๒๔

ในวันเวลาเดียวกันแต่ต่างชั่วโมง เมื่อพระอาทิตย์จวนจะลับเหลี่ยมโลก พระอรรถคดีวิชัยเพิ่งเลิกจากการเขียนบทละครเพื่อประโยชน์แห่งสมาคมศุภวิทยาการ เก็บต้นร่างรวมไว้ในแฟ้มโดยเรียบร้อย จัดโต๊ะเขียนหนังสือให้เข้าระเบียบตามเดิมแล้ว เขาจึงตรงเข้าหาถาดเครื่องว่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนานนักหนาจนเย็นชืดไปทุกอย่าง พระอรรถคดี ฯ บริโภคสิ่งเหล่านั้นสิ่งละคำ ๒ คำ ดื่มน้ำชาที่มีนมอันผสมอยู่ด้วยลอยขึ้นเป็นฝา ต่อจากนั้นเขาจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวอย่างตั้งใจจะให้เร็ว เสร็จแล้วก็เที่ยวตามหาน้องสาว

พบช้อยนั่งเล่นอยู่กับบุตรีที่ในสวนหลังเรือน แม่หนูเห็นลุงอยู่ในเครื่องแต่งตัวอย่างจะออกจากบ้าน ก็ลุกขึ้นวิ่งมาหาพร้อมกับร้องว่า

“หนูไปด้วย !”

วิชัยย่นริมฝีปากขึ้นจดริมปลายจมูก ลากเสียงถามพลางอุ้มตัวหลานขึ้น

“ตะไปหนาย”

“ไปตะลุง?”

“เย็นแล้วเดี๋ยวหนูหิวข้าว”

“หนูไม่อิ๋ว หนูตะไปตะลุง”

ช้อยลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินตรงมา ตาเขม็งจับอยู่ที่ลูกสาว วิชัยรู้ท่าจึงถอยหนีและเบี่ยงตัวหลานให้ห่างมือน้อง พลางพูดว่า

“ไม่ต้องมายุ่ง ! ลุงกับหลานเขาจะตกลงกันเอง ไปหาเสื้อหาหมวกมาให้แกเถอะ พาไปนั่งรถเสียประเดี๋ยวแล้วก็กลับมาส่งก็แล้วกัน”

“เออ ! พี่ใหญ่ก็เป็นเสียยังงี้เสมอ ยายนิดถึงได้ใจ เห็นลุงแต่งตัวเป็นต้องตาม เมื่อกลางวันก็ไปส่งคุณยายทีหนึ่งแล้ว !”

เด็กน้อยใช้สายตาอันใสแจ๋ว จ้องหน้าลุงประดุจจะคอยฟังคำตัดสิน พระอรรถคดี ฯ ไม่ปรารถนาจะโต้เถียงกับน้อง อุ้มหลานตรงไปที่เรือน จัดแจงหาหมวกหาเสื้อให้เสร็จแล้วลุงกับหลานก็ขึ้นรถไปด้วยกัน

ประมาณครึ่งชั่วโมงลุงกับหลานก็กลับมา ช้อยผู้ซึ่งนั่งคอยลูกอยู่บนสนามหน้าเรือนลุกขึ้นไปรับ หนูนิดลูกขึ้นยืนหัวเราะแฉ่งอยู่บนรถ หอบของพะรุงพะรัง ทั้งตุ๊กตา ขนมปัง และช็อกโคเล็ต สีหน้าแสดงความลิงโลดของเด็กทำให้ช้อยอดเสียซึ่งความพลอยชื่นชมด้วยไม่ได้ ถึงกระนั้นหล่อนก็ส่ายหน้าพูดออด ๆ”

“ตาย พี่ใหญ่ไปจ่ายอะไรมาเป็นกองสองกองยังงี้ ไม่ไหวจริง ดู๊ ! ยายหนู ช็อกโคเล็ตที่น้านงให้มายังไม่ได้เปิดเลย ไปกวนลุงให้ซื้ออีกแล้ว”

“หนูนิดหาใฝ่ใจในคำพูดของแม่ไม่ จับโน่นชูนี่และส่งเสียงอวดออกแจ้ว ๆ วิชัยยิ้มแป้นมองดูหลานโดยไม่พูดว่ากระไร ต่อเมื่อสุดเสียงแม่หนูแล้วเขาจึงถามข้อยว่า

“น้านงให้อะไรมาเมื่อไร?”

