๒๗

นางธุรกิจกำจรนั่งอยู่ตรงช่องบันไดไม้ เหนือเสื่อจันทบุรีสีเขียว สิ่งของที่วางอยู่ในที่นั้นเช่นถ้วยแก้วน้ำ กลักไม้จิ้มฟัน ฯลฯ แสดงร่องรอยว่าอุไรเพิ่งบริโภคอาหารเช้าเสร็จใหม่ ๆ พอมองเห็นช้อยขึ้นบันไดมาก็ร้องทักอย่างดีเนื้อดีใจ

“แหม ไม่นึกเลยว่าจะมาเร็วทันอกทันใจอย่างนี้ ทำไมไม่บอกให้ดิฉันทราบล่ะคะจะได้ส่งรถไปรับ ดิฉันสั่งคุณพระไปแล้วทีเดียว นั่งเสียบนเสื่อซีคะ กระดานมันเหนียวขี้ผึ้งกับน้ำมัน”

“พี่ใหญ่เธอมาส่งดิฉันค่ะ แล้วเธอเลยไปทำงาน” ช้อยตอบรับบุตรีจากมือคนเลี้ยงผู้ซึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได “หนูเจ้าขาคุณอาเสียซิจ๊ะ”

“แหมโตขึ้นเป็นกอง มาหาหน่อยมะ ดู๊ ! ยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ดิฉันไม่ได้เห็นแกสักเดือนหนึ่งได้ไหมคะแกโตขึ้นถนัด”

ช้อยส่งตัวลูกน้อยให้อุไร อาสาวจับหลานให้นั่งบนตัก จับแก้มลูบผมน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงหน้าพ่อของเด็ก ช้อยเริ่มรู้สึกว่าหวัดขึ้นจมูกจึงถามไปเสียทางหนึ่งว่า

“คุณหลวงเห็นจะไม่อยู่?”

พอดีกับหลวงธุรกิจ ฯ ออกมาจากห้อง ๆ หนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อยอย่างจะออกจากบ้าน ตรงมาหาช้อยทักว่า

“หมู่นี้หายไปนานนึกว่าลืมบ้านนี้เสียแล้ว ต้องสั่งให้พระอรรถคดี ฯ ไปเตือน”

“ดิฉันไม่ค่อยได้ไปไหนค่ะ อยู่แต่บ้านแต่ถึงตัวไม่ได้มาใจก็ไม่ลืมที่นี่นะคะ ถามข่าวจากพี่น้องได้ทราบว่าอยู่สบายดีทุกคนก็เลยเรื่อย ๆ ไป”

หลวงธุรกิจ ฯ จับแก้มหนูนิดบีบ ช้อยจึงว่าแก่ลูกว่า “เจ้าขาแล้วหรือจ๊ะ?”

เด็กน้อยประณมมือไหว้ดวงตาอันดำขลับจับอยู่ที่หน้าบุคคลผู้ได้รับคารวะของตน หลวงธุรกิจ ฯ มองดูหน้าเด็กพลางยิ้มและว่า

“ยายหนูนี่เค้าหน้าแกไปทางข้างแม่มากกว่าข้างพ่อ”

“อะไรคะ” อุไรขัด “แกเหมือนคุณพี่สมานออกจะตาย ดูรูปหน้าแกซี หน้าผากยังงี้ละคุณพี่ทีเดียว แต่หวังว่าหัวจะไม่เถิก”

“ฉันก็ว่าเหมือนพระอรรถ ฯ”

“นั่นก็พ่อเหมือนกัน พ่อลุง เหมือนลุงดี ลุงจะได้รักมาก ๆ”

“โอ๊ยเดี๋ยวนี้ก็เหลือที่จะรักอยู่แล้ว” ช้อยกล่าวน้ำเสียงแสดงความตื้นตันใจเล็กน้อย “ใครแตะต้องไม่ได้ตามใจเหลือเกิน จะเอาอะไรเป็นได้หมด แต่งตัวเสร็จแล้วจะไปธุระหลานร้องตามยังต้องพาหลานไปเที่ยวสักพักหนึ่งก่อน จนคุณแม่ท่านทายว่าพี่ใหญ่มีลูกเห็นจะพนอจนไม่มีใครอยากแตะ”

“นิสัยเขาช่างตามใจคน” หลวงธุรกิจ ฯ พูดแกมหัวเราะ “แต่ผู้ใหญ่เขายังตามใจ เด็กด้วยน่าเอ็นดูอย่างนี้ด้วยก็ใส่ใหญ่เท่านั้น ฟังดูเขารักของเขาเหลือเกิน ๒ คำก็ยายนิดของผม เคยเห็นแต่ผู้หญิงเขาเห่อลูกไปที่ไหนก็เอาแต่เรื่องลูกไปเที่ยวคุยอวด นี่ผู้ชายก็เห่อหลานเขาเหมือนกัน”

“โถ หลานกำพร้านี่น้า แล้วลุงก็ไม่มีลูกเสียด้วย” อุไรพูดพลางลูบคลำศีรษะหลานด้วยความปรานี

หลวงธุรกิจ ฯ ชักนาฬิกาจากกระเป๋าเสื้อ มองดูแล้วทำหน้าย่น “ถึงเวลาต้องไปแล้ว” หยิบหมากพลูจากเชี่ยนหมากของภรรยาใส่ปากพลางลุกขึ้นยงโย่ แล้วพูดด้วยเสียงของคนที่มีปากอันไม่ว่างเปล่า “เสียใจอยู่คุยกับคุณช้อยไม่ได้นาน วันหลังคุณต้องมาใหม่ส่งรถที่นี่ไปรับ จะได้ไม่ต้องกวนพระอรรถ ฯ เขา”

