๑๒

เมื่อถึงวันเลี้ยงเพื่อนนายจำลอง

เวลา ๑๙.๒๕ นาฬิกา อนงค์ยืนอยู่ระหว่างกระจกเงาบานใหญ่ ๒ บานที่ติดกับบานตู้ พิศดูเงาตัวเองทั้งเบื้องซ้ายเบื้องขวา เบื้องหน้าเบื้องหลัง พลางบรรจงจัดผมที่ดัดงอนระอยู่ได้ระดับคอ เงาในกระจกที่ปรากฏแก่ตาอนงค์ เป็นภาพของหญิงสาวที่สวยสด ราวจะเย้ยดอกกุหลาบกำลังแย้มได้อาย เครื่องแต่งตัวสีบัวโรยรับกับเสื้อสีเนื้อ ๒ สีของผู้แต่งเป็นอย่างดี ดวงตาของหญิงนั้น ก็เป็นเงางามด้วยแสงแห่งความชื่นชม ในรูปลักษณะอันสะคราญของตนเอง แน่ทีเดียวความปรารถนาของหญิงสาวทั่วไปในความสวยอยู่เป็นนิจ ย่อมทรงอยู่ไม่มีเวลาจำกัด แต่เฉพาะวันนี้อนงค์ใคร่จะสวยเป็นพิเศษ สวยอย่างไม่มีที่ติ สวยอย่างที่จะทำให้ชายหนุ่มใจเต้น เมื่อได้ยลโฉม และสวยพอที่จะเกินหน้าหญิงสาวที่อนงค์คาดคะเนว่าน่าจะถึงพร้อมด้วยความหรูเก๋ เพราะเหตุที่หล่อนเป็นนักเรียนกลับจากประเทศที่เจริญยิ่งแล้ว คือสหปาลีรัฐอเมริกา ! ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ของหญิงสาวนั้น เกิดความคิดในทางที่อนงค์ต้องน้อยหน้า เพราะเหตุไม่ได้เคยเหยียบแดนความรุ่งเรืองเหมือนเช่นดังน้องของเขา อนึ่งเล่าเป็นการสำคัญยิ่งในวันแรกแห่งการได้ทำความรู้จักกับชายผู้นั้น หล่อนจะต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังเพราะความสวยของหล่อนลดหย่อนกว่าคราวแรกที่เขาพบ จะเป็นการน่าอนาถสักเพียงไรถ้า “นาย ก” ตามที่จำลองเรียกบอกกับเพื่อนของเขาในภายหลังว่า “น้องแกสวยแต่เวลาเห็นผาด ๆ พิศแล้วไม่เป็นรสเลย” อนงค์น่าจะต้องร้องไห้เมื่อคำนี้ย้อนมาเข้าหูหล่อน โดยทางหนึ่งทางใดก็ตาม

ภายหลังที่ได้ใช้ฝุ่นแตะหน้าเพียง ๒-๓ ครั้ง เสียบเข็มฝอยลงบนผมที่พองขึ้นมาเกินต้องการ และเช็ดสีแดงที่แดงล้ำขอบริมฝีปากขึ้นไปเล็กน้อยด้วยผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอบ แล้วอนงค์ก็ยิ้มกับเงาตัวเองในกระจก และเพราะเหตุนี้หล่อนจึงต้องหันมายิ้มกับสาวใช้ ๒ คนที่คลานต้วมเตี้ยมอยู่ใกล้ ๆ ด้วย เพื่อแก้ขวย

ตรงเวลาราวกับนาฬิกาเรือนเดียวกัน พออนงค์ถอยห่างจากกระจกก็ได้ยินเสียงแตรรถที่แปลกหู อนงค์รู้สึกใจเต้นแรงขึ้น เข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อดูให้แน่ใจ รถซาลูนสีแดงผ่านดำแล่นเข้าประตูมาช้า ๆ แน่แล้วแขกคนสำคัญมาถึงก่อนผู้อื่น หัวใจเต้นแรงอยู่แล้วยิ่งเต้นแรงขึ้นอีก จนทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย อนงค์เริ่มสงสัยว่า เหงื่อจะออกทำให้หน้าหมดนวล ต้องหวนกลับเข้าหาโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้งหนึ่ง

