๓๕

พระอรรถคดีวิชัยเดินเตร่อยู่ตามถนนในบ้านแต่ผู้เดียว เมื่อเห็นรถฟอร์ดคร่ำคร่าคันหนึ่งแล่นเข้ามาในประตู แล้วหยุดกึกอยู่ริมสนาม

หลวงศักดิ์รณชิตโดดลงจากรถ เจ้าของบ้านสาวเท้าไปรับ ท่านนายพันตรีพูดว่า

“หลวงธุรกิจ ฯ เขาให้กันมาเอาเรื่องละคร”

“ชะ อะไรใจร้อนกันจริงนะ กันตั้งใจจะเอาไปให้แกพรุ่งนี้แล้วเทียว”

“ไอ้เรื่องละครน่ะ ไม่สู้ร้อนเท่าไรหรอกถึงแกเขียนยังไม่เสร็จก็ไม่มีใครเขามาบีบคอแก เดี๋ยวนี้พวกเขาเกณฑ์ให้กันมาลากคอคนเขียนไปกินข้าวค่ำวันนี้”

“อ๋อ ! นี่ไหมล่ะ เขาว่าสันดานทหารพูดไม่เป็นจะมาเรียกเขาไปกินข้าว เป็นบุญคุณหยอกอยู่หรือ ผ่ามาบอกว่าจะมาเอาเรื่องละคร”

“อุวะ กันไม่ใช่พวกนักกฎหมายนี่หว่า ไอ้ห่ ! เท่านี้ก็ต้องพิถีพิถัน วันนี้เขาประชุมกรรมการ เขาต้องการจะได้เรื่องละครไปเข้าประชุมพร้อมกับคนเขียนด้วย”

“แต่กันยังไม่อยากเข้าประชุมกับเขาเลย เวลาได้ยินเสียงเอะอะกันออกจะเหนื่อย อีกอย่างหนึ่งประชุมแล้วก็เลี้ยง เลี้ยงก็คือกินเหล้าแล้ว กว่าจะได้กลับก็ดึก มันแสลงโรคของกันทั้งนั้น”

หลวงศักดิ์ ฯ มองดูเพื่อนอย่างตั้งใจแล้วว่า

“อันที่จริงแกก็แข็งแรงดีแล้ว แต่ว่าอะไรที่หมอเขาห้ามก็ไม่ควรทำ เดี๋ยวจะมาเจ็บเป็นบ้าอย่างคราวนั้น

“ขอบใจ !” วิชัยตอบแกมหัวเราะ “เป็นอันว่ากันไม่รับเชิญนะ”

“ฮะ ไม่ใช่แล้วกัน ! พูดอะไรอย่างนั้น แกต้องไปแต่ไม่กินเหล้า แล้วต้องกลับก่อนคนอื่น ไอ้ห่--ไอ้เราอาสาเขามาว่าจะเอาตัวไปให้ได้ นี่กลับตีขลุมเพราะเราพูดดีหน่อยเลยพาลจะไม่ไป”

“พนันกับใครไว้หรือเปล่าว่าจะเอาไปได้หรือไม่ได้ ?”

“ว้า ! คำนี้อั๊วไม่ยอมตอบเด็ด ๆ ให้ดิ้นตายซีวะนายอาจจะมีเจตนาร้าย แกล้งให้ฉันต้องเสียค่าเหล้าเลี้ยงคนทั้งสโมสรก็ได้”

ท่านผู้พิพากษาหัวเราะถามว่า

“เราต้องไปถึงที่โน่นเวลาเท่าไร ?”

“ทุ่มตรง ๒ ทุ่มกินข้าว ถ้าแกยังใจเสาะเป็นปลาซิวจะไปถึงเวลากินข้าวทีเดียวก็ได้”

“ดีแล้ว” วิชัยว่า “ไปนั่งคุยกันก่อนชี หรือแกมีธุระจะไปไหนอีก ?”

“ไม่มี” เป็นคำตอบสั้น ๆ ตามเคย

๒ สหายพากันไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วหลวงศักดิ์ ฯ ถามว่า

“แม่ยายอั๊วอยู่ไหม”

“ไม่อยู่ ไปบ้านชัด”

“ดี ! พ้นทุกข์ น้องเมียอั๊วล่ะ ?”