แต่พอหลวงธุรกิจ ฯ ไปพ้นแล้ว จะเป็นด้วยทั้ง ๒ หญิงต่างกังวลเกินไปในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างประสงค์จะเจรจากัน หล่อนทั้ง ๒ จึงมีอาการเหมือนสิ้นเรื่องพูด ต่อมาภายหลังช้อยจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ให้ละมุนพาหนูนิดไปเดินเล่นข้างล่างเห็นจะดี ถ้าให้แกนั่งนิ่ง ๆ เดี๋ยวก็รบกลับบ้าน อ้อให้แกไปหาอาจันทรด้วย จะได้อวดเสื้อที่อาถัก ใส่ได้พอดิบพอดี”

“ดีแล้วค่ะ หาอาแล้วเลยไปเล่นกับพี่ ๆ น้อง ๆ ตุ๊กตุ๋นตุ๊กตามีเยอะแยะ หรือจะเล่นขายของก็ได้ ใบไม้ของเรามีมาก” เรียกคนใช้มาสั่งซ้ำ แล้วจึงบอกแก่คนเลี้ยงของเด็ก “พาหนูตามคนนั้นเข้าไปซี”

นางละมุนอุ้มหนูนิดลงบันไดไปยังไม่ทันลับตัว อุไรก็ขยับเข้าใกล้ช้อย ตบเขาตัวเองแล้วพูดว่า

“เป็นยังไงกันคุณพระอรรถ ฯ ถึงมาขอแม่จันทรให้คุณชัด?”

ช้อยงง คำถามนี้ฟังดูแปลกประหลาดนัก อุไรมิได้เห็นความผิดปกตินั้น ลงเสียงหนักแน่นพูดต่อไป

“ดิฉันเกือบไม่เชื่อหูตนเอง เห็นนั่งพูดอ้อมค้อมอยู่นาน ดิฉันก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะมัวแต่นึกหัวเราะในใจ เราคอยอยู่เป็นนมเป็นนาน เพิ่งจะมาขยายเดี๋ยวนี้ ประเดี๋ยวแกเอ่ยชื่อคุณชัดออกมา ดิฉันเลยจังงัง คุณหลวงยังงี้ทำหน้าพิก๊ล นึกขึ้นมายังขันไม่หาย” พูดแล้วอุไรก็หัวเราะ

แต่ช้อยไม่รู้สึกสนุกด้วย ตรงกันข้าม หล่อนใจหายวาบแล้วก็สลดหดหู่ฝืนยิ้มได้ด้วยความลำบาก ในที่สุดจึงตอบได้แต่เพียงว่า

“ชัดเขาขอให้เธอมาพูด”

“ก็นั่นน่ะซีคะ ทำไมถึงกลายเป็นคุณชัด ดิฉันน่ะรู้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าคุณช้อยกับดิฉันจะต้องเกี่ยวดองกันอีกเปลาะหนึ่ง คุณหลวงก็ดีใจ พูดถึงเรื่องนี้ไม่หยุดแต่ยังไงถึงผิดตัวไปได้”

ช้อยหายใจอย่างยากเย็น คำพูดของพี่ชายสั่งกำชับมาแน่นหนาว่าให้หล่อนทำตัวเป็นทนายความที่ดีของน้อง คำพูดนี้ช้อยแทบจะแกล้งลืมเสียด้วยความเวทนาต่อผู้สั่งอย่างยิ่งยวดนั่นเอง

“แหม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทายอะไรผิดถึงเท่านี้” อีกฝ่ายหนึ่งรำพันต่อไป “ท่าทางคุณพระอรรถ ฯ เหมือนกับหลงแม่จันทรเสียเหลือเกิน จะพูดจะจาจนกระทั่งจะมองดูผิดปกติไปทั้งนั้น คุณหลวงถึงกับบอกดิฉันว่า คุณพระขยันมาเรื่องสมาคม เพราะว่ามีแม่เหล็กอยู่ที่นี่เพราะเช่นนั้นให้สังเกตเถิด วันไหนไม่เห็นจันทรละก็คุณพระพูดอะไรไม่ได้เรื่อง นั่งไม่เป็นสุข ตาคอยแต่มองสอดส่าย ดูเถอะค่ะ ตาเราเห็นไปได้ถึงเพียงนี้ความที่อุปาทาน ทั้งคุณหลวงทั้งดิฉันอยากให้แม่จันทรได้คุณพระเหลือเกิน จะได้นอนใจว่าแกจะเป็นสุข”

คิดเกรงอุไรจะเห็นผิดสังเกตในการที่ตนไม่พูดอะไรเสียเลย ช้อยจึงว่า

“พี่ใหญ่แก่กว่าจันทรมากนัก เธอคงกลัวใคร ๆ เขาค่อนว่า คนแก่มีเมียสาว”

“พิโถ ! ไปหาความแก คุณพระอรรถ ฯ น่ะหรือแก่หน้าตาท่าทางยังเด็กกว่าคุณหลวงของดิฉัน เป็นไหน ๆ” หยุดชะงักนิดหนึ่ง “เออแต่เมื่อวานนี้ดูแก่ไปจริง ๆ ละค่ะ ซึม ๆ อย่างไรไม่ทราบ มองดูผิดตาทีเดียว ไม่สบายไปหรือคะ?”

