิช้าก็พาเอาแขกของหลวงธุรกิจ ฯ มารวมอยู่ในวงมโหรีจนหมด รวมทั้งอุไรและช้อยด้วย วิชัยนึกคอยว่า เมื่อไรน้องชายของเขาจะชวนจันทรมาเข้าหมู่คนอื่นบ้างแต่คอย ๆ ก็เห็นหาย ตรงที่ ๆ เขานั่งอยู่ มีไฟฟ้าขนาดร้อยแรงเทียนแขวนอยู่ตรงหน้า แสงไฟฉายเข้าตาจะมองไปไกลไม่เห็นถนัด เขาก็นึกเอาในใจว่าหล่อนคงนั่งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง

การนึกเห็นเอาในใจของเขานั้นถูก แต่เขามิได้นึกไกลออกไปว่าหล่อนนั่งอยู่กับใครในท่าใด ในข้อนี้มีผู้แทนเขาคือหลวงศักดิ์รณชิต มือท่านนายพันตรีติดพันอยู่กับจะเข้แต่ดวงตาเงยขึ้นลงและมองไปไกล ชั้นแรกก็มองโดยเผอิญ ครั้นภาพที่เห็นเป็นภาพชวนให้ทึ่งก็อดไม่ได้ที่จะมองซ้ำไม่หยุดหย่อน ด้วยว่ามิตรภาพระหว่างเขากับวิชัยนั้น มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เขาใส่ใจจันทรเป็นพิเศษ ดังนั้นหลวงศักดิ์ ฯ จึงเห็นจันทรนั่งเอกเขนกอยู่บนบันได ชัดนั่งอยู่ข้างตักหล่อนบนบันไดขั้นตำกว่า แต่ข้อศอกของเขาที่เท้าอยู่บนบันไดเหมือนกันนั้นชิดกับขาของจันทรมาก ซึ่งหมายความว่าศีรษะของเขาก็อยู่ในอาการใกล้จะเคลียแขนหล่อนและศีรษะของเขาไม่หยุดหย่อน สีหน้าของชัดชื่นบานสวยเก๋ด้วยอาการที่ยิ้มอย่างพะนอและท่าที่พูด สีหน้าของจันทรสดใสงามแฉล้มด้วยอาการที่ยิ้มอย่างขวยเขินและทำทีเอียงอาย

ถ้าจะสังเกตตามสีหน้าและท่าทางของเขาทั้ง ๒ แล้ว ก็ควรเป็นที่สงสัยว่า เสียงก้องกังวานแห่งดนตรีน่าจะไม่กระทบโสตประสาทของเขาเลย อีกทั้งหมู่คนที่นั่งและเดินอยู่ขวักไขว่เล่า ก็น่าจะไม่กระทบจักษุประสาทของเขาเช่นเดียวกัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