“ไม่อยู่เหมือนกัน ไปกับคุณแม่ เห็นไหมความที่กันไม่อยากไปไหน อุตส่าห์ทนอยู่บ้านคนเดียว ถึงจะเหงาหน่อยก็ยังดีกว่าต้องฟังเสียงจ้อกแจ้ก”

“โอ๊ย !” หลวงศักดิ์ร้องดัง “นี่ไหมล่ะเขาว่าหัวกฎหมายความที่เคยตลบปลิ้นหาประโยชน์ใส่ตัวจนติดสันดาน แก้เกี้ยวออกมาได้ราวกับใครเขาไม่รู้เท่าว่าตัวเกือบจะไม่เคยเหยียบบ้านนั้นเลย ถ่านไฟเก่าใคร ๆ เขาก็รู้ ไอ้บ้า !”

“พูดเป็นบ้าไปน่ะ” พระอรรถคดี ฯ ขัดขึ้นโดยเร็ว “ถ่านแถ่นที่ไหน ไอ้เราชอบเขาข้างเดียว จะหาว่าเป็นถ่านไฟเก่ายังไงได้ ลิ้นของแกมันคอยแต่กระดิกสำหรับเรื่องบ้า ๆ พรรค์นี้เสมอ”

“เซ่อระยำ !” หลวงศักดิ์ ฯ กล่าว พอจะพูดต่อวิชัยก็ขัดขึ้นอีก

“รู้หรอกน่า ! แกบอกกันสัก ๑๐๐ หนแล้ว เลิกบอกเสียทีเถอะ ทำไมไม่นึกเสียบ้างว่าความเซ่อของกันให้ผลดีแก่ทุก ๆ คน ดูตาชัดสิเดี๋ยวนี้รู้อยู่เพียงไร ไม่ใช่เพราะความเซ่อของกันปล่อยให้แกได้แต่งงาน--แม่จันทร ดอกหรือ ?”

“โอ๊ย ยังใหม่อยู่นะซีพ่อคุณ ! รออีก ๒ - ๓ เดือนเถอะวะ แต่ถึงอย่างไรแม่ยายอั๊วคงปลื้มลูกชายพิลึกนะ”

“ก็แน่ละ ลูกดีแม่ก็ต้องชื่นใจ”

“อีควรจะไหว้ลื้อเสียทีหนึ่ง ค่าที่อีด่าลื้อมาก โอ๊ยอีหมู่นั้นอีไปบ้านอั๊วทีไรอั๊วต้องเผ่นหนี ขี้เกียจโดนฝอยน้ำหมาก”

วิชัยยิ้มขรึม ๆ ความคิดแล่นไปสู่ความหลัง หลวงศักดิ์ ฯ พูดขึ้นอีก

“พูดมากคอแห้งเสียแล้ว หาเบียร์ดื่มสักถ้วยเถอะน่า หรือท่าจะไม่มี เจ้าของบ้านมันหน้าเซ่อนักนี่”

“ก็เจ้าของบ้านแตะแอลกอฮอล์ได้เมื่อไหร่ล่ะเดี๋ยวนี้ แต่เขาก็คงหามาสำหรับแขกได้หรอก”

พูดแล้ววิชัยลุกขึ้น กวักมือเรียกเด็กคนหนึ่งที่เดินอยู่ตรงริมเรือนสั่งให้ไปตามนายบ๋อยมาหา

เมื่อคนใช้ผู้มีเชื้อสายเป็นลูกจีนมาถึง หลวงศักดิ์ ฯ ก็ถามขึ้นว่า

“ทิดนี่ใช่ไหมที่ชอบเทน้ำรดหัวนาย ?”

“ไอ้แกละมันคอยจำแต่เรื่องอัปมงคลทั้งนั้น” วิชัยพูดแกมหัวเราะ “ถึงทีเวลานายมันเจ็บมันอดหลับอดนอนพยาบาลทำไมไม่พูดถึงบ้าง” แล้วเขาสั่งให้บายบ๋อยไปจัดการหาเบียร์ให้เพื่อน

ในเวลาหลวงศักดิ์ ฯ จิบเบียร์ พลางคุยกับสหายอย่างเพลิดเพลินนั้น มีรถยนต์คันน้อยแล่นเข้ามาในบ้านอีกคันหนึ่ง เขาทั้ง ๒ มองดูรถอย่างทึ่ง แล้วหลวงศักดิ์ ฯ พูดเบา