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไร หน้าเชียวเห็นจะเป็นที่อดนอนมาก”

“อ๊อ ! อดนอนทำไม เที่ยวดึกหรือ?”

“โอ๊ย ไม่มีเสียละค่ะเรื่องนั้น” ช้อยปฏิเสธอย่างแข็งขัน ประหลาดใจที่มีผู้คาดความประพฤติของพี่ชายไปในทางเสื่อม “นาน ๆ สักทีหนึ่งเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชายเขาลากเธอไป เธอเป็นคนไม่ขัดใครก็ไปกับเขาด้วย ลำพังตนเองไม่ชอบเลย”

ผู้ที่ช่างคิดและคิดลึก เมื่อได้ฟังคำพูดทั้งประโยคนี้บางทีใคร่รู้ว่าพระอรรถคดีวิชัยได้แสดงตัวเช่นนั้นแก่น้องสาวด้วยถ้อยคำหรือ ซึ่งจะได้รับคำตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าแม้คำพูดของช้อยจะตรงกับความจริงทุกคำ แต่วิชัยมีมโนธรรมละเอียดอ่อนเกินที่จะแก้อาบัติของตนด้วยการซัดทอดผู้อื่นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามช้อยได้พูดแล้วซึ่งคำพูด อันเกิดจากความคาดคะเนซึ่งหล่อนเชื่อว่าถูกจริง และอุไรก็ไม่ซักถามดังที่คนช่างคิดและคิดลึกอาจถามได้

“ก็เรื่องพี่ใหญ่มาพูดให้ตาชัดนั้น เธอเห็นเป็นอย่างไรคะ?” ช้อยถามขึ้น

ถึงแม้ว่าเรื่องที่ช้อยถามขึ้นจะเป็นเรื่องที่อุไรได้คิดอยู่หลายชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องตอบหล่อนก็ต้องคิดอีก ภายหลังจึงว่า

“มองดูคุณชัดแกก็ไม่มีอะไรเสีย แต่ยังไงไม่ทราบพูดก็ไม่ถูก ! ยังเสียดายคุณพระอรรถ ฯ ไม่หาย”

ช้อยพยายามหัวเราะ

“แต่ดิฉันได้ยินพี่ใหญ่พูดว่า ดูเหมือนแม่จันทรจะชอบตาชัด”

“อุ๊ย ก็แน่ละซีคุณ คุณชัดออกทั้งสวยทั้งคล่อง พูดก็เพราะ อายุก็ไล่เลี่ยกัน”

“นั่นน่ะซีคะ ถ้าเป็นพี่ใหญ่บางทีแกจะไม่ชอบ”

“ไม่จริงหรอกค่ะ ใครพูดก่อนแกก็ตกลงกับคนนั้นแหละ ความจริงแกชอบทั้ง ๒ คน ดิฉันเห็นนี่นา คุณพระมาแกก็ดีใจ กุลีกุจอทำนั่นทำนี่ คุณชัดมาแกก็เป็นอย่างนั้นอีกน่ะแหละ”

“ตกลงเธอเห็นจะไม่ขัดข้องซีนะคะ?”

อีกครั้งหนึ่งอุไรต้องใช้ความไตร่ตรองก่อนที่จะพูด

“ตัดสินลำบากเหมือนกัน เจ้าตัวทั้ง ๒ ฝ่ายเขาก็ชอบกัน ผู้ชายเขาก็ไม่เสียหายอะไร แต่ยังไงไม่ทราบ ดิฉันไม่ค่อยไว้ใจ ไม่ใช่ไม่ไว้ใจคุณชัด ไม่ไว้ใจแม่จันทรเอง กลัวแกจะไม่ทันคุณชัด แต่นั่นแหละค่ะ ของพรรค์นี้ต้องแล้วแต่บุญกรรม เป็นอันว่ายกไว้ก่อน เดี๋ยวนี้ดิฉันอยากทราบเรื่องคุณแม่ของเธอ นี่แหละค่ะที่ดิฉันให้เธอมาอยากจะถามเรื่องนี้ เมื่อวานมัวแต่ตกตะลึงพูดอะไรไม่ถูก ตอบได้แต่เพียงขอผลัดตรึกตรองดูก่อน เท่านั้น”

“จะถามว่ากระไรคะ?”

“ถามว่าคุณแม่ของเธอเห็นดีกับคุณชัดหรือ ดิฉันได้ยินว่าท่านกำลังจะไปขอลูกสาวคุณหญิงรานรอน ฯ ให้คุณชัดไม่ใช่หรือคะ?”

ทูตพิเศษของวิชัยตบแต่งสีหน้าดีแล้วจึงตอบว่า

“เรื่องนี้พี่ใหญ่บอกกับดิฉันว่า จะมาพูดด้วยตัวเองเพราะเธอจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบตลอดเรื่อง”

“ก็เรื่องมันเป็นยังไงล่ะคะ เราเล่ากันเป็นส่วนตัวก่อนเถิด ดิฉันจะได้พูดกับคุณพระถูก”

“สงสัยอะไรก็ถามซิคะ ดิฉันจะตอบตามความเห็นของดิฉัน”

“เรื่องคุณแม่นี่แหละ ท่านทราบแล้วหรือยัง?”