โดยคำสั่งของนายจำลอง คนใช้ผู้ชายขึ้นมาแจ้งกับคนใช้ผู้หญิงให้เรียนแก่นายสาวว่าแขกมาแล้ว อนงค์จึงได้มองดูในกระจกอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะออกจากห้อง

เมื่อย่างเข้ามาในห้องรับแขก อนงค์รู้สึกว่าขาสั่นเล็กน้อยและให้พะวงว่าท่าเดินของตนไม่น่าชมพอ ดังนั้นจึงนึกชอบใจพี่ชายคนที่ ๓ ที่เขาลุกขึ้นมารับถึงประตู จับแขนหล่อนควงกับแขนเขา พาเข้าไปห้องอาคันตุกะด้วยกิริยาอันประกอบพร้อมทั้งความพะเน้าพะนอและภาคภูมิใจ บุรุษแปลกหน้า ๒ นายที่นั่งอยู่ในห้องนั้นขมีขมันลุกยืนขึ้น อนงค์สะกดใจไว้ไม่มองดู พุ่งสายตาไปยังสตรี ๒ นาง ก่อนพร้อมกับยิ้ม ด้วยยิ้มที่หล่อนเชื่อว่างดงาม เตรียมพร้อมที่จะทักทาย

“นี่คุณจงจิตต์ นี่คุณนงลักษณ์”

“ยินดีที่ได้รู้จัก” อนงค์กล่าว จำลองพูดต่อไป

“นี่อุดม นี่จำรัส”

อนงค์มองดูชายหนุ่มทั้ง ๒ พลางนึกถาม “คนไหนนาย ก” แต่จะเป็นคนไหนก็ช่างก่อนเถิด เร็วเท่าเร็วที่หล่อนมองสบตาเขา หล่อนแน่ใจแล้วว่าการที่บรรจงแต่งตัวเป็นพิเศษในคืนนี้ไม่เสียเปล่า เพราะแววตาของเขาทั้ง ๒ คนบอกชัดว่า เขากำลังงงงวยไปด้วยความสวยของหล่อนแล้ว !

อาศัยการช่างพูดหว่านล้อมของอนงค์ การเลี้ยงรับนาย ก. ในค่ำวันนี้จึงมีเจ้าของบ้านสุขนิวาสอยู่พร้อมหน้า ซึ่งนับว่าเป็นการใหญ่ แปลกกว่าเคยมิใช่น้อย ยิ่งไปกว่านี้ นอกจากแขกของนายจำลองรวม ๖ คน อนงค์ยังได้เกลี้ยกล่อมจนนายแสวงตกลงรับคำเชิญของนายจำลองเชิญนายสงัดมาเป็นแขกด้วยอีกคนหนึ่งด้วย

เมื่อแขกมาครบถ้วนตามที่กะไว้แล้ว กำลังจิบค็อกเทลและสนทนากันไปพลาง ก็มีรถยนต์แล่นเข้ามาในบ้านอีกคันหนึ่ง ผู้ที่อยูในห้องรับแขกมิได้มีใครเอาใจใส่ด้วยต่างคนต่างกำลังพูดและกำลังฟัง จนกระทั่งคนใช้นำหลวงอรรถคดีวิชัยมาถึงประตูห้องนั้น

ประสิทธิ์เป็นผู้เห็นหลวงอรรถคดี ฯ ก่อน ผุดลุกขึ้นยืนอย่างดีใจแล้วร้องว่า

“ฮี่ ฮี่ คุณหลวง พึ่ง ฮี่ มา !”

ทุกคนหันมามองตามสายตาประสิทธิ์พร้อมกัน อนงค์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย สมพงศ์ลุกขึ้น สีหน้าแสดงความสนเท่ห์ไม่น้อยกว่าน้องสาว พอหลวงอรรถคดี ฯ ผู้ซึ่งมุ่งหน้ามองตรงไปยังสมพงศ์ พูดขึ้นว่า

“ขอรับประทานโทษ ผมเห็นจะช้าไปมาก”

“เชิญเข้ามาเถอะครับ สมพงศ์พูดเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น ด้วยตัวเขาเองก็ยังอยู่ในความงงงวย”

“ผมจำไม่ได้ว่าคุณบอกให้ผมมาเวลาไร” หลวงอรรถคดี ฯ พูดต่อไป “ดูเหมือนคุณจะไม่ได้กำหนดเวลา”

สมพงศ์เริ่มจะเข้าใจเรื่องในบัดนั้น กัดริมฝีปากตัวเองเพื่อกลั้นหัวเราะแล้วจึงว่า

“ถูกละครับ ผมลืมบอกเวลาไป แต่คุณหลวงก็ไม่ช้านัก เรากำลังดื่มค็อกเทลกันอยู่”

จำลองจับตาดูผู้มาถึงใหม่ พลางกระซิบถามน้องสาว

“ใคร?”

