๓๔

เช้ามาก แสงแดดยังเป็นสีเหลืองอ่อน อากาศตามถนนในพระนครยังบริสุทธิ์ด้วยไม่มีธุลีละอองและไอน้ำมันคลุกเคล้า หญิงชายชาวพระนครเพิ่งจะลุกขึ้นล้างหน้าและเริ่มคิดถึงกิจการประจำวัน ประตูบ้านคุณเมี้ยน สุนทรพงศ์ เพิ่งจะเปิดรับพระภิกษุที่คอยรับอาหารบิณฑบาต เมื่อคุณผู้เป็นเจ้าของบ้านเห็นรถยนต์คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในประตู และแล่นอ้อมสนามหญ้าไปหยุดที่ข้างเรือน

ผู้ที่ขับรถยนต์คนนี้ และก็เป็นคนเดียวที่นั่งมาในรถเป็นหญิงสาวแต่งตัวเรียบ ๆ เหมาะแก่เวลา คือนุ่งซิ่นไหม สวมเสื้อขาวมีปกสูง สวมรองเท้าหนังขาวเกลี้ยงส้นสูงไม่เกิน ๓ นิ้วฟุต

เจ้าหล่อนผู้นี้ลงจากรถแล้วก็เดินตัดสนามตรงไปยังที่ ๆ เจ้าของบ้านยืนถวายอาหารแก่พระสงฆ์อยู่ คุณแม้นกับคุณเมี้ยนหันมายิ้มและพยักหน้ารับไหว้ แต่มิได้ออกปากถามแสดงความประหลาดใจ ในข้อที่หลานมาผิดเวลาเช่นนี้ เพราะเหตุว่าในเวลาที่ประกอบกุศลกิจ ไม่เป็นการไม่เคารพต่อท่านผู้ทรงสิกขาบท ซึ่งยืนรับอาหารอยู่ในท่าสงบและสำรวม

เมื่อพระสงฆ์องค์สุดท้ายเดินผ่านไปแล้ว คุณแม้นจึงถามว่า “มาแต่เช้ามีธุระอะไรหรือ หรือไปไหนมา”

“ออกจากบ้านก็ตรงมานี่แหละค่ะ” อนงค์ตอบเสียงใสพร้อมกับถอนใจอย่างโล่งอก ในการที่ต้องยืนอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลาตั้ง ๑๐ นาทีนั้นไม่เป็นสิ่งสนุกสำหรับหล่อนเลย

“เก่งจริง ตื่นแต่เช้ามีธุระอะไรหรือ ?”

อีกคุณหนึ่งมองดูหน้าหลานสาวแล้วตอบว่า

“เห็นจะไม่มีอะไร นอกจากความคิดแผลง ๆ หรือมิฉะนั้นก็ขับรถเอาอากาศบริสุทธิ์ ถ้าไม่มีธุระแม่จะยืนรอจนใส่บาตรเสร็จก็ดีน่ะซี”

อนงค์หัวเราะเบา ๆ และเพราะเหตุที่คุณทั้ง ๒ เป็นผู้สูงอายุ เมื่อจะเดินก็เดินอย่างเชื่องช้า อนงค์ผู้ซึ่งเดินเคียงท่านมาด้วย จึงออกอัดใจและได้สะบัดขาบ้าง เดินเขย่งบ้าง หลายครั้ง

แต่พอเข้าในชาลาใต้เรือนแล้ว คุณทั้ง ๒ นั่งลงบนเตียงไม้สักซึ่งท่านเคยใช้เป็นที่นั่งเล่น อนงค์คุกเข่าลงข้าง ๆ เปิดกระเป๋าถือหยิบจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้คุณอา

“อะไรจ๊ะ ?” ผู้รับถาม

“จดหมายที่คุณพระบ้านโน้นเขียนถึงอนงค์ค่ะ”

คุณพี่คุณน้องมองดูตากัน คุณหนึ่งถามว่า

“จะให้อาอ่านหรือ ?”