“ยังค่ะพี่ใหญ่ยังไม่บอก เพราะกลัวจะถูกดุก่อนเวลาโดยไม่เป็นประโยชน์ คุณอุไรตกลงอย่างไร แล้วพี่ใหญ่ถึงจะบอกคุณแม่”

“ก็จะให้ดิฉันตกลงยังไงได้ ในเมื่อดิฉันยังไม่ทราบเรื่องทางของเธอละเอียด”

“ถ้ายังงั้นดิฉันจะเล่าให้ฟังเท่าที่ทราบ คุณแม่อยากให้ตาชัดได้ลูกสาวพระยารานรอน ฯ แต่ตาชัดก็ดิ้นรนไม่ยอมท่าเดียว ทั้งพี่ใหญ่ก็ถือภาษิตปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ หมายมั่นไว้ ถ้าน้องรักใครจะจัดการให้เสียเอง ตามปกติพี่ใหญ่เป็นคนกลัวแม่ แหวขึ้นมาพี่ใหญ่ก็หมอบราบ แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวแก่ทุกข์สุขของน้องแล้ว เธอทำตัวเหมือนกับเป็นพ่อของน้องทีเดียว ถูกดุเป็นถูก เธอต้องพูดกับคุณแม่จนแตกหัก เธอเคยทำเช่นนี้มา ๒ หนแล้ว เมื่อคราวดิฉันก็หนหนึ่ง เธอชนะทั้ง ๒ คน หนนี้ดิฉันทายว่าเธอจะเล่นท่านั้นอีก ตามเสียงพี่ใหญ่เธอเชื่อว่าคุณแม่จะยอมแพ้เธอแต่ก็ออกวิตกอยู่นิดหนึ่ง นี่ดิฉันบอกเธอเป็นส่วนตัวนะคะ ดิฉันจับเสียงพี่ใหญ่ได้ เธอกลัวว่าถ้าแม่ผัวไม่ชอบลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้จะเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเธอคิดว่าเมื่อตาชัดแต่งงานแล้ว จะต้องหาบ้านอยู่ต่างหาก”

“นี่แหละข้อนี้ก็เป็นข้อสำคัญอยู่เหมือนกัน ธรรมดาแม่ผัวกับลูกสะใภ้ แต่ท่านหาให้ลูกเองบางคราวท่านยังท่าโน้นท่านี้ นี่คุณแม่ของเธอท่านจะหาผู้หญิงให้ลูก ลูกไม่รับ กลับหาเอง ท่านเกลียดเราก็ติท่านไม่ได้เสียด้วย”

“เรื่องนี้พี่ใหญ่ต้องคิดรอบคอบแล้วค่ะ เธอเชื่อว่าคุณแม่ไม่ใจไม้ไส้ระกำ เป็นแต่จุกจิกหน่อย เธอตั้งใจจะตัดเรื่องจุกจิกนี่ สำหรับไม่ต้องให้แม่จันทรได้รับความรำคาญสิคะ ถึงได้ว่าตาชัดต้องหาบ้านอยู่ต่างหากตามลำพังผัวเมีย”

อุไรพยักหน้าแล้วปรารภ

“แม่จันทรเขาก็รับว่าเขารักคุณชัดเสียด้วย อะไรก็ไม่ว่าหรอกนา เดี๋ยวนี้กลัวคนเขาจะครหาว่าน้องของดิฉันไปแย่งคู่คนอื่นเขาน่ะซี”

“ข้อนั้นไม่เป็นไปได้หรอกค่ะ คุณแม่เป็นแต่พูดเปรย ๆ กับฝ่ายโน้น ยังไม่ทันตกลงกันจริง ๆ จัง ๆ พี่ใหญ่ถึงได้กล้าเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ถ้าตกลงกันแล้วพี่ใหญ่รักแม่ราวกะอะไรดี ที่ไหนจะกล้าหักหน้าแม่ นี่ตาชัดยังไม่เคยเหยียบบ้านพระยารานรอน ฯ สักทีใคร ๆ เขาก็รู้

“ถ้าคุณพระอรรถ ฯ รับรองว่าจะจัดการให้เรียบร้อย ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง เด็กเขาชอบของเขาด้วยนี่ คุณหลวงก็บอกว่าเชื่อคุณพระอรรถ ฯ ถ้าคุณพระเป็นประกันแล้วก็ไว้ใจได้ ถึงอย่างไรอย่าให้จันทรต้องลำบากทีหลัง คุณพ่อท่านจะด่าดิฉันแย่”

“จริงซี ข้างเธอก็มีคุณพ่อ ข้างดิฉันก็มีคุณแม่”

“คุณพ่อของดิฉันท่านไม่กระไรนักหรอกค่ะ ท่านยกจันทรให้สิทธิ์ขาดอยู่ในดิฉันแล้ว จะต้มจะยำอย่างไรก็ได้ แต่เราเองต้องระวังหน่อย มีน้องอยู่คนเดียว ไม่ดูแลแกให้เป็นสุขก็ขายหน้าเต็มที”

“ถึงเวลาที่จะขอกันตามธรรมเนียม จะต้องส่งเถ้าแก่ไปที่ท่านเจ้าคุณหรือส่งที่นี่คะ?”