ให้ช็อกโคเล็ตมา ๑ หีบกับ ๑ กระป๋อง ฝากดิฉันมาเมื่อคืนนี้ แล้วแกสั่งว่าเหมาะ ๆ ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งขอให้ดิฉันกับพี่ใหญ่พาหนูนิดไปที่บ้านแกบ้าง”

ตอบพลางช้อยช่วยรับของจากมือหนูนิด พลางวิชัยพูดว่า

“แกสั่งมาเหมือนกันว่า ให้พาช้อยกับยายหนูไปหาแก เมื่อพี่จะกลับยังตามกำชับว่าอย่าลืม แล้วบอกอย่างขึงขังว่ามีเรื่องอยากจะถามและอยากจะพูดกับพี่อีก ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรของแก”

ช้อยอ้าแขนรับตัวหนูนิด แม่หนูก็ทำท่าจะปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอ้อมแขนมารดา แต่ครั้นแล้วกลับหมุนตัวและโผเข้ากอดคอวิชัย

ช้อยหน้าขึงด้วยสำคัญว่าลูกจะแผลงฤทธิ์ไม่ยอมจากลุง พอพี่ชายของหล่อนหัวเราะและพูดว่า

“เอ๊ะ ! ยายนิดมีวิธีจูบแบบใหม่ ไปเอาอย่างใครที่ไหนมา แกเอาปากจูบ” เน

หนูนิดเอียงคอข้างซ้ายทีหนึ่ง ข้างขวาทีหนึ่งแล้วตอบเสียงแจ๋ว

“จูบอย่างน้านง”

ทั้งแม่ทั้งลุงพากันหัวเราะ เมื่อหนูนิดลงจากรถแล้ว วิชัยจึงบอกแก่น้องว่า

“ถึงเวลากินข้าวไม่ต้องรอพี่”

“ถึงไม่สั่งก็ไม่รอ” น้องสาวตอบพลางยิ้ม “วันไหนคุณแม่ไม่รับประทานข้าวบ้าน ก็ออกจะทายล่วงหน้าได้ว่าพี่ใหญ่ไม่รับประทานเหมือนกัน”

“พี่จะไปบ้านหลวงธุรกิจ ฯ” วิชัยชี้แจง “มีธุระเรื่องสมาคมบางทีจะต้องพูดกันนาน เพราะฉะนั้นเชื่อว่าเขาคงชวนกินข้าว”

พี่เลี้ยงพาตัวหนูนิดไปพ้นแล้ว แต่ช้อยยังไม่ถอยห่างจากรถ สีหน้าแสดงความยุ่งยากและลังเลใจ ในที่สุดหล่อนจึงเอ่ยขึ้น

“ดิฉันอยากจะพูดอะไรกับพี่ใหญ่สักหน่อย อยากพูดมานานแล้วแต่ยังหาช่องทางไม่ได้ ก็เลยเรื่อยๆ มาจนกระทั่งถึงเมื่อคืนนี้มีเรื่องมากระทบ จึงคิดว่าต้องพูดให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นจะไม่ทันการ”

“อะไรกัน?” วิชัยถาม สนเท่ห์ในอารัมภคาถาที่น้องกล่าวโดยยืดยาว

“อยากจะพูดเรื่องแม่จันทร มีคนเขาสงสัยว่า พี่ใหญ่รักเด็กคนนั้น”

“ใคร?”