“ค่ะ อนงค์มาหาคุณอาก็เพราะเรื่องนี้”

อีกครั้งหนึ่งดวงตาทั้ง ๒ คู่มองกัน คุณเมี้ยนคลี่จดหมายพลางพูด

“ไม่ใส่แว่นก็มองไม่เห็นเท่านั้น”

อนงค์ลุกขึ้นว่องไว วิ่งขึ้นบนเรือน

ในระหว่างที่คอยแว่นตา คุณแม้นกับคุณเมี้ยนก็พยายามจะดูข้อความในจดหมายให้ได้ด้วยตาเปล่า ชูแผ่นกระดาษขึ้นจนชิดหน้า แล้วคุณแม้น ก็อ่านขึ้นดัง ๆ

คุณอนงค์”

“สั้น ๆ เท่านั้นเองหรือ ?” คุณที่ฟังอยู่ถาม “อะไรของเขานะ?”

“ถ้าจะเมียงเข้ามาเป็นหลานเขยเธอน่ะซี” มองไปตามกระดาษจดหมาย “ดูมันยืดยาวนักนี่”

“ไฮ้ อย่าอึงไป เดี๋ยวเด็กเล็กมันได้ยินเข้า” ลดเสียงเบาลงอีก

“ก็ดีหรอก แต่น่ากลัวจะเอาไว้ไม่อยู่ ของเราออกเปรียวราวกะปรอท”

พอเด็กหญิงนำแว่นตามาส่งให้ ทั้ง ๒ คุณต่างรีบสวมแว่นเข้ากับตา แล้วต่างคนต่างช่วยกันถือช่วยกันอ่านจดหมายอันมีเนื้อความดังต่อไปนี้

ก่อนที่จะพูดถึงสิ่งใด ฉันต้องอ้อนวอนขอรับประทานโทษในข้อที่ได้ล่วงเกินคุณไป เพราะความที่คุมสติไม่อยู่ ฉันรู้สึกว่าได้กระทำ กิริยาหยาบคายมาก แต่ขอให้เชื่อว่าใจของฉันนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินด้วยความลำพอง จะโทษอะไรก็ไม่ถนัด จึงโทษตัวเองที่ไม่มีความระวังตัว ขอได้โปรดอภัยให้ด้วย

คุณทั้ง ๒ หยุดลงพร้อมกัน หันไปถามอนงค์ผู้ซึ่งนั่งพิงเสาอยู่ทางหนึ่ง

“แกทำอะไรหนู ?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างไม่เอาใจใส่ “แกคิดมากไปยังงั้นเอง”

คุณอามองดูหลานอย่างสงสัยแล้วจึงอ่านต่อไป

ฉันได้ตรึกตรอง ทบทวนถึงข้อความที่คุณพูดกับฉันโดยละเอียด รู้สึกขอบคุณในความเมตตาของคุณอย่างสูงสุด และมากมายเกินที่จะพรรณนาให้ถูกถ้วนได้ แต่ว่าคุณอนงค์ คุณยังเด็กนัก คุณอ่อนกว่าฉันถึง ๑๓ - ๑๔ ปี ยังอยู่ในวัยที่สดชื่นเต็มไปด้วยชีวิตจิตใจ ความรู้สึกของคุณกำลังแรง สิ่งที่คนปูนฉันเห็นเป็นสถานประมาณคุณอาจจะเห็นเกินไปกว่านั้น สิ่งใดที่พอดีคุณจะเห็นเป็นดีเลิศ และสิ่งที่ทรามหน่อยคุณจะเห็นเป็นเลวถึงชั่วช้า ขอโทษที่กล่าวตามตรงเช่นนี้ หวังว่าคุณจะให้อภัย ความนิยมของคุณในการกระทำของฉันนั้นนับว่าเป็นบุญคุณแก่ฉันมาก อย่างน้อยที่สุดก็เป็นพยานให้เห็นประจักษ์ว่า กุศลกรรมของฉันผลิผลทันตา และเพราะเหตุที่ฉันถือว่า ฉันเป็นลูกหนี้ความเมตตาของคุณเช่นนี้ ฉันจึงถือเอาความเมตตาของคุณเป็นประโยชน์แก่ตัวไม่ได้ จนกว่าจะชี้แจงเหตุขัดข้องบางประการให้คุณเห็นเสียก่อน

ข้อแรกฉันไม่ใช่คนหนุ่ม อายุของฉันเกือบจะเข้า ๔๐ ความคิดความอ่านก็เฉื่อยชาไม่เฉียบแหลมว่องไว และฉันเคยมีภรรยาซึ่งได้ตายไปเสีย ๑๐ ปีกว่าแล้ว ข้อนี้บางทีคุณจะยังไม่เคยทราบ ขอให้คุณพิจารณาว่า ถ้าคุณจะนำชีวิตอันรุ่งโรจน์ของคุณมาร่วมกับชีวิตอันเหี่ยวแห้งทรุดโทรมของฉัน คุณเชื่อแน่หรือว่าจะเป็นสุข จะเสียใจ และความไม่สงบก็จะเกิดขึ้นแก่เราทั้ง ๒ ฝ่าย