“ตรงนั้นยังตอบไม่ถูก แต่ก็ไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือคะ ไปที่โน่นหรือมาที่นี่ก็เหมือนกัน”

อีกฝ่ายหนึ่งแสดงกิริยารับรอง อุไรจึงถามสืบไป

“คุณพระอรรถ ฯ เห็นจะเป็นเถ้าแก่ให้น้องเอง”

ช้อยหายใจโล่งขึ้นถนัด ความข้อนี้เป็นข้อที่วิชัยแสดงความวิตกไว้มาก ในเรื่องการที่ชัดจะมีเรือนนี้ต่างกับเรื่องของพี่สาวในข้อที่คุณนายชื่นมิได้มุ่งมาดหาหญิงไว้ให้แล้ว ซึ่งวิชัยจะเจรจาให้ท่านโอนอ่อนมาตามทางของเขานั้น เขาเองตระหนักแน่ว่าจะยากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แม้หากว่าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะถือเคล็ดในข้อให้มารดาของฝ่ายชายมากล่าวจึงจะยกหญิงในปกครองให้ ดังนี้ความยุ่งก็จะเกิดขึ้นแทบว่าจะสางไม่ออก ครั้นเมื่อนางธุรกิจ ฯ ถามเปิดทางดังกล่าวแล้ว ช้อยจึงรีบตอบว่า

“แน่ละค่ะ ถึงไม่ใช่แม่จันทร เป็นผู้หญิงที่คุณแม่หาให้ตาชัด ท่านก็เคยพูดไว้ว่าจะให้พี่ใหญ่เป็นเถ้าแก่”

พ้นจากนี้แล้ว หญิงทั้ง ๒ สนทนากันต่อไปอีกนาน อุไรซักถามถึงความประพฤติส่วนตัวของชัด และรายได้ของเขา และในหน้าที่ทูตผู้ถือตรงตามคำสั่ง ช้อยพยายามเลือกให้คำตอบในทางที่ไม่ให้ร้ายแก่น้อง พร้อมกันนั้นมิให้ต่างกับความจริงจนถึงกับจะเป็นทางให้หล่อนถูกหาว่ากล่าวเท็จในภายหลัง ครั้นแล้วช้อยก็หว่านล้อมเอาได้ซึ่งคำตอบจากปากอุไร ให้ชัดมาเยือนคู่รักดังแต่ก่อน

แล้วช้อยก็ลาเจ้าของบ้าน กลับมาถึงที่อยู่โดยรถยนต์ของนางธุรกิจ ฯ

ตลอดวันนั้น ช้อยไม่มีกะใจนึกถึงเรื่องใดนอกไปจากเรื่องที่ตนได้ฟังแล้วได้พูดในตอนเช้า และสันดานมนุษย์มักกำเริบ สิ่งใดพอใจ ได้ทำแล้วย่อมอยากทำอีก วันก่อนนี้ ในยามกลุ้มจัด ช้อยได้เผยความในใจให้อนงค์ฟังโดยสิ้นเชิง เหตุฉะนั้นวันนี้ช้อยจึงคิดถึงอนงค์ คิดแล้วไม่เห็นช่องที่จะได้พบทันใจ หล่อนจึงใช้จดหมายแก้ขัด รวบรวมข้อความสำคัญต่าง ๆ โดยย่อ เขียนเสร็จสอดซองผนึก ให้คนใช้นำไปส่งยังตู้ไปรษณีย์โดยเร็ว ต่อจากนั้นก็เฝ้านับภาคนาฬิกาคอยที่จะได้พบพี่ชาย

เมื่อเขากลับมาถึง ช้อยกำลังปอกหอมกระเทียม สำหรับเครื่องผสมแกง แต่พอมองเห็นรถ ช้อยก็วางมือจากงาน ออกจากครัวมาสมทบกับพี่ชายตรงหน้าเรือนพอดี

พี่น้องมองดูกันโดยไม่ออกปากพูด แล้วต่างสาวเท้าเร็วเข้าเพื่อจะขึ้นไปชั้นบน แต่ในเวลานั้นเองคุณนายชื่นออกมายืนเยี่ยมประตู ยิ้มกับลูกชายแล้วว่า

“แม่กำลังคอยพ่อใหญ่อยู่เดี๋ยวนี้ เข้ามาบ้างในก่อนซี”

วิชัยส่งหมวกให้ช้อยโดยไม่พูดว่ากระไร

เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องเพียงสองต่อสอง นางศรีวิชัยบริรักษ์เปิดเชี่ยนหมาก หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้พระอรรถคดี ฯ ผู้ซึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่แล้ว

บนแผ่นกระดาษมีเส้นหมึกเป็นวงกลม ภายในขีดเส้นยาว และเส้นแบ่งเนื้อที่ในวงออกเป็นช่อง ๔ เหลี่ยมและ ๓ เหลี่ยม รวม ๑๓ ช่อง มีตัวเลขเขียนประจำกำกับ วิชัยมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พลิกกระดาษกลับเห็นวงกลมเป็นดวงที่ ๒ จึงถามว่า

“ดวงข้างหลังนี่ดวงผู้หญิงหรือครับ?”

“จ้ะ ผูกคู่กันทีเดียว”

“คำพยากรณ์ไม่เห็นมี”

“ท่านพระครูท่านบอกว่าดูยาก ดวงชะตา ๒ ดวง นี่อยู่ตามลำพังตัวก็เรียกว่าดีทั้งคู่ แต่เอาเข้าคู่กันเข้ามันมีอะไรขัด ๆ เป็นกาลกิณีกันอยู่ตรงไหนไม่รู้ ท่านบอกว่าท่านจะตรวจให้ละเอียดเสียก่อนแล้วจึงจะพยากรณ์”

“ยังงั้นท่านคงยังให้ฤกษ์ไม่ได้ซีครับ?” วิชัยถามเสียงใสขึ้นกว่าเก่า

“ท่านยังไม่อยากให้ แต่แม่บอกว่าต้องการเร็วท่านก็เลยให้มาอันหนึ่ง อยู่ข้างล่างยังไงล่ะ ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือนหน้า”