ไม่มีคำตอบ ด้วยว่าอนงค์เองก็ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะตอบถูก นายอุดมกลับเป็นผู้ตอบแทน

“หลวงอรรถคดีวิชัย คุณไม่รู้จักดอกหรือ?”

ในเวลานั้นสมพงศ์กำลังแนะนำวิชัยให้รู้จักกับคนอื่น ๆ เมื่อครบตัวแล้ว อุดมก็ก้าวหน้าออกไปหาวิชัยถามด้วยสีหน้ายิ้มย่อง

“เชื่อว่าคุณหลวงคงจำผมได้”

วิชัยมองดูหน้าผู้พูดชั่วขณะหนึ่ง ครั้นแล้วก็ยิ้มและตอบว่า

“จำได้ครับ สบายดีหรือ ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”

“ทั้งวันนีก็ไม่ได้คาดว่าจะพบด้วย เราพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จันทรบุรี แต่ก็เป็นการพบที่พอเพียงจนผมจะลืมคุณหลวงไม่ได้ ผมได้เคยเขียนจดหมายถึงคุณหลวง ๒ ฉบับแต่ไม่ได้รับตอบก็เลยไม่กล้ารบกวนอีก”

วิชัยแสดงความประหลาดใจ นิ่งคิดอยู่เป็นครู่ในที่สุดจึงตอบว่า

“ผมไม่เคยได้รับจดหมายของคุณ อธิบายได้ว่าทำไมจึงไม่ได้รับคือว่าต่อจากที่ได้รู้จักกับคุณในเวลาเพียงเล็กน้อย ผมก็ต้องย้ายจากที่นั่นไปจังหวัดสงขลา”

บุรุษทั้ง ๒ นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้เคียงกัน อนงค์เลี่ยงจากที่นั้นไปหาสมพงศ์

“นี่หมายความว่ากระไรกันคะ?” หล่อนถามเสียงขุ่นพลางพยักหน้ามาทางแขกผู้ที่มาถึงเป็นคนสุดท้าย

แววตาเต็มไปด้วยความสนุกขบขันสมพงศ์หัวเราะพลางตอบว่า

“หมายความว่าเราจะต้องเพิ่มที่นั่งกินข้าวอีกที่หนึ่ง เพราะตาขรัวนั่นจำวันผิด !”

“บ้า !” อนงค์อุทานในลำคอ ลอบค้อนวิชัยทางเบื้องหลัง ด้วยดวงตาที่มีทั้งความขันและความโกรธ

“บ้าอย่างประหลาด !”

“ออกจะเป็นอยู่หน่อย” สมพงศ์รับ “อย่างไรก็ตามน้องต้องช่วยไปดูให้เขาจัดที่เสียเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวแขกของเราจะหิวมากเกินไป”

พูดแล้วสมพงศ์เดินห่างจากน้อง เข้ามาใกล้หลวงอรรถคดี ฯ อนงค์กำลังจะออกไปจากห้อง พอได้ยินคุณหลวงผู้พิพากษาพูดขึ้นว่า

“นายชัดเห็นจะติดธุระ อยู่เวรหรืออะไรสักอย่างหนึ่งจึงยังไม่มา ผมคอยอยู่ที่บ้านนาน เห็นเขาไม่กลับก็เลยต้องมาก่อน”

อนงค์นึก “ขวาง” ในใจ อดหัวเราะไม่ได้ พร้อมกันนั้นให้นึกอยากหันกลับไปค้อนผู้พูดสัก ๔ ครั้ง แต่เท้าของหล่อนได้พาตัวหล่อนพ่นประตูมาเสียแล้ว

ประมาณ ๒ นาทีต่อมา คนใช้คนหนึ่งก็เข้ามากระซิบกับสมพงศ์ว่า “คุณผู้หญิงให้เชิญไปในห้องกินข้าวสักประเดี๋ยว”