“ใครเป็นคนสงสัยก่อนไม่ทราบ แต่พี่ช่วงเป็นคนเล่าให้ดิฉันฟัง”

“เล่าว่ายังไง?”

“เล่าว่าพี่ใหญ่ไปที่บ้านคุณอุไรเสมอ และท่าทางมีพิรุธว่ารักจันทร”

“แล้วเขาว่าอะไรอีก?”

“พี่ช่วงไม่ได้ว่าอะไร เขาไม่เห็นผิดร้ายที่ตรงไหน และเขาไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำว่าพี่ใหญ่รักจริง แต่คนที่พูดกับพี่ช่วงนั่นแหละเขาวิตกไปว่าพี่ใหญ่จะถูกแย่ง”

“ใครล่ะจะเป็นคนแย่ง?”

“เขาว่าน้องของพี่ใหญ่เอง”

“ตาชัดน่ะหรือ?” กระแสเสียงวิชัยแสดงความขันมากกว่าความเชื่อ “น้องของพี่ก็มีอยู่แต่ตาชัดคนเดียว”

“ก็ตาชัดนั่นแหละค่ะ คนที่เขาพูดเขารู้มาว่าตาชัดไปที่บ้านนั้นบ่อยกว่าพี่ใหญ่เสียอีก และฉลาดหาช่องเข้าใกล้จันทรได้มากกว่าพี่ใหญ่”

วิชัยหัวเราะด้วยเสียงอันดัง

“เวร ! เวรของตาชัด !” เขาว่า “นี่แหละค่าที่แกเป็นพ่อรูปทอง ตัวแกใคร ๆ ก็อยากได้ถึงได้มีเรื่องต่าง ๆ”

“เอ๊ะ ! เรื่องนี้ไม่ได้ออกจากปากคนในบ้านจันทรนะคะ คนอื่นเขาเห็นและเขาวิตกไปเอง”

“ถูกแล้ว คนอื่นน่ะซีเขาอยากได้ตาชัด เขาถึงได้คอยระแวงสงสัย ว่าเรื่องนี้ต้องออกมาจากบ้านคุณหญิงมะยม”

ช้อยเกือบจะระงับปากไว้มิได้ ในอันที่จะบอกว่าหลวงศักดิ์รณชิตคือตัวผู้สงสัย แต่เมื่อช่วงได้สั่งห้ามไว้เป็นเด็ดขาด เพราะสามีของช่วงเกรงผู้เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่เมียจะตำหนิได้ว่า ตนยุ่งยากในกิจอันใช่กงการของตน ดังนั้นช้อยจึงพูดแต่เพียงว่า

คุณหญิงมะยมแกจะมารู้เรื่องที่พี่ใหญ่กับพ่อชัดไปบ้านไหนบ่อยๆ ได้อย่างไร อย่าไปพาโลแกเลยค่ะบาปเปล่า ๆ”

วิชัยทำสีหน้าไม่แยแสแล้วว่า

“ถูกแล้ว ไม่ควรจะพาใลใคร และไม่ควรจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนซอกแซกพูดถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะไม่มีอะไรที่จะเหลวแหลกยิ่งไปกว่า นิสัยและความเป็นอยู่ของเด็ก ๒ คนนี้ขัดกันมากนัก คนอย่างตาชัดจะรักผู้หญิงเชื่อง ๆ ซึม ๆ อย่างจันทรมันเป็นไปไม่ได้อย่างเอก พูดกันไปพูดกันมาจะทำให้ร้อนถึงเด็กเปล่า ๆ”

“ถ้าพี่ใหญ่เชื่อแน่อย่างนั้นก็ดีแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราควรคิดไว้บ้าง เพราะเช่นนั้นฉันจึงเล่าให้ฟังความจริงพี่ใหญ่ก็ได้ทำอะไร ๆ ให้ตาชัดมามากแล้ว ถึงกับไม่มีก็จำนำให้เขา---”

“ยายช่วงคงเอาอะไรมาเล่าอีกเยอะแยะซี !” วิชัยขัดขึ้นทันที น้ำเสียงส่อความไม่พอใจ “หลวงศักดิ์ ฯ นี่มันปากบอนพอใช้ !”