“เอ๊ะ ! ไอ้นายทึ่มนี่มันขับรถได้ด้วยนะ แต่อั๊วไม่ยอมนั่งไปด้วยเด็ด กลัวมันพาไปทิ่มรก”

วิชัยไม่เอาใจใส่ในคำพูดของเพื่อน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันทีที่จำรถและคนขับได้ แต่กิริยาที่ลุกขึ้นไปต้อนรับนั้น ไม่แสดงความกระตือรือล้นเกินกว่าธรรมดา

นายประสิทธิ์เดินพลาง “ฮี่” พลางจนมาถึงตัววิชัยเจ้าของบ้านถามว่า

“สบายหรือคุณ กลับจากเหนือตั้งแต่เมื่อไร ?”

“หลาย ฮี่ นานฮี่ ๆ ๆ ผมเป็นทูตมา” แล้วเขาหยิบชองจดหมายกว้างยาวไม่เกิน ๔ นิ้วฟุตออกจากกระเป๋าเสื้อส่งให้วิชัยอย่างลุกลี้ลุกลน

พระอรรถคดี ฯ มองดูลายมือบนหลังซองแว็บหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น พูดว่า

“เชิญคุณไปนั่งที่โน่นก่อน”

“ม--ม่าย ฮี่ ฮี่ เขาสั่งไม่ให้ผม ฮี่ ฮี่ นั่ง อ—เอาตอบมาเร็ว” แล้วเขาแบมือ

พระอรรถคดี ฯ ลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วก็เปิดจดหมายสีน้ำเงินหม่นออกอ่าน เห็นอักษรตัวนิด ๆ เรียงแถวอยู่ในระยะพองาม มีข้อความดังนี้

ดังได้เรียนแล้วแต่วันแรก อนงค์สามิภักดิ์ต่อความดีไม่ใช่ต่อตัวบุคคล ถ้าความดียังไม่กลายเป็นความชั่ว อนงค์ย่อมไม่เปลี่ยนใจแม้ในเวลานานกว่านี้ อ..

อ่านแล้ว ๒ เที่ยว พระอรรถคดี ฯ จึงเงยหน้าขึ้นก้าวเท้าเข้าไปจนชิดประสิทธิ์และพูดด้วยเสียงอันเบา

“บอกคุณน้องของคุณว่า พรุ่งนี้ ๕ โมงเย็นที่บ้านสุขนิวาส จำไปให้ดีนะ”

ประสิทธิ์พยักหน้า ยกมือไหว้แล้วก็กลับหลังไปขึ้นรถ

“ทิดทึ่มนั่นมาว่ากระไร ?” หลวงศักดิ์ ฯ ถามเมื่อวิชัยเดินกลับมาถึงเก้าอี้

“เอาจดหมายของคุณอนงค์มาให้ มีธุระเล็กน้อย” วิชัยตอบแล้วรีบพูดต่อโดยเร็ว “กันต้องไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้ เพราะจะต้องไปพร้อมกับแก รถของกันคุณแม่เอาไปเสียแล้ว แกจะอยู่ที่นี่หรือจะขึ้นไปบนโน้นด้วยกัน ?”

แทนคำตอบ หลวงศักดิ์รณชิตยกถ้วยเบียร์ขึ้นถือไว้แล้วตัวเขาก็ลุกขึ้นยืน

คืนนั้นวิชัยกลับถึงบ้าน ก่อน ๒๒ นาฬิกาเล็กน้อยสนทนากับมารดาและน้องสาวเพียง ๒ - ๓ คำ แล้วก็เข้านอน แต่เพราะเหตุที่มีความคิดค่อนข้างฟุ้งซ่าน จึงไม่หลับได้โดยง่าย ต้องใช้อุบายหลายอย่าง คือนับ ๑ ไปจน ถึง ๑๐๐ ถึง ๑๐๐๐ บ้าง คุมสติแน่วกำหนดระยะสั้นยาวของลมหายใจบ้าง ประมาณชั่วโมงเศษจึงหลับสนิท

๑๖ นาฬิกา ๒๐ นาที ในวันรุ่งขึ้น วิชัยกำลังแต่งตัว แต่ความคิดมิได้จดจ่อกับการที่ตนกำลังทำล่องลอยออกหน้าถอยหลังวุ่นวายอยู่