“เราจะต้องนั่งโต๊ะ ๑๓ คน !” อนงค์บอกทันทีที่เห็นหน้าสมพงศ์

“เอ๊ะ ไม่ได้การซี” สมพงศ์ร้อง “พี่เองน่ะไม่ถือหรอก แต่กลัวคนอื่นเขาจะถือ”

“อนงค์ก็ไม่ถือเหมือนกัน อนงค์ไม่ใช่ฝรั่ง แต่เกรงว่า แขกบางคนจะคิดเอาว่าเราโง่ไม่รู้จักอะไรเสียเลย”

เอาตาประสิทธิ์ออกเสียคนหนึ่งก็แล้วกัน พี่จะให้เงินแกไปกินข้าวที่ราชวงศ์”

อนงค์สั่นศีรษะแล้วตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

“น้องไม่ยอมเป็นอันขาด”

“ทำไม?” สมพงศ์ถามน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย

หญิงสาวสั่นศีรษะอีก

“น้องเป็นคนอ้อนวอนให้เธออยู่ในคืนวันนี้ ครั้นถึงเวลาเข้าจะไล่เธอไปเสีย ดูเป็นการไม่ไว้หน้าเธอเสียเลย”

“ทำไมจะไม่ไว้” สมพงศ์ตอบ น้ำเสียงกลับเป็นปกติดังเก่า “เราขอให้แกช่วยกู้หน้าเราต่างหาก หรือที่ถูกกู้หน้าหลวงอรรถคดี ฯ ถ้าพี่ไม่ติดขัดในข้อที่เป็นเจ้าของตาขรัวนั่นในคืนนี้แล้ว พี่ก็จะหายหน้าไปเสียเองแต่นี่พี่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เสียด้วย”

อนงค์ขมวดคิ้วด้วยความยุ่งใจ “บ้า !” หล่อนบ่น “บ้าที่สุด เกิดมาไม่เคยเห็นใครบ้าเท่า คนผีอะไรมิรู้เขาเชิญวันอาทิตย์ ทะเล้นมาวันเสาร์ !”

“เอาอย่างนี้เถอะน้อง” สมพงศ์พูดเมื่อได้คิดอยู่จนเห็นช่อง “เราตั้งเก้าอี้ ๑๔ ตัว ต่างว่าเรากะคนกินข้าวไว้ ๑๔ คน คนที่ ๑๔ คือตาชัด หลวงอรรถคดี ฯ พูดแหวกช่องไว้ให้เราแล้ว เมื่อตาชัดไม่มา เราคอยไม่ไหวก็ต้องนั่งกินเพียง ๑๓ คน”

“อ้อดี ! ตกลงชัดต้องรับบาป เพราะมีพี่ชายเที่ยวทำ ๕ แต้มใหญ่ถนัด น้องชายเลยดูเหมือนคนเหลวไหลและไม่มีกิริยา”

“ข้อนั้นพี่รับรอง พี่จะบอกกับคนอื่น ๆ ว่าชัดไม่ได้รับเป็นแน่ว่าจะมาและรู้ตัวอยู่ว่ามีธุระ”

พูดกันเป็นที่ตกลงแล้ว อนงค์จึงออกคำสั่งให้คนใช้เพิ่มที่รับประทานอาหารที่โต๊ะอีก ๒ ที่ แล้ว ๒ พี่น้องก็กลับเข้าในห้องรับแขกตามเดิม

ครั้นได้เวลาสมควรแล้ว อนงค์ก็กล่าวคำเชิญอาคันตุกะให้ไปรับประทานอาหาร สมพงศ์ตั้งใจรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับน้อง ฉวยโอกาสพูดกับหลวงอรรถคดี ฯ ด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า

“โธ่ตาชัดมาไม่ได้จริง ๆ แหละ แกบอกกับผมแล้วว่าคืนนี้เป็นคืนไม่สะดวกสำหรับแก “แต่ถ้ามาได้จะพยายามมา”

อนงค์เข้าไปยืนอยู่ยังที่ คือ ตรงหัวโต๊ะ แสวงชี้ให้นายสงัดถือเอาที่เบื้องซ้ายอนงค์ จำลองพานายอุดมมาทางมุมขวาแห่งโต๊ะ อนงค์หันไปยิ้มรับเขาแต่พองาม