“อื๊อ ไปว่าเขาปากบอน ! เขาผัวเมียกันนี่คะ เงินขาดไปจากแบงค์ตั้ง ๑,๐๐๐ กว่า เมียเขาจะไม่ถามผัวหรือ แต่ดิฉันพูดนี่พี่ใหญ่อย่าหาว่ากระนั้นกระนี้ เพราะจะหวงสมบัติกันไว้ให้ลูกของตัว ไม่มีเลยดิฉันสาบานได้ ดิฉันพูดลำเลิกเตือนสติไว้ เพราะกลัวไปว่าเมื่อได้ให้อะไร ๆ จนหมดแล้ว ในที่สุดจะถึงคราวที่พี่ใหญ่จะต้องยกคู่รักให้เขาเสียอีก”

เห็นพี่ชายไม่ได้ตอบ แต่ทำหน้าอย่างที่จะอธิบายให้ถูกต้องได้โดยยาก ช้อยจึงถอยห่างจากรถและพูดว่า

“ดิฉันพูดจบเรื่องแล้ว จะไปไหนก็เชิญเถอะค่ะ”

วิชัยขยับตัวให้ตรงพวงมาลัยแล้วก็ออกรถไป

ในระหว่างทาง เป็นธรรมดาที่วิชัยจะได้หวนคิดถึงคำพูดของน้องหญิง แต่เขาคิดด้วยใจผ่องแผ้วปราศจากคติและวิหิงสา ข้อระแวงของช้อยไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนอย่างใด ดังที่เขาได้แสดงความเชื่อมั่นแก้ช้อย แล้วเมื่อคืนนี้ยิ่งกว่าคืนใดๆ หมด วิชัยปลงใจอย่างแน่วแน่ว่าเขาเห็นด้วยกับการเลือกของน้องชาย ดูทั้งรูป ดูทั้งท่วงทีกิริยา ดูทั้งแนวความคิดความเห็นที่เขาทั้งคู่ได้รับการศึกษา ชัดกับอนงค์ช่างเหมาะสมกันราวกับเขาเกิดมาสำหรับกัน ชัดจะต้องเป็นคนวิตถารสักปานไหนถ้าเขาปล่อยให้อนงค์หลุดจากมือไปเสีย เพราะความผิดของตัวเอง ภายหลังที่ได้สนิทชิดเชื้อกับหล่อนมานานเท่าที่เป็นอยู่แล้วในปัจจุบันนี้

รวมหัวข้อต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วก็มีความเชื่ออย่างใหม่เกิดขึ้นแก่วิชัยอย่างหนึ่งคือ หญิงที่บุคคลทั่วไปลงความเห็นต้องกันว่า “เปรี้ยว” ไม่จำเป็นที่จะต้องไร้เสียทีเดียวเรื่องความดี เพราะเหตุดังนั้นหญิง “เปรี้ยว” จึงอาจจะเป็นได้ทั้งหญิงสาวที่น่ารัก ภรรยาที่มั่นในหน้าที่มารดาที่เป็นพรหมของบุตร และสะใภ้ที่ไม่เหยียบย่ำญาติของสามี ถ้าแม้ว่าเจ้าหล่อนจะ “เปรี้ยว” โดยรู้ตัว และยึดหลักธรรมแม้เพียงบางข้อไว้ประจำใจไม่สักแต่ว่าหลับตาทำตามอย่างเขาอื่นเยี่ยงหญิงโฉด ที่ได้รับการศึกษาอบรมชนิดครึ่ง ๆ กลาง ๆ