๓๗ วันเต็มเข้าวันนี้ หลังจากที่อนงค์ได้เผยความรู้สึกให้แก่วิชัย ๓๗ วันเต็มเข้าวันนี้ที่วิชัยตกอยู่ในอาการพะวักพะวน สนเท่ห์ และลังเลใจ ความรู้สึกอันเกิดแก่ตัวในคืนนั้น คือพ้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าอนงค์แล้ววิชัยยังจำได้ดี โกรธตัวเองที่อ่อนแอถึงกับคุมกิริยาไว้ไม่อยู่ พิศวงไม่พอใจในข้อที่อีกฝ่ายหนึ่งละเมิดธรรมเนียมหญิง และปิติในข้อที่เห็นผลแห่งการกระทำดีประจักษ์ตา

วิชัยจำต้องสารภาพแก่ตัวเองว่า ในคืนวันสำคัญนั้นเขานึกถึงการกระทำของอนงค์ไปในทางเสื่อมมากกว่าทางดี เป็นการพ้นวิสัยที่คนเช่นวิชัยจะไม่สะดุ้งกลัวต่อการกระทำอันอาจหาญของอนงค์ บุคคลเกิดมาแล้วและอยู่ในความอบรม และความแวดล้อมแห่งวงศ์วานในสถานที่ ๆ ตนเกิด ซึ่งจะมีความคิดขาดจากประเพณีนิยมของเขาเหล่านั้นย่อมจะเป็นไปไม่ได้โดยแท้ เหตุฉะนั้นความคิดข้อแรกที่เกิดแก่วิชัยเมื่อเขามีสติเป็นปกติแล้ว จึงเป็นความคิดที่ทำให้บุรุษผู้นี้ตีราคาอนงค์ต่ำมาก

แต่อีกเวลาหนึ่ง เมื่อนิสัยที่อบรมแล้วจนตั้งมั่นอยู่ในเมตตา กรุณา มุทิตา โดยสม่ำเสมอ - ชักพาให้วิชัยมองดูเพื่อนมนุษย์แต่ในเง่ที่ดี - ไหวตัว และแสดงเหตุผลขึ้นบ้าง ความคิดที่ติเตียนอนงค์จึงตกไป

พระอรรถคดี ฯ มาคำนึงว่า อนงค์ได้วิสาสะกับชายหนุ่มแล้วจนนับไม่ถ้วน และได้ฟังคำสารภาพความรักจากเขาเหล่านั้นมานักต่อนัก แต่อนงค์ก็ยังครองตัวเป็นโสด ส่วนข้างวิชัยคำน้อยเขาไม่กล่าวเป็นเชิงให้เห็นว่าเขาใฝ่ใจในหล่อนยิ่งกว่าสตรีอื่น ข้างหล่อนสิกลับผูกใจในความประพฤติส่วนตัวของเขา ยกย่องว่าดีเลิศถึงกับสละทุก ๆ สิ่งเป็นเครื่องแลก และแสดงออกเป็นคำพูดอย่างจะแจ้ง ทั้งนี้จะหาว่าหล่อนมีความคิดวิตถารไปในทางชั่ว ก็จะเป็นการอยุติธรรมอย่างที่สุด อีกสถานหนึ่งถึงแม้วิชัยไม่มีนิสัยลำพองในการกระทำของเขาเอง แต่ความดีใด ๆ ที่เขาได้ทำแล้วเขาก็ทำเพราะเชื่อว่าดีเมื่อมีใครคนหนึ่งมาแสดงความเห็นดีตรงกับความเชื่อของเขาจะกลับไม่เชื่อกระไรได้

ที่สุดเมื่อจะสรุปความคิดของวิชัยเมื่อได้ใคร่ครวญเรื่องราวโดยละเอียดสุขุมแล้ว ก็มีอยู่แต่เพียงว่าอนงค์เป็นผู้หญิงที่กล้าเกินหญิง แต่ความกล้าของหล่อนมีความอบรมและเครื่องแวดล้อมเป็นเหตุให้โทษได้ ถ้าหากว่าอนงค์จะพิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดแลกิริยาของหล่อน มิได้เป็นเพราะความฟุ้งซ่านชั่วขณะ วิชัยย่อมจะถือว่าการกระทำทั้งสิ้นของอนงค์นั้นควรแก่การให้อภัย