ข้อที่ ๒ ฉันเป็นคนจน ไม่มีสมบัติสิ่งใด เท่าที่มีกินมีใช้ก็ได้อาศัยแต่เงินเดือน นอกจากนั้นฉันยังมีแม่ มีน้อง มีหลาน ซึ่งฉันต้องทะนุบำรุงให้มีความสุข ส่วนคุณเป็นคนมั่งคั่ง ถ้าจะปริมาณทุนทรัพย์ของเราทั้ง ๒ ฝ่ายก็ต่างกันราวกับฟ้ากับดิน และถ้าหากคุณจะนำทุนทรัพย์ของคุณมาสมทบกับทุนทรัพย์ของฉัน ฉันก็เป็นฝ่ายได้เปรียบข้างเดียว ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกละอายใจมาก

นอกจาก ๒ ข้อที่กล่าวแล้วนี้ ยังมีเรื่องความเห็นชอบทางญาติของคุณจะต้องนึกถึงให้มากเพราะฉันรู้จักฐานะ และรู้จักตัวของฉันดีกว่าที่คุณรู้จัก หมายความว่าคุณมองดูฉันด้วยความลำเอียงของคนที่มีความรู้สึกแรงกล้า ความดีที่ใคร ๆ เขาไม่เอาใจใส่คุณก็ยกย่องเสียเลิศลอย ทำให้ฉันออกจะแน่ใจว่าญาติของคุณทั้งชั้นผู้ใหญ่และชั้นเด็ก จะไม่เห็นดีด้วยกับความศรัทธาของคุณเป็นแน่

อาศัยเหตุถามที่ได้บรรยายมาแล้ว ฉันขออ้อนวอนด้วยถือความภักดีต่อคุณเป็นที่ตั้ง ให้คุณใคร่ครวญถึงผลที่จะเกิดภายหลัง เมื่อฉันได้ถือประโยชน์จากความเมตตาของคุณแล้ว ความศรัทธาของคุณจับใจฉันมาก แต่คุณจะต้องนึกถึงความสุขของคุณก่อน ดวงใจ ๒ ดวงจะเชื่อมกันโดยสนิท เพราะการวิวาห์นั้นจะต้องอาศัยปัจจัยที่สำคัญหลายประการ ปัจจัยเปล่านี้อาจจะบกพร่องทางฝ่ายฉัน แล้วจะเป็นเหตุให้ชีวิตของคุณเหี่ยวแห้งโรยรา เพื่อความเจริญแห่งชีวิตของคุณซึ่งฉันตีราคาไว้อย่างสูงโปรดทบทวนถึงเหตุผลทั้งหลาย ทั้งที่ฉันกล่าวแล้วและที่ไม่ได้กล่าว เพราะนึกยังไม่ถึงให้ละเอียดถี่ถ้วนด้วย

ฉันจะไม่คอยรับคำตอบของคุณก่อนเวลา ๑ เดือนล่วงแล้ว หลังจากวันที่คุณไต้รับจดหมายนี้ ในระหว่างนั้น เพื่อป้องกันการลำเอียงอันจะเกิดแก่คุณ เพราะฟังเรื่องที่เข้ากับฉันมากเกินไป เราจะยังไม่ควรติดต่อกันโดยทางพบ ทางพูด ทางเขียน หรือแม้ทางฟังข่าวจากญาติสนิทของฉัน โปรดถือเอาโอกาสนี้พิเคราะห์ถึงความรู้สึกของคุณให้ลึกซึ้งโดยไม่ต้องพะวงถึงสิ่งใด ๆ ที่ล่วงมาแล้ว ขอให้เชื่อว่าการห่างเหินจากกันโดยเด็ดขาดชั่วคราวนั้นจะทำให้ความคิดของคุณสว่างขึ้น และคุณจะได้วินิจฉัยทุก ๆ สิ่งที่เกี่ยวแก่ตัวฉัน โดยเที่ยงตรงตามความจริงทุกประการ