พระอรรถคดี ฯ ลงจากรถที่บ้านหลวงธุรกิจ ฯ เห็นเด็กวิ่งเล่นอยู่บนสนามหน้าตึกเป็นฝูงใหญ่ เด็กคนหนึ่งที่วิชัยเคยเห็นบ่อย ๆ จนจำได้ วิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าเขาและรายงานว่า

“ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ ไปศพคุณพระอะไรไม่ทราบคุณผู้หญิงก็ไปด้วย”

วิชัยมีกิริยาลังเลเล็กน้อย ในที่สุดจึงถามว่า

“คุณเล็กล่ะ ไปด้วยหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ คุณเล็กเดินไปทางโน้น ดิฉันไปตามให้นะคะ”

วิชัยยังมิทันได้ตกลงใจ เด็กผู้อาสาก็ลุกแล่นไปจากเขาเสียแล้ว

ถือวิสาสะ เพราะเหตุเจ้าของบ้านเคยต้อนรับตนในฐานคุ้นเคยและเจนกับบ้านเกือบจะเข้าทุกซอกทุกมุม วิชัยจึงไม่สละเวลายืนคอย ปราศรัยแต่บุตรหญิงชายของเจ้าของบ้านที่โลดเต้นอยู่บนสนามแล้ว เขาออกเดินไปช้า ๆ ไปตามที่เด็กวิ่งนำไป บ้านใหม่ของหลวงธุรกิจ ฯ นี้ใหม่แต่ตัวตึก ส่วนเนื้อที่เป็นที่เก่าแก่ของตระกูล จึงมีสภาวะแสดงถึงการได้รับความบำรุงตบแต่งอันดี ต้นไม้ทั้งใหญ่ทั้งน้อยทั้งไม้ดอกผลไม้ใบปลูกอยู่มากหลาย นั่นกุหลาบ โน่นสายหยุด นี่ทับทิม นั่นเฟิน แต่ละต้นแตกใบ แตกกิ่ง แตกดอกงดงามสดชื่น และดูสลับสล้าง วิชัยเดินพลางชมพลางมีใจอิ่มเอิบตามธรรมดาของคนผู้จะได้เข้าใกล้สิ่งที่เป็นยอดปรารถนาแห่งใจ ซุ้มราตรีตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า วิชัยกำลังจะเลี้ยวหลีกไม้ซุ้มนี้ ก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในที่ใกล้ เขาจูงมือกันบ่ายหน้ามาทางวิชัยในอาการเดินใกล้วิ่ง และก่อนที่วิชัยจะรู้ตัวว่าสิ่งใดมาอย่างไรไปอย่างไร เขาผู้ชายได้คว้ามือวิชัยไว้ทั้ง ๒ ข้าง แต่เขาผู้หญิงยืนบังหลังเขาผู้ชายอยู่

“พี่ใหญ่ ! มาพอดีราวกับเทวดาดลใจ !” นายร้อยตรีชัดพูดเร็วแทบว่าจะไม่หายใจ ความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในสีหน้าและแววตา “เรา ๒ คนกำลังต้องการที่พึ่งอย่างเร็วที่สุด เรารักกัน เราตกลงกันแล้ว พี่ใหญ่ต้องช่วยจัดการให้ผม จันทรมีเรื่องกลัวหลายร้อยอย่าง ผมรับรองเท่าไรแกก็ไม่เชื่อ ต้องให้พี่ใหญ่ช่วยรับรองอีกคนหนึ่ง”