สวมเสื้อชั้นนอกเรียบร้อยแล้ว วิชัยจึงออกจากห้องไปหามารดา

“คุณแม่จะใช้รถไปไหนไหมครับ ?” เขาถาม

“ไม่ใช้จ๊ะ แต่คนขับเขาไม่อยู่นะ แม่ให้เขาเอาส้มโอไปให้หลวงวิโรจน์”

“ไม่เป็นไรครับ ผมขับเองได้แล้ว”

“ระวังนะ” คุณนายชื่นกำชับ “อย่าขับให้มันปรูดปราดนัก ตัวยังไม่หายดี”

วิชัยยิ้มแทนคำตอบ

เขามาถึงบ้านสุขนิวาสได้เวลานัด ไม่ขาดไม่เกินจนนาทีเดียว หยุดรถที่ตรงหน้าตึกก็มีคนมาเปิดประตูให้และบอกว่า

“คุณผู้หญิงให้เชิญเข้าไปในห้องรับแขก”

พระอรรถคดี ฯ ถอดหมวกวางไว้ในรถ และเดินด้วยฝีเท้าอันไม่มั่นคง ตามคนใช้ไป

เข้าในห้องซึ่งว่างเปล่าปราศจากผู้คน วิชัยหมุนเคว้งอยู่ครู่หนึ่ง พอลดตัวจะนั่งบนเก้าอี้ เขาก็ต้องลุกขึ้นมายืนใหม่ เพราะแม่สาวเจ้าของบ้านหล่อนเข้าประตูมา

อนงค์ไหว้เขาและเชิญให้นั่ง แต่วิชัยยังยืนนิ่งแล้วก็พูดขึ้นในทันทีทันใด

“ฉันมาฟังคำตอบ”

“ดิฉันได้ตอบไปแล้วในจดหมาย” อนงค์ตอบโดยเร็วเช่นเดียวกับเขา

“คุณแน่ใจหรือว่าฉันจะให้ความสุขแก่คุณได้เต็มบริบูรณ์”

“โปรดอย่าพูดถึงตัวดิฉันเลยค่ะ พูดถึงคุณพระเถิด”

น้ำเสียงของหล่อนมีกังวานนุ่มนวล แต่ดูเหมือนไว้สง่าอยู่ในที และเป็นเพราะวิชัยรู้สึกว่าตัวพลัดเข้ามาในที่ ๆ ไมใช่ถิ่นของตัวหรือจึงประหม่านัก มองดูหญิงสาวแต่ไม่กล้าต่อตา แล้วยื่นมือทั้ง ๒ ออกไปข้างหน้า

โลหิตฉีดแรงซ่านไปทั้งตัวจนแก้มอนงค์เป็นแดงเรื่อ วางมือของหล่อนลงในมือเขา พระอรรถคดี ฯ ยกขึ้น แล้วพูดว่า

“ยังไม่เคยมีใครแสดงความเมตตาต่อฉันเท่าที่คุณได้แสดงแล้วเลย มีทางใดที่ฉันจะสนองความเมตตาของคุณได้ ฉันจะพยายามเต็มกำลัง แต่คุณต้องไม่ลืมว่าใจของฉันยังไม่เป็นปกติทีเดียว ผิดบ้างพลั้งบ้างโปรดให้อภัย”

อนงค์มีน้ำตาคลอ แต่หล่อนยิ้มได้อย่างน่าดูที่สุด แล้วตอบแก่เขาว่า

“เป็นพระคุณอย่างยิ่ง อนงค์ไม่ขออะไรมากกว่าความสงสารจากคุณพระ กรุณาอย่านึกว่าอนงค์เป็นหญิงชั่วอย่างที่คนอื่นเขานึก”

เขาบีบมือหล่อนแล้วจูบซ้ำ ภายหลังจึงถามว่า

“คุณอาของคุณทราบเรื่องนี้แล้วหรือ?”