วิชัยวางแผ่นกระดาษ แล้วพูดด้วยเสียงที่พยายามให้เรียบที่สุด

“ควรจะรอให้ท่านขับให้ละเอียดเสียก่อน แล้วถึงหาฤกษ์ ฤกษ์ด่วนอย่างนี้อาจจะผิด ๆ ถูก ๆ ไม่น่าไว้ใจ”

“มันรอไม่ได้น่ะซีจ๊ะ เวลาไม่พอ มีคนมาซ้อนพ่อชัดเข้าแล้ว เข้าใจว่าจะไปติดแม่พยอม เดี๋ยวนี้พาเอาน้องชายไปด้วย จะมาท่าไรก็ไม่รู้หรือนังน้องสาวจะใช้ให้ไปกันตาชัด”

“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกครับคุณแม่ อนงค์ไม่ใช่ผู้หญิงแสนกล แล้วเด็กคู่นี้ไม่ได้คบกันอย่างชู้สาว เขาคนโก้ด้วยกัน ทันสมัยด้วยกัน เขาก็ชอบกันเท่านั้น เรื่องนี้ผมทราบมาเป็นที่แน่นอน”

“ถึงยังงั้นเราก็นอนใจไม่ได้ หมู่นี้คุณหญิงออกทำท่าจะดีดตาชัดอยู่นะ ถ้าเราพลาดท่าเป็นเสียทีเราทีเดียว แม่จะต้องรีบจัดการ พรุ่งนี้เย็น ๆ จะต้องไปหาคุณหญิงอีก จะได้นัดวันที่เราจะไปขอเสียให้เสร็จ”

นึกเบื่อต่อการที่ใช้เล่ห์ประวิงความเรื่องนี้ มาหลายครั้งแล้ว วิชัยคิดว่าเวลาแห่งการแตกหักก็จะมาถึงในวันพรุ่ง หมายความว่าถึงเวลาที่จะต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หรือมิฉะนั้นก็ไม่พูดอะไรเสียเลย ดังนั้นเขาจึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร

“หมู่นี้พ่อชัดของเราดูดีขึ้นมากนะ” นางศรีวิชัย ฯ กล่าวเมื่อได้นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว “ไม่เห็นไปเที่ยวไปเตร่ค่ำลงกินข้าวแล้วก็อยู่บ้าน”

วิชัยกำลังจะจุดบุหรี่สูบ และคลำพบไม้ขีดไฟในกระเป๋าเสื้อถึง ๓ กลัก เขาก็หยิบออกวางเรียงไว้ เมื่อได้ฟังมารดากล่าวขวัญถึงน้อง เขาจึงเงยหน้าพูดขึ้นว่า

“ครับ เขาบอกกับผมว่าเขาจะพยายามเป็นเด็กดีแล้วผมเชื่อด้วยว่าเขาจะทำได้จริง ขอแต่ให้มีเครื่องสนับสนุนดี ๆ หน่อยเท่านั้น”

พูดแล้ววิชัยรวมกลักไม้ขีดลงในกระเป๋าเสื้อ บุหรี่ที่จะจุดยังไมได้จุด เขาขยับลุกขึ้นคุกเข่าและถามว่า

“หมดธุระเท่านี้ไม่ใช่หรือครับ ผมอยากจะนอนพักเสียสักประเดี๋ยว”

“ไปซี” คุณนายพูด ยิ้มพยักด้วยใจดี “พักให้มาก ๆ หน่อยเถิดดี แม่เห็นพ่อใหญ่หมู่นี้ซูบซีดยังไงก็ไม่รู้ อย่าอดนอนให้มากนักซี ไอ้ละเม็งละครน่ะเขียนให้เขาแล้วไม่เห็นได้เบี้ยออกข้าวอะไรเลย ไม่ควรจะเอากำลังเข้าแลก”

ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อคุณนายชื่นหยุดพูดวิชัยก็ออกจากห้อง

พบช้อยคอยอยู่แล้วที่บนเรือน พอเห็นหน้าเขาหล่อนก็ถามว่า

“คุณแม่เรียกไปทำไมคะ?”

วิชัยโบกมือแล้วว่า

“พูดเรื่องของเราเถอะ ได้ความว่ายังไง?”

ช้อยจับตาดูพี่ชาย ทั้งความรักความสงสารปรากฏอยู่ในแววตา แต่หล่อนตอบเขาเพียงสั้น ๆ ว่า

“สำเร็จ”

ประหลาดนัก วิชัยเองเป็นผู้ขอร้องให้ช้อยดำเนินการเพื่อความสำเร็จประโยชน์แก่น้องชาย แต่ครั้นได้ฟังคำตอบของช้อย ก็รู้สึกวาบหวิวเหมือนกับมีมืออำมหิตมาล้วงเอาดวงใจไปจากร่าง นิ่งไปหลายวินาทีจึงถามขึ้นได้ว่า

“เรื่องของหมั้นว่าอย่างไร?”