ปลายโต๊ะที่สุด ตรงหน้าอนงค์ สมพงศ์เป็นผู้นั่งมีนางสาวสมจิตต์อยู่ทางเบื้องขวา และนางนงลักษณ์อยู่ทางเบื้องซ้าย นายจำรัสนั่งเก้าอี้ต่อนงลักษณ์ตามที่เจ้าของบ้านชี้ให้ เพราะเหตุว่านงลักษณ์กับจำรัสนั้นเป็นคู่หมั้นกัน

แขกของนายจำลองทั้ง ๖ คน ล้วนแต่เป็นบุคคลที่จำลองได้สรรมาแล้ว ว่าดีพอแก่การที่น้องหญิงคนเดียวของเขาจะคบหาด้วยได้ ส่วนนายสงัดนั้นก็เป็นชายหนุ่มที่จัดว่าเป็นพหูสูต คือผู้ได้ฟังและได้เห็นมาก ดังนั้นเมื่อสรุปความแล้วก็กล่าวได้ว่าทั้ง ๗ คน ต่างฝ่ายต่างไม่แพ้เชิงกันในเชิงไว้จังหวะคำพูดและกิริยาพอเหมาะสมแก่จรรยาแห่งความสมาคม ในส่วนเจ้าของบ้านเล่า เว้นเสียแต่ประสิทธิ์ซึ่งใคร ๆ ก็ต้องเห็นว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ผิดแผกจากคนทั่วไปแล้ว ต่างคนต่างตั้งใจระวังตัวมิให้ได้ชื่อว่าดีน้อยกว่ากันและกัน จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่เขาทั้ง ๓ รวมทั้งอนงค์ จะเป็นเจ้าของบ้านที่มีมารยาทอันผู้เป็นแขกจะหาตำหนิมิได้เลย

จำเพาะประสิทธิ์ได้นั่งอันติดกับวิชัยนั่ง ทำให้หนุ่มน้อยผู้นี้เบาใจในการที่จะต้องไม่ประหม่าอยู่ตลอดเวลา เพราะจะต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้า ฝ่ายวิชัยนั้นในขณะแรกที่เห็นประสิทธิ์อยู่เคียงกับตน ก็หันมายิ้มด้วยอย่างปรานีดังเช่นเมื่อคราวแรกพบ และได้ชักชวนให้ประสิทธิ์พูดคุยเกือบจะว่ามิขาดปากได้

การสนทนาในระหว่างบุคคลที่กล่าวมาแล้ว โดยมากเป็นเรื่องกว้าง เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกมากกว่าความจำเป็นไปจำเพาะบุคคล และถ้าแม้ว่าจะกล่าวถึงบุคคลใดโดยเฉพาะ บุคคลนั่นย่อมมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์สากลหรือพงศาวดารแห่งชาติใดชาติหนึ่ง พระนางอลิซาเบธแห่งประเทศอังกฤษ พระรามาธิบดีแห่งสยาม พระนเรศวร ฯลฯ

สังเกตตามข้อความแห่งการสนทนา อนงค์เห็นว่าในเชิงความจำอุดมเป็นคนเยี่ยมกว่าคนทั้งหมดที่อยู่กับเขาในเวลานั้น เรื่องที่เขาคุยและเล่ามิใช่เรื่องที่จะหาได้จากตำรา เป็นเรื่องเกร็ดเล็กน้อยเกินกว่าที่ปราชญ์เจ้าของตำราจะเขียนไว้ หากจะหาได้จากจดหมายเหตุสั้น ๆ บ้าง เรื่องชวนขันบ้าง เรื่องที่เล่าสืบกันมาบ้าง ดังนั้นคำพูดของอุดมที่ดังขึ้นจึงไม่สูญเปล่า ย่อมมีผู้รับซักต่อ และหัวเราะด้วยความขัน ถึงเช่นนั้นก็ดี ใช่อุดมจะเพลินอยู่แต่กับการที่ถูกคนทั่วไปเอาใจใส่เท่านั้นก็หาไม่ เขาย่อมหยุดเล่าเสียบ้างเพื่อหันมาพะเน้าพะนอเจ้าของบ้านสาว และคำพูดคำใดคำหนึ่งที่เขาจงใจพูดสำหรับหล่อนโดยเฉพาะบ่อยที่สุด