“ทราบแล้วค่ะ ท่านเต็มใจให้คุณพระได้ปกครองอนงค์ แต่ท่านติอนงค์มากที่ก๋ากั่น ติจนอนงค์ท้อใจและนึกว่าความตั้งใจดีของอนงค์นั้นให้ร้ายแก่ตัวอนงค์เสียแล้ว คุณพระคงไม่รับความภักดีของอนงค์”

หล่อนยืมคำของเขามาใช้ ด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นคำที่เหมาะจะออกจากปากหล่อนมากกว่าที่จะออกจากปากเขา วิชัยถามว่า

“คุณนึกหรือว่า เมื่อฉันได้แสดงกิริยาเช่นนั้นต่อคุณในวันนั้นแล้ว ฉันจะหักหลังคุณในภายหลัง ?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นโดยเร็ว จ้องดูตาเขาพลางย้อนถาม

“เท่าที่คุณพระแสดงต่อดิฉันในวันนี้ เพราะมีเรื่องนั้นเป็นเหตุบังคับหรือคะ ความรู้สึกทั้งหลายไม่เป็นข้อสำคัญอันใดเลย ?”

สีหน้าวิชัยเผือดไปเล็กน้อย รอยยิ้มบนฝีปากนั้นเจือโศกมากกว่าเจือสุข ค่อย ๆ ดึงตัวอนงค์เข้าใกล้ ยกมือหล่อนประทับกับอก พูดเสียงต่ำและเบาเกือบเท่ากระซิบ

“โปรดอย่างเพ่อถามถึงความรู้สึกให้ลึกซึ้งนัก แต่ขอให้เชื่อว่าคำพูดที่ฉันได้พูดแล้วนั้นออกจากใจจริงของฉันทุกคำ อีกอย่างหนึ่งขอให้คุณระลึกไว้ให้มั่นว่าฉันเป็นคนมีแผลในใจ กรุณารักษาแผลให้หายก่อน แล้วฉันจะเป็นทาสที่ภักดีต่อคุณอย่างที่สุด”

เสียงโครมครามราวกับพายุพัด แล้วประสิทธิ์พรวดพราดเข้ามาในห้อง หนุ่มสาวจึงผละออกจากกัน

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ คุณพระจะ ฮี่ ฮี่ ผมหรือ ?”

วิชัยเลียริมฝีปาก ความเศร้าค่อย ๆ จางหายไปจากวงหน้า ในขณะที่เขาพูดว่า

“จนใจจริง ๆ ไม่ทราบจะตอบว่ากระไร ?”

“ฮี่ ๆ ๆ ผมถามคุณพระจะป---เป็นน้องเขยผมหรือ ?”

“อ๋อ ! แน่ละ ถ้าคุณน้องของคุณจะอนุญาต”

อนงค์ชำเลืองค้อนนิดหนึ่ง ประสิทธิ์อ้าปากหัวเราะแล้วว่า

“กรุณา ฮี่ ฮี่ เขา ฮี่ คุณพระมาตั้งร้อยปีแล้ว !”

พูดแล้วประสิทธิทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ อนงค์กับวิชัยจึงทำตามแบบอย่าง และพระอรรถคดี ฯ พูดแก่อนงค์ว่า

“ฉันตั้งใจจะมาใช้หนี้ที่ค้างอยู่อีกครึ่งหนึ่งด้วย”

“ครึ่งของครึ่งที่ค้างอยู่ซีคะ เพราะคุณพระไม่ได้พาหนูนิดมาด้วยนี่”

วิชัยหัวเราะหึ ๆ แล้วว่า

“ฉันเกรงว่าจะไม่สะดวกด้วยกันทั้ง-- ๓ ฝ่าย”

หญิงสาวนิ่วหน้านิดหนึ่งแล้วหัวเราะน้อย ๆ วิชัยพูดสืบไป

“เชิญพูดถึงเรื่องหนี้ของเราเถอะ ติดค้างกันมานาน ฉันออกจะร้อนใจเสียแล้ว เวลานี้เตรียมพร้อมที่จะตอบคำถามของคุณได้ทุกข้อ และจะตอบด้วยความเต็มใจที่สุดด้วย”

อนงค์มองเขาด้วยแววตาอันหวานซึ้ง แล้วถามขึ้นว่า

“ยังจำได้ไหมคะ วันเกิดอนงค์คุณพระเอาอะไรมาให้”

“จำได้ ลิปสติ๊กครึ่งโหล”

“ที่ให้ของเช่นนั้น มีความหมายอย่างไรหรือเปล่าคะ”