“คุณอุไรไม่เรียกอะไรเลย ถ้าฝ่ายเราอยากจะให้ก็ให้แก่ผู้หญิง”

พี่กับน้องนิ่งเงียบไปด้วยกัน วิชัยนั่งลงบนเก้าอี้ ถอดถุงเท้า รองเท้า ภายหลังช้อยพูดขึ้นอีก

“ดิฉันถือตามคำสั่งพี่ใหญ่ ไม่ได้พูดรับรองอะไรเหนือไปกว่าที่สั่ง เพราะฉะนั้นพี่ใหญ่จะต้องไปฟังเรื่องจากคุณอุไรเองอีก แล้วจึงจะถือได้ว่าตกลงกันเป็นหลักฐานได้ คุณอุไรก็ถือว่าต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”

ผู้ฟังไม่ตอบ ช้อยชำเลืองดูเขานิดหนึ่งแล้วพูดต่อตามองดูกระดาน

“ถ้าดิฉันเป็นพี่ใหญ่ ก็จะไม่ต้องมานั่งทนทุกข์ดังนี้ ทั้งผัวทั้งเมียเขาอ้ามือคอยรับพี่ใหญ่เป็นน้องเขยทั้งคู่ เขารู้ว่าพี่ใหญ่รักแม่จันทร ยังคอยดูอยู่แต่ว่าเมื่อไรพี่ใหญ่จะพูดกับเขาให้เป็นกิจลักษณะเท่านั้น”

ยังไม่มีคำตอบ ช้อยเงยหน้าดูพี่ชาย เห็นเขานั่งพิงเก้าอี้ มือทั้ง ๒ ประสานอยู่บนศีรษะ ตาจ้องเป๋งอยู่ที่เพดาน ในที่สุดจึงถามขึ้นด้วยเสียงต่ำที่สุด

“แล้วตัวผู้หญิงล่ะ?”

คุณอุไรยืนยันว่าแม่จันทรไม่เห็นชัดดีกว่าพี่ใหญ่ แต่ตาชัดเป็นคนพูดก่อนแกถึงได้รับตาชัด”

มีความเงียบเกิดขึ้นอีกแล้ว ช้อยก็เป็นผู้ทำลายความเงียบเช่นเดียวกับคราวก่อน

“เวลายังไม่สายเกินที่จะแก้นะคะ พี่ใหญ่ไม่ต้องทำอะไรเลย ชั่วแต่เฉย ๆ เสียเท่านั้น เชื่อเถอะค่ะ ตาชัดแกไม่ถึงกับอกหักหรอก แต่อกพี่ใหญ่แน่ะดิฉันกลัวเหลือเกิน”

วิชัยผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ

“เรื่องตัวพี่ขอให้ยกเลิกกันเสียที ยิ่งพูดมากเปรียบเหมือนเอาของมีคมมาระสะเก็ด- - คุณอุไรจะให้พี่ไปฟังคำตอบได้เมื่อไร?”

“ไปเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ตาชัดก็เหมือนกัน ไม่มีการหวงห้ามแล้ว”

“ดียิ่งเร็วยิ่งดี” วิชัยพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง ถอดเสื้อชั้นนอกออกจากตัวแล้วก็นอนลงบนเตียง หลับตาทำท่าเหมือนจะหลับไปได้ในอึดใจนั้น

ถึงเวลาอาหารค่ำ เมื่อคุณนายชื่นกับชัดเข้าที่นั่งแล้ว ช้อยมาถึงทีหลัง บอกกับแม่และน้องว่าวิชัยยังไม่ตื่นนอน จึงตกลงแบ่งอาหารไว้สำหรับเขา แต่ครั้นเมื่อแม่ลูกรับประทานใกล้จะอิ่ม วิชัยก็เข้ามาในห้องนั้น สวมเสื้อชั้นในขาวกางเกงขาวผมหวีเรียบหน้านวลแต่ตาแดงก่ำ

ทั้งมารดาทั้งน้องหญิงชายต้อนรับเขาด้วยกริยาที่หยิบโน่นตักนี่ส่งให้ และวิชัยก็ยิ้มหัวพูดจาปกติ แต่เมื่อรับประทานข้าวได้ ๒-๓ คำแล้วเขาก็วางช้อนส้อม ยกมือกุมศีรษะไว้

“เป็นอะไรลูก?” คุณนายชื่นถาม

“ปวดศีรษะครับ !” วิชัยตอบ ใช้มือซ้ายรวบช้อนส้อม มือขวาบีบต้นคอตนเอง “คิดว่าอาบน้ำแล้วจะหาย กลับปวดมากขึ้นอีก”

“หิวจัดเกินไปก็ไม่รู้” ช้อยว่า “กลับมาถึงไม่ได้รับประทานอะไร เจ้าบ๋อยเขายกขึ้นไปให้ก็เห็นหลับเสียแล้ว”

“นอนหลับผิดเวลาอาจจะเป็นได้” ชัดออกความเห็น

“กินข้าวเสียอีกซีจ๊ะ” คุณนายบอก “บางทีท้องอิ่มแล้วอาจจะหาย

วิชัยตักข้าวใส่ปากอีก และรีบซดแกงตามด้วย แต่ครั้นแล้วเขาก็ผลักจานไปพ้นหน้า

“ไม่ไหว อยากจะเอาออกมากกว่าเอาเข้า” หัวเราะพลางพูดต่อพร้อมกับเอื้อมมือหยิบถ้วยแก้วน้ำ “หัวโตอย่างประหลาด คอก็ดูเหมือนจะโตกว่าบ่า”

“มันปวดที่ตรงไหน?” คุณนายชื่นถาม

“ขึ้นมาตามท้ายทอย” เห็นมารดามองดูด้วยสีหน้าแสดงความร้อนใจ เขาก็หัวเราะอีกว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ประเดี๋ยวก็คงหาย”

“รับประทานยาเสียเถอะค่ะ” ช้อยบอก แล้วลุกขึ้นทันใด

“ถูกแล้ว” พี่ชายรับโดยเร็ว “ต้องกินยาเพราะมีธุระจะต้องไปอีก แบกความปวดหัวไปด้วยเห็นจะไม่ได้การ”

สีหน้าคุณนายชื่นเปลี่ยนจากลักษณะวิตกเป็นลักษณะไม่พอใจ กระแทกหลังเข้ากับพนักเก้าอี้แล้วว่า

“จนเป็นยังงี้แล้วยังจะขับรถไปไหนอีกหรือ ธุระอะไรที่ไหนนะ ฉันอยากรู้นัก?”