ในที่สุด อนุญาตให้ฉันกล่าวซ้ำอีกครั้งว่าฉันมีความรู้สึกในความเมตตาของคุณอย่างสูงสุด และจะรู้สึกเช่นนี้จนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต

ขอได้รับความภักดีอันแท้จริง

พระอรรถคดีวิชัย

อ่านจบคุณเมี้ยนลดจดหมายจากระดับตาแล้วพูดว่า “ไม่รู้เรื่อง”

“ไม่รู้ว่าอะไรไปทางไหนมาทางไหน” อีกคุณหนึ่งต่อ พลางถอดแว่นตา หันไปทางหลานสาว “เล่าไปซิจ๊ะมายังไงไปยังไงกระเถิบเข้ามานี่เถอะน่ะอะไรนั่งห่างนัก”

อนงค์ค่อย ๆ ลุกจากที่นั่งมานั่งบนเตียงข้างคุณอา คุณอาทั้ง ๒ ต่างตั้งใจฟังคำอธิบาย แต่อนงค์ก็อ้ำอึ้งไม่ค่อยจะเอ่ยปาก ต่อคุณอาเตือนซ้ำหล่อนจึงทำใจให้กล้าได้พูดขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจน

“คุณอาก็เคยทราบเรื่องส่วนตัวของคุณพระอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณอาเคยชมว่าเธอเป็นคนดีหาตัวจับยาก อนงค์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

คุณพี่คุณน้องพยักหน้า จ้องดูหลานอย่างกระหาย

“เมื่อวานซืนนี้ ระหว่างที่คุณอาไปรดน้ำ คุณพระมาพบกับอนงค์ที่นี่”

“นัดกันยังงั้นหรือ ?”

“เปล่าค่ะ อนงค์มาเปื่อย ๆ คุณพระจะมาหาคุณอาเพราะโรคขี้ลืมตามเคยของเธอ จึงเผอิญมาพบอนงค์ อนงค์ชวนให้เธอนั่งเล่นข้างกรงนก นั่งคุยกันอยู่สักครู่แล้วอนงค์ก็พูดเรื่องนั้น”

“พูดว่ากระไร ?”

อนงค์ก้มหน้า ตอบเสียงเบาลง

“พูดว่าอนงค์เห็นเธอเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขอยกตัวของอนงค์บูชาความดีของเธอ”

ไม่มีเสียงออกจากปากผู้ฟัง ผู้เล่าใจเต้นแรงขึ้นนึกอยากจะเห็นสีหน้าของท่าน แต่ไม่อาจเหลือบตาขึ้นดู

เสียงกระดาษไหว แล้วคุณคนหนึ่งถามขึ้นว่า

“แล้วเขาตอบมาด้วยจดหมายฉบับนี้หรือ ?”

อนงค์ยังไม่ทันตอบ อีกคุณหนึ่งก็สวนขึ้น

“น่ารักจริง ! ขอให้ดูหลานของเธอ ความที่เป็นเด็กสมัยใหม่นี่หากว่าเป็นผู้ชายอย่างพระอรรถ ฯ ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร ผู้หญิงยกตัวเองให้ผู้ชายก่อนโดยที่เขาไม่ได้ขอ มีใครเขาทำกันบ้างในโลกนี้ !”

“นี่แหละโทษที่ถูกตามใจจนเคยตัว อยากทำอะไรก็ทำได้ แล้วต้องทำให้ทันใจ แต่เรื่องพรรค์นี้มันเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ เมื่อไหร่ ใคร ๆ เขารู้ไปแล้วไม่มีทางดีเลยมีแต่ทางเสียเท่านั้น นี่หากว่าเป็นผู้ชายอย่างพระอรรถ ฯ”

อนงค์มีน้ำตาคลอ ตอบเสียงเครือว่า

“ถ้าเป็นคนอื่นอนงค์ก็ไม่พูดกับเขาอย่างนั้น”

“ถึงพระอรรถ ฯ ก็เถอะ ไปไว้ใจเขาได้อย่างไรเขาเป็นผู้ชายนี่ เรื่องพรรคนี้ใครเขาก็ถือ เขาจะเห็นว่าเราดีอย่างไรได้ ป่านนี้เขาจะมินึกว่าอนงค์นี่หน้าหนานัก เป็นผู้ดีเสียเปล่าไม่มียางอาย !”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นโดยเร็ว คุณอาทั้ง ๒ จึงเห็นว่าหล่อนกำลังร้องไห้ ท่านรู้สึกไม่เป็นสุขขึ้นทันที จะปลอบก็ไม่ถนัดปาก ท่านจึงถามขึ้นว่า

“อนงค์เอาจดหมายให้อาดูทำไม จะให้อาทำอะไรหรือ ?”