“เอ ก็หมายให้ใช้เป็นประโยชน์น่ะซี”

“แต่มีคนเข้าใจว่า เพราะคุณพระเห็นสีที่ริมฝีปากอนงค์แดงจัดเกินไปจึงซื้อลิปสติ๊กมาประชด”

“โอ พิโธ่ ! บาปกรรมแท้ ๆ ไม่ได้เจตนาเช่นนั้นเลย”

“แต่คุณพระคงเกลียดผู้หญิงที่แต้มสีตามหน้าอนงค์ทาย และยังมีใครอีกหลายคนคิดเหมือนอนงค์”

“เกลียดเป็นคำที่แรงเกินไป” พระอรรถคดี ฯ ค้านช้า ๆ “ไม่มีเหตุผลที่จะรู้สึกแรงถึงเพียงนั้น”

“ยังงั้นไม่ชอบ ? พอดีหรือยังคะ โปรดชี้แจงหน่อยเถอะค่ะ ว่าทำไมถึงไม่ชอบ จำเป็นอย่างยิ่งที่อนงค์จะต้องทราบ”

สายตาที่หล่อนมองมาสบตาวิชัยนั้น ทำให้บุรุษผู้นี้เข้าใจถึงความหมายที่แฝงอยู่โนประโยคสุดท้าย เขาจึงมองตอบหล่อนอย่างมีความหมายเช่นเดียวกัน และกล่าวว่า

“ฉันจะไม่เป็น- - -คนที่เอาแต่ใจของตัวเองจนถึงกับบังคับ--คนข้างเคียงมิให้แต่งตัวตามที่เขาชอบ”

หล่อนหัวเราะเบา ๆ แทนคำตอบ และนิ่งอยู่ในท่าเตรียมฟังต่อไป วิชัยจึงพูดขึ้นอีก

“จะให้ชี้แจง ก็ไม่ขัดข้อง แต่บางทีคุณจะเห็นว่าฉันจุกจิกเกินไป”

“อนงค์รู้จักคุณพระเสียดีพอที่จะไม่เห็นอะไรผิดจากที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้”

“ยังงั้นรึ ถ้าเช่นนั้นฉันจะพูดถึงความเห็นของฉันโดยละเอียดมันยาวมากอยู่นะคุณ เพราะว่าคนเราก่อนที่จะตกลงว่าจะชอบอะไรและไม่ชอบอะไรนั้นควรจะใคร่ครวญหาเหตุผลเสียก่อน ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงใช้เครื่องวิทยาศาสตร์แต่งหน้า เพราะเป็นการขนเงินออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับประโยชน์ตอบสักนิดอย่างเดียวกับคนไทยจะทิ้งผ้านุ่งและผ้าซิ่นไปใช้เครื่องแต่งตัวแบบฝรั่งเหมือนกัน

“อ้อ ! คุณพระคิดไปในทางเศรษฐกิจของชาติด้วย แต่ว่าเราช่วยไม่ได้นี่คะ มีอะไรบ้างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ที่เราได้มาโดยไม่ส่งเงินออกนอกประเทศ”

“เกือบจะไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นส่วนที่เหลืออยู่เราจึงควรรักษาไว้อย่างกวดขัน ถ้าเราทุกคนจะยกตัวของเราตั้งแต่ท่อนขาขึ้นมาถึงเอวอุทิศให้แก่ชาติ เราจะพยุงอาชีพพลเมืองสยามไว้ได้ไม่ใช่เล็กน้อย ถ้าคุณจะได้เคยไปยังหัวเมืองต่าง ๆ และเอาใจใส่ สังเกตดูความเป็นอยู่ของพื้นเมืองเหล่านั้นบ้างสักนิดหน่อย คุณจะมองเห็นความจริงเรื่องนี้ โดยไม่ต้องฟังคำแนะนำจากใครเลย”

“เวลานี้เดี๋ยวนี้ก็มองเห็นแล้ว” เป็นคำตอบอย่างมั่นคง “แต่นี้ไปคนข้างเคียงคุณพระจะอุทิศร่างกายเพื่อส่งเสริมอาชีพแด่เพื่อนร่วมชาติครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ว่าเรื่องการแต่งหน้านั้นมีเพียงเท่าที่คุณพระพูดแล้วเท่านั้นเองหรือคะ ?”