เมื่อได้นั่งอยู่ด้วยกันในระยะเพียงแค่เอื้อมแขนอนงค์จึงมิได้ละโอกาสในการที่จะลอบพิศดูหน้านาย ก. ของหล่อนอย่างถี่ถ้วน เมื่อดูผาดอุดมเป็นคนที่จัดว่าสวยเพราะเขาเป็นคนผิวขาว และท่าทางของเขาชูตัวเขาอยู่มาก แต่เมื่อดูพิศ อนงค์สังเกตเห็นว่าตาทั้ง ๒ ข้างของเขานั้นอยู่ห่างกันเกินสมควรไปหน่อย และริมฝีปากค่อนข้างหนาจนทำให้หน้าเขาเสียไปในเวลาที่เขาหยุดยิ้ม พิศดูอุดมแล้ว ใจอนงค์คิดถึงชัด เพราะเขาทั้ง ๒ มีเค้าหน้าและท่าทางคล้ายๆ กัน น่าจะลองคิดดูว่าใครสวยกว่ากัน ตาและปากของชัดดีกว่าของอุดม แต่ชัดมีหน้าผากแคบมาก ซึ่งอนงค์เคยติในใจบ่อย ๆ เพราะมันทำให้เห็น ลักษณะในวงหน้าชัดหย่อนความเหมาะเจาะที่จะเป็นหน้าของบุรุษผู้เข้มแข็ง นึกถึงชัดแล้ว จึงนึกเลยไปถึงพี่ชายของชัด ซึ่งนั่งอยู่ห่างจากอนงค์ไม่กี่มากน้อย แต่ได้ถูกอนงค์ลืมเสียสนิท อาการยิ้มด้วยนึกขำแกมสมเพชปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอนงค์ เมื่อนึกถึงว่าเขาผู้นั้นเป็นแขกซึ่งไม่มีใครคอยในค่ำวันนี้ แต่ก็เข้ามานั่งอยู่ร่วมกับแขกที่เจ้าของบ้านเขาเลือกแล้วอย่างหน้าตาเฉย พิศดูหน้าเขาที่เงยขึ้นฟังอุดมพูด ดูหน้าช่างซื่อไม่มีเหลี่ยมไม่มีคม ดูช่วงตาที่หล่อนเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกเพราะค่ำวันนี้เขามิได้สวมแว่นตาดำ ช่วงตาก็เหมาะกับส่วนหน้าไม่ทำให้เลวลงกว่าเมื่อแว่นปกปิดอยู่ ดูอาการที่หัวเราะ เขาหัวเราะเหมือนทารกที่ผู้ใหญ่ล่อด้วยอาการตบมือหรือทำหน้าตลกแต่เพียงเล็กน้อย จนทำให้น่านึกว่าเขาอาจหัวเราะได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะได้ฟังข้อขำหรือข้อที่ไม่คมคายเลยแม้แต่สักนิดเดียว ดูแล้วอนงค์ก็รวมความเห็นทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขาลงไว้ในความคิดว่า “อย่างนี้ก็เป็นลูกกะโล่สำหรับชัดเท่านั้นเอง !” นึกเลยไปถึงคำพูดของสมพงศ์ ที่กล่าวว่าจะเชิญแขกผู้นี้มาเลี้ยงอาหารเพื่อสอบจรรยา อนงค์รู้สึกว่าพี่ชายของหล่อนนั้นให้ความยกย่องหลวงอรรถคดี ฯ น้อยเกินไป เพราะเมื่อได้พิศดูท่วงทีที่บุรุษผู้นั้นนั่งลงรับประทานอาหาร ก็เห็นได้ชัดว่าเรียบร้อยได้เองทุกอิริยาบถ โดยที่เขาไม่ต้องใช้ความระวังสักนิดเดียว !