“เขาเตือนให้อนงค์นึกถึงความเห็นชอบของญาติค่ะ” อนงค์ตอบในเสียงสะอื้น “แต่ญาติอื่น ๆ อนงค์ก็ไม่เห็นสำคัญ เห็นแต่คุณอา ๒ คนเท่านั้น”

“การที่จะได้พระอรรถ ฯ เป็นหลานเขยน่ะ อายิ่งเสียกว่าเห็นชอบอีก เห็นดีดีใจทีเดียว เพราะอารักคน ๆ นี้เหมือนลูกหลานแท้ ๆ แต่ที่อนงค์ยกตัวเองให้เขาก่อนน่ะอาทนไม่ไหวจริง ๆ ถึงตัวพระอรรถ ฯ เองเขาก็คงไม่เห็นดี แต่เขาเป็นคนมีกิริยามารยาทถึงได้พูดอย่างในจดหมาย อนงค์ใจเร็วเกินไป ไม่นึกถึงทางได้ทางเสีย เรื่องพรรค์นี้ชอบให้พี่น้องเขาจัดการให้ถึงจะถูก นี่กลับไปบอกตัวผู้ชายเขาเองมันน่าเกลียดน้อยไปหรือ ?”

“ไม่มีอะไรนอกจากจะหัวใหม่จวัดนัก ถึงได้กล้าผิดผู้หญิงเขาทั้งหลาย แต่ว่าพระอรรถ ฯ เขาไม่ใหม่เหมือนแกนี่นา แกรู้จักเขาเป็นนานแล้วยังไม่รู้อีกหรือว่าเขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและขนบธรรมเนียมจัดเพียงไร ความประพฤติกิริยาท่าทาง จะพูดจะจาเป็นไทยเก่าทุกกระเบียดนิ้ว ตัวเขาเป็นผู้ชายยังไม่รุ่มร่ามเรื่องพรรค์นี้สักนิด ตัวเป็นผู้หญิงกลับไปรุ่มร่ามกับเขาก่อน เผื่อเขาไม่ชอบตัวจะว่ายังไง อากลัวเขาจะเข้าใจผิดไปต่าง ๆ น่ะนา”

“เป็นเพราะอนงค์สงสารเธอเหลือเกินค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงสั่นด้วยแรงสะอื้น “วันนั้นเป็นวันที่จันทรแต่งงานด้วย เห็นเธอเดินโซเซมารู้สึกว่าเธอคงจะว้าเหว่เหลือเกิน ตัวหรือก็กำลังเจ็บใจหรือก็ตกอยู่ในความทรมาน อนงค์ทนความสงสารไม่ไหวจึงได้พูดออกไป” เสียงหล่อนดังขึ้นเล็กน้อย แสดงความรู้สึกร้อนแรง “อยากให้เธอรู้ว่าเธอทำความดีไม่เสียเปล่า มีคนเห็นความดีของเธอ จึงรักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก เผื่อยังไงจะได้ปลอบใจเธอให้หายเศร้าได้บ้าง”

สตรีผู้สูงอายุทั้ง ๒ นั่งมองดูหลานด้วยความยุ่งใจ ในส่วนตัวของท่านนั้น อาศัยที่ท่านมีน้ำใจและความคิดกว้างขวาง จึงนึกหาเหตุผลให้แก่ตัวจนสามารถเข้าใจอนงค์ได้ดี แต่เมื่อนึกถึงคนอื่น ๆ ทั้งหลายตลอดจนถึงคนสำคัญคือตัวพระอรรถคดี ฯ เอง ท่านให้นึกสงสัยว่าเขาจะไม่เข้าใจหลานท่านเป็นแน่แท้