“ยังมีอีกคุณ ฉันคิดว่าผู้หญิงที่ะบายสีไว้ที่หน้านั้น บางคนที่ทาเป็นก็ดูสวยดี แต่ทว่าไม่งาม เพราะความสวยที่ตนแต่งเกินความจริงนั้นไม่มีค่า จะลวงตาได้ก็ชั่วขณะแรกที่ได้เห็น มิหนำซ้ำยังพาความสวยที่มีอยู่แต่เดิมราคาตกไปด้วย”

“ครึ” ประสิทธิ์ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ฮี่ ฮี่ ฮี่ ครึ ครึเท่าคุณอา !”

“ถูกของคุณ ผมเป็นคนครึที่สุด บูชาของจริงมากกว่าของเทียมเสมอ”

อนงค์มิได้หัวเราะด้วยกับบุรุษทั้ง ๒ วางสีหน้า ขรีึมอย่างเอางานเอาการและพูดว่า

“อนงค์จะจำคำของคุณพระใส่ใจไว้สำหรับคนข้างเคียงของคุณพระในภายหน้า”

สีหน้าวิชัยแสดงความรู้สึกลึกซึ้ง ดวงตาที่มองดูหญิงสาวก็มีประกายประหลาด มองอยู่เช่นนั้นอึดใจหนึ่งจึงพูดเบา ๆ

“ไม่ควรที่จะตามใจฉันนัก ฉันเป็นคนไม่เคยถูกตามใจ ถ้าถูกเข้าแล้วน่ากลัวจะเสียคน”

อนงค์มิได้ตอบ ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานที่สุดแล้วก็หันไปทางพี่ชาย

“พี่ประสิทธิ์ไปหาน้ำชามาเลี้ยงคุณพระหน่อยได้ไหมคะ ไม่ต้องหาหรอก อนงค์สั่งให้เขาเตรียมไว้แล้วบอกให้คนใช้ยกมาเท่านั้น”

เมื่อวิชัยนำความไปแจ้งแก่มารดาว่าเขาจะแต่งงานกับอนงค์ และความนั้นแพร่ไปถึงหูพี่น้องทั้งหลายก็ยังความประหลาดใจให้เกิดแก่เขาเหล่านั้นเอกอุจนแทบจะกล่าวได้ว่า แม้ประเทศสยามจะกลายเป็นประเทศหนาวไปตลอดปี เขาเหล่านั้นก็คงไม่ประหลาดใจเท่า ช้อยประหลาดใจน้อยกว่าคนอื่น และแม้ว่าความดีใจจะมีน้ำหนักมากกว่า หล่อนก็ถึงกับตะลึงไปเหมือนกัน ชัดหัวเราะจนงอหาย แต่เมื่อใครถามถึงเหตุ เขาก็ตอบไม่ถูก หลวงศักดิ์ ฯ เกาศีรษะและอุทานว่า

“ไอ้ห่ ! นี่มันยังไงกัน ทำไมถึงสับคู่กันไปได้”

ภรรยาของเขาเป็นผู้เสริมต่อ

“ยังไง ! ใครว่าพี่ใหญ่เช่อ หมุนไปหมุนมาไปคว้าเอาลูกเศรษฐี!

นางศรีวิชัยบริรักษ์ปรารภกับบุตรชายบุตรหญิงแก่เขยแก่สะใภ้จนครบคนว่า

“พ่อใหญ่จะเอาเขาไว้อยู่หรือ ?”

ภายหลังเมื่อคำปรารภนี้มาถึงหูวิชัย เป็นเวลาที่เขาหมั้นกับอนงค์แล้วได้เดือนเศษ เขาก็ยิ้มอย่างภาคภูมิและพูดเป็นเชิงเล่นว่า

“แต่จันทรยังเอาพ่อชัดไว้อยู่ พ่อใหญ่จะแพ้จันทรหรือยังไง”

แต่ต้นเหตุที่ทำให้เขาตกลงจะแต่งงานกับอนงค์นั้น ญาติทางฝ่ายวิชัยมิได้มีใครรู้ระแคะระคายแต่สักคนเดียว

ททํ มิตตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้
ททํ ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ภชนฺติ นํ พหู คนหมู่มากย่อมคบเขา

๑๒ /๑๐ / ๗๗

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