“ใกล้ ๆ นี่เองครับ บ้านหลวงธุรกิจ ฯ ผมไปประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น พูดธุระ ๒-๓ คำแล้วก็จะกลับมา”

“พูดเรื่องอะไรกันไม่รู้จักแล้วจักรอด” เสียงคุณนายชื่นดังกว่าเก่า “ไม่เอาละฉันไม่ให้ไป ดูหน้าออกซีดตาก็แดงจนเป็นยังงั้น นี่ถ้าเป็นพ่อชัดละก็ฉันหาว่าเมาแล้ว จะเป็นไข้น่ะรู้ไหมแล้วยังจะไปตากลมเดี๋ยวสะพ้านจับตาย”

เงียบวิชัยไม่ได้แย้ง แต่ภายในใจเขากำลังนึกอยู่ว่า ความหวังดีของมารดาในเวลาเช่นนี้ เท่ากับจะแกล้งให้อาการไม่สบายกำเริบยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าการงานใด ๆ ยิ่งยากยิ่งลำบาก ผู้ทำยิ่งน่าจะประสงค์ให้ลุล่วงไปโดยเร็ว จะได้สำเร็จเสร็จสิ้นมิต้องร่ำไรไม่รู้แล้ว แต่คำพูดของนางศรีวิชัย ฯ ก็เพียบพร้อมด้วยเหตุผล จึงจำเป็นที่พระอรรถคดี ฯ จะต้องกลั้นใจไว้จนถึงวันพรุ่งนี้

รับประทานยาแล้ว วิชัยทนนั่งอยู่จนคนอื่น ๆ รับประทานของหวานเสร็จจึงขอตัวไปนอน ชัดกะผลีกะผลามตามมาด้วย กระซิบกระซาบถามว่า

“พี่ช้อยไปบ้านโน้นได้อะไรมาบ้างไหม?”

“แกทำไมไม่รู้จักไปถามเขาเองบ้างล่ะ” พี่ชายพูดห้วน ๆ

“ผมไม่รู้นี่ว่าแกไปทำไม ผลุนผลันไปถาม เผื่อพี่ใหญ่มีอุบายอยากจะปิดหรืออะไร ผมก็เข้าปิ้งซี”

เวลานั้นทั้ง ๒ ต่างกำลังขึ้นบันได ชัดไม่ยอมตามหลังพี่เพราะต้องการจะฟังคำตอบที่ชัดเจน สอดแขนของตนเข้ากับแขนวิชัยควงกันมาจนถึงหน้าห้อง

“ทางโน้นเขาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” พระอรรถคดี ฯ พูดน้ำเสียงดีขึ้นกว่าคราวแรก “ทีนี้แกเตรียมหาคำพูดไว้พูดกับคุณแม่เถอะ ชักช้าไม่ได้นะ วันนี้ท่านไปได้ฤกษ์สำหรับหมั้นมาแล้ว”

ชัดเกาต้นคอดังแกรก ๆ หลายหน ในที่สุดก็พูดว่า

“ตายแล้วผมตายแน่ ผมพูดกับท่านไม่รู้เรื่องนะคุณแม่น่ะ โธ่ พี่ใหญ่ช่วยทีน่า ไหน ๆ ช่วยมามากแล้ว”

พระอรรถคดี ฯ ก้าวเท้าเข้าห้องโดยไม่ตอบว่ากระไร แต่ชัดก็สามารถใช้ความเร็วแห่งขาได้เท่าพี่ชาย ฉุดแขนพี่ชายไว้แล้วว่า

“ผมทนให้ท่านเอ็ดไม่ได้เหมือนพี่ใหญ่นี่นา ฟัง ๆ ประเดี่ยวก็ชักเดือด อย่าว่าแต่เรื่องธุระเลย คุยกันยังไม่ค่อยได้ วันไหนผมเป็นคนพูดผมต้องพูดข้างเดียว วันไหนท่านอยากพูดผมไม่ต้องพูด หุบปากให้แน่นฟังท่าเดียว ขืนพูดออกไปก็ขวางท่านแล้วก็ถูกด่า”

“น้ำใจแกไม่อดทนต่ออะไรเสียเลย !”

“โธ่ ผมนะอยากทนนะ เห็นพี่ใหญ่ทนได้ผมก็อยากเอาอย่าง แต่ทนไม่ไหวพูดกันไม่รู้เรื่อง”

ผู้เป็นพี่มองน้องเต็มตา ในที่สุดก็ว่า

“ไปทีเถอะไป๊ พี่จะนอน วันหลังถึงค่อยพูดกันใหม่ อ้อนี่แน่ะ แกจะไปหาคู่รักก็ได้แล้วผู้ใหญ่เขาไม่ว่า เอ้าไปที” เขาจับหลังน้องผลักออกนอกห้องแล้วก็ปิดประตูลงกลอนเสีย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