อนงค์พูดต่อไป ดวงตาอันแดงก่ำจ้องอยู่ในที่ว่างเปล่า

“คนอย่างพระอรรถ ฯ ไม่น่าจะนึกว่าอนงค์เป็นผู้หญิงไม่มียางอาย ถ้าอนงค์เกี้ยวผู้ชายเพราะความต้องการอย่างต่ำ ทำไมถึงต้องมาเกี้ยวคนอย่างพระอรรถ ฯ คนอื่น ๆ หนุ่มกว่า สวยกว่า มั่งมีกว่า โก้กว่าถมไป เขาไม่รอให้อนงค์เกี้ยวเขาสักที เพียงแต่ต้องคอยปฏิเสธไม่รับรักของเขาเหล่านั้น ก็เมื่อยปากเหลือเกินแล้ว ไหนว่าเป็นคนดีพิเศษ ไม่เคยเห็นความชั่วของมนุษย์เห็นแต่ความดีเมื่ออนงค์หวังดีบูชาด้วยใจบริสุทธิ์ ทำไมถึงกลับคิดเห็นในทางชั่ว” พูดขาดคำอนงค์ก็ยกมือขึ้นปิดหน้าและสะอื้นดัง

“จุ๊ย์ ๆ” คุณเมี้ยนทัก “เอ็ดตะโรขึ้นไปได้ นี่โกรธพระอรรถ ฯ หรือโกรธอา ?”

“ไม่โกรธคุณอาค่ะ” อนงค์ตอบ สั่นศีรษะประกอบคำพูด “อนงค์เข้าใจคุณอาดี ทราบล่วงหน้าแล้วว่าถ้าเล่าความจริงก็จะต้องถูกดุ แต่อนงค์ไม่เข้าใจพระอรรถ ฯ”

“ก็นี่พระอรรถ ฯ เขายังไม่ว่ากระไรสักคำนี่นา” คุณแม้นกล่าว “สำนวนจดหมายของเขาก็ออกเรียบร้อย พูดเสียออกเพราะเจาะ แล้วก็เป็นหลักเป็นฐานดี ล้วนแต่เตือนให้อนงค์คิดถึงความสุขของตัวเท่านั้น ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรเลย”

“แต่ใจของเขาตำหนิค่ะ !” อนงค์ตอบอย่างมั่นคงและสะอื้นถี่ขึ้น โดยมิได้สำนึกว่าคำพูดนั้นเป็นคำสารภาพที่แสดงความจริงให้คุณอาเห็นว่า ตัวของตัวก็รู้อยู่ว่าการกระทำของตัวไม่งามนัก

แต่อาการปริเวทนาของอนงค์ทำให้คุณทั้ง ๒ เดือดร้อนไม่น้อย เป็นที่เข้าใจกันอยู่ในหมู่วงศ์ญาติว่าอนงค์ไม่มีนิสัยอ่อนแอเจ้าน้ำตาเหมือนผู้หญิงสาวทั้งหลาย เพราะตั้งแต่หล่อนเติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นหรือรู้ว่าอนงค์ร้องไห้ เคืองนิด ๆ รำคาญหน่อย ๆ และสงสารมาก คุณเมี้ยนจึงว่า

“ก่อนที่ตัวจะพูดกับเขาทำไมไม่นึกเสียก่อนว่าเรารู้ใจเขาแค่ไหน เดี๋ยวนี้เกิดจะมาทำเป็นคนรู้แล้วก็ตีโพยตีพาย ความจริงไอ้เรื่องที่เราปรารภกันนั้นมันอาจจะไม่เป็นเรื่องจริงสักนิด ฝ่ายผู้ชายเขาอาจจะชอบใจเห็นว่าเราดี หรือมิฉะนั้นก็นึกสงสารเลยไม่นึกติเตียนอะไรก็ได้เพราะเขาเป็นคนใจดีจริง ๆ ไม่เคยหาความร้ายใส่ใครเลย”

“สงบกันเสียทีเถอะ” คุณแม้นตัดบท “เรื่องมันแล้วไปแล้วแก้ไขไม่ได้ เราอย่าเพิ่งเชื่อว่าพระอรรถ ฯ เขาเห็นเราเลว แต่ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเขาเห็นดี เขาบอกให้เราตรึกตรอง ก็ตรองดูให้รอบคอบแล้วก็รอฟังเขาไปก่อน แต่อย่างไรก็ตามอนงค์ต้องจำใส่ใจไว้ว่า การทำอะไรตามอำเภอใจและตามสมัยหัวใหม่เกินไปนั้นอาจจะนำผลร้ายมาให้เรา ไม่ว่าจะทำอะไรหมด ควรจะเดินสายกลาง คือค่อยคิดค่อยทำไม่พรวดพราด มิฉะนั้นจะต้องนั่งร้องไห้อย่างที่ตัวกำลังร้องอยู่นี่แหละ”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