ถึงแม้ อสุนีบาต จะได้ฟาดเปรี้ยงลงมาตรงหน้าจะไม่ทำให้วิชัยจังงังไปได้ถึงเพียงนี้ ในเวลานั้นดูเหมือนว่าโลกกำลังหมุนติ้ว ฟ้าถล่มตึกรามบ้านช่องพังทลายลงทับกัน ต้นไม้ใหญ่น้อยถอนรากจากดินพุ่งโคนขึ้นชี้ฟ้า วิชัยยืนตัวแข็ง มองดูผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็เห็นร่างของเขาได้แต่เพียงราง ๆ ลมขึ้นหูดังหวี่ง ๆ ฟังเสียงใด ๆ ก็ไม่ได้ศัพท์ คำพูด ๓ คำก้องอยู่ในสมอง “เรารักกัน เรารักกัน” รู้สึกคล้ายกับว่าเป็นค้อนเหล็กขนาดหนักตีซ้ายย้ายขวาซ้ำซากอยู่ในขม่อมแทบว่า จะทำให้ศีรษะแยกแยะออกในบัดนั้น !

แต่มนุษย์ใดมีมโน อันเคยแก่การอบรมฝึกฝนให้อยู่ในธรรม มนุษย์นั้นจะมีสันดานเป็น ๒ ในร่าง ๆ เดียว สันดานหนึ่งเกิดพร้อมกับร่างกาย มีอันเป็นตามธรรมชาติ มักจะฉุดคร่าห์มโนไปในทางต่ำ อีกสันดานหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้จักผิดชอบของมนุษย์ ย่อมชักนำมโนไปในทางสูง เมื่อมโนถูกนิฐารมณ์กระทบ ทำให้สะดุ้งหวั่นไหวสันดานทั้ง ๒ จะเข้ากระหนาบข้าง สันดานเดิมรบเร้าชี้ช่องให้ทำตามอคติ ๔ สันดานใหม่กระซิบเตือนให้ทรงอยู่ในความเที่ยงตรง และสติสัมปชัญญะเป็นธรรม มีอุปการมากแก่ผู้ประพฤติธรรม เมื่อวิชัยดวงมโนถูกอนิฐารมณ์กระทบจนสั่นสะเทือนซวนเซไป ทำให้เขาลืมตัวอยู่ชั่วขณะ ครั้นได้สติคือความระลึกได้ เกิดสติสัมปชัญญะคือความรู้ตัว กรรมทั้ง ๒ นี้พร้อมกับเตือนใจ สันดานใหม่เป็นฝ่ายรุก สันดานเดิมตั้งต้นถอย วิชัยจึงเขย่ามือน้อง และพูดด้วยเสียงคล้ายละเมอ

“อะไรกัน พูดให้ช้า ๆ หน่อย ฟังไม่รู้เรื่องเลย”

“พี่ใหญ่ท่าจะไม่สบาย” ชัดกล่าวเพ่งมองดูพี่ชายเต็มตา “หน้าซี๊ดซีดเขียวเลย โรคเส้นประสาทกำเริบอีกกระมัง”

สันดานเดิมบอกให้กระชากมือจากชัด สันดานใหม่เตือนให้ระงับไว้ วิชัยขบฟัน ตาขุ่น แต่มือยังคงจับมือน้องอยู่ เขาพูดเสียงเกือบเป็นกระโชก

“มันไม่ใช่เวลาที่จะมายุ่งกับไอ้เส้นประสาท หรืออะไรบ้า ๆ เหล่านี้เลย พูดเรื่องแกต่อไปซี”

ชัดถอนมือจากพี่ชาย หันไปจับมือจันทรรั้งให้มายืนคู่กับตนแล้วจึงว่า

“เรื่องเกิดจากเมื่อคืนนี้ การที่จันทรไปกับผมนั้นคุณอุไรไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมาก เป็นแต่ถามจันทรว่าจันทรกับผมน่ะชอบพอกันแค่ไหน พูดง่าย ๆ ว่าเรารักกันหรือเปล่า ถ้ารัก ผมควรจัดการให้ถูกตามประเพณี แทนที่จะพาจันทรไปควงเล่นตามใจ แต่ถ้าไม่ได้รักกันการติดต่อระหว่างผมกับจันทรเวลานี้เป็นการน่าเกลียดไปแล้ว ต่อไปจันทรจะสนิทสนมกับผมอย่างแต่ก่อนไม่ได้”

พระอรรถคดี ฯ เหลือบตาจากที่ต่ำมองดูหน้าหญิงสาว สบดวงตาคู่ที่ตนเคยเพ่งด้วยความพิศวาส ให้ร้อนในอกดังจะพองพุขึ้นในบัดนั้น ทนดูต่อไปไม่ได้จึงมองเลยไปเสียทางอื่น ชัดพูดต่อไป

“ผมมาถึงก่อนพี่ใหญ่ราวสักชั่วโมงหนึ่ง เมื่อมาถึงจันทรไม่ยอมให้พบ ต้องใช้ไม้โกหกหลอกว่ามีธุระของหลวงธุรกิจ ฯ พี่ใหญ่ใช้มา แกจึงลงมาหาพูดกันไปพูดกันมาเป็นนานถึงได้ความจริง ตกลงว่าเราต่างคนต่างรักกันเดี๋ยวนี้ จันทรเล่าว่าอุไรพูดถึงลูกสาวคุณหญิงมะยมด้วย แกกลัวจะเกิดขัดข้องทางคุณแม่ ผมบอกกับแกว่าผมมีพี่ใหญ่เป็นที่พึ่ง เรื่องทางคุณแม่ไม่ต้องเอามาเป็นกังวล ถ้าพี่ใหญ่เห็นดีคุณแม่คงไม่ขัด เพราะเคยมีตัวอย่างมาแล้ว เมื่อคราวพี่ช่วงกับพี่ช้อย”

“แกจะให้พี่ทำอะไร”” พระอรรถคดี ฯ ถามเสียงต่ำสุด แม้กระนั้นยังรู้สึกว่าเสียงของตนสั่นเครือ

ชัดหัวเราะและว่า

“ผมเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่ใหญ่จะช่วยผมได้ เมื่อเด็กมาบอกว่าพี่ใหญ่มา ผมเกือบจะฉุดจันทรออกวิ่ง เพราะเรากำลังเถียงกันเรื่องคุณแม่กับคุณหญิงมะยมจนเกือบคอแห้ง” เบือนหน้ามาทางคู่รัก “เอาซี เรื่องอะไรที่เธอไม่เชื่อชัด เชิญถามพี่ใหญ่ดูซี คำตอบจะตรงกันไหม”

จันทรยิ้มและหลบตาลงอย่างเอียงอาย วิชัยผ่อนลมหายใจด้วยความลำบาก หันหน้าตรงไปทางจันทรในท่าเตรียมตอบคำถาม แต่หาอาจมองดูหน้าหล่อนเต็มตาไม่

“เท่านั้นเอง !” ชัดกล่าว ยิ้มอย่างมีชัย “พอตัวพยานมาถึงเธอก็เชื่อฉันได้โดยไม่ต้องซักพยานสักคำ” จับมือหล่อนเขย่าและบีบแรง “ร้ายกาจเหลือเกิน พูดอะไรก็ไม่เชื่อ หาว่าหลอกร่ำไป” แล้วมืออันขาวและเรียวดังลำเทียน ก็แนบอยู่กับริมฝีปากเขาโดยเจ้าของมือพยายามขัดขวางอย่างอ่อนแรง

พระอรรถคดี ฯ เงยหน้ามองดูฟ้า ครั้นแล้วก็ก้มดูดินมีความรู้สึกร้าวระบมทั้งกายและใจ ในที่สุดอาศัยความเข้มแข็งประจำนิสัย เขาพูดว่า

“เมื่อโจทก์ไม่ถาม หมายความว่าไม่ต้องการพยานแล้ว ขอลาไปธุระที่อื่นต่อไป”

พูดแล้วเขาก้มศีรษะให้หล่อน ชำเลืองดูดวงหน้าอันงามแฉล้มเป็นคำรบสุดท้าย แล้วก็ออกเดินโดยเร็ว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