เมื่อเวลาล่วงไปครึ่งชั่วโมงแรก การสนทนาแปรรูปจากการเล่าและการฟังมาเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็น ครั้นเมื่อมีการออกความเห็นก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการคัดค้าน ด้วยว่าแม้มนุษย์เพียง ๒ คน ยังน้อยครั้งที่มีความเห็นตรงกัน มากคนมากความเห็นหรือความเห็นจะตรงกันได้หมด อนงค์จึงต้องตั้งต้นใช้ความสังเกตใหม่

คราวนี้ บุคคลที่มีคำพูดอันทำให้ใคร ๆ ต้องฟัง แม้จะเอาใจใส่หรือไม่ก็ตาม คือนายเติมกับนายสงัด นายเติมเป็นคนรักเหลี่ยมคู ไม่ชอบรู้สึกว่าตนพลั้งพลาดแม้ในการกระทำหรือการพูด แต่เขาเป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ดังนั้นจึงชอบออกความเห็นบ่อย ๆ ด้วยแน่ใจว่าต้องถูกเป็นแท้ มิควรที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะคัดค้าน ส่วนนายสงัดเป็นคนตรง เมื่อจะออกความเห็นก็ออกมาตรง ๆ ไม่ยักเยื้อง ครั้นถึงคราวที่ด้านความเห็นของคนอื่นเล่าก็ค้านตรง ๆ อีกโดยไม่กลัวโกรธ บุคคล ๒ ชนิดพบกันเข้าเช่นนี้ มิหนำเขาต่างฝ่ายต่างมองดูกันอย่างคู่แข่งชิงนางด้วยกันด้วย มีการโต้เถียงกันอย่างแข็งขัน ยังความสนุกเพลิดเพลินให้แก่ผู้ฟังบางครั้ง และก่อให้เกิดความรำคาญหูเป็นบางคราว

ด้วยความพิศวงเล็กน้อย เพราะหล่อนเองไม่รู้สึกสนุกนักในการฟังบุรุษ ๒ นายขึ้นเสียงต่อกัน อนงค์เห็นสีหน้าวิชัยแสดงความเอาใจใส่ต่อคารมของนายเติม และนายสงัดเป็นอย่างมาก เมื่อนายเติมพูดเขาหันไปดูนายเติม ครั้นสงัดตอบก็หันมาดูสงัด ดูแล้วฟังแล้วก็อมยิ้ม ครั้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอึกอักท่วงทีเหมือนจะจนแต้ม วิชัยก็กระตุ้นเตือนด้วยการหนุนและแนะทาง ตอนใดคนกลางกำลังสนุก วิชัยสนุกเท่ากับเขาเหล่านั้น ครั้นถึงตอนที่เขาพากันนิ่วหน้ารำคาญหู วิชัยกลับสนุกมากกว่าเดิม ยิ่งพูดกันนานเรื่องยิ่งมาก คนกลางก็น้อยลง ด้วยต่างคนต่างเข้าหนุนท้ายฝ่ายมีความเห็นใกล้เคียงความเห็นของตน การโต้แย้งก็แรงขึ้น ผู้ใดมีความบังคับตัวอ่อนกว่าอีกผู้หนึ่ง ก็บังเกิดการถอนฉิวอันเป็นทางให้แสดงความคิดเห็นวิปลาสนอกลู่ทางไป วิชัยกลับหัวเราะแทนที่จะขัดคออย่างเขาอื่น กล่าวมาเถิด ไม่ว่าความเห็นชนิดใดผิดหรือถูกวิชัยเงี่ยหูคอยฟังทั้งนั้น ดูเหมือนว่ายิ่งผิดมาก วิชัยยิ่งสนุกมาก จนเมื่อผู้ฟังมิได้เว้นคนลงเนื้อเห็นพ้องกันว่า อุตริมนุษย์ธรรมแล้ว วิชัยก็ยังหัวเราะอย่างแสนที่จะขันอยู่นั่นเอง

ตลอดเวลาแห่งการโต้วาทีรอบโต๊ะนี้ คราวใดที่มองไปเห็นหน้าหลวงอรรถคดี ฯ อนงค์อดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ตานั้นแกขันอะไรของแก” ครั้นเขาหัวเราะในเมื่อคนอื่นนิ่วหน้า หล่อนก็ถามอีกว่า “นั่นแกไม่รู้หรือวาความเห็นเช่นนั้นแม้เด็กอมมือก็รู้ว่ามันผิด แกโง่เกินไปหรือว่าแกมีความเห็นตรงกับข้อที่แกได้ฟัง อ้อ หรือแกไม่รู้จะทำอะไรดีกว่าหัวเราะ” หวนนึกถึงวันแรกพบ “แกก็ลาตัวหนึ่งเราดีๆ นี่เอง เอาเถอะถึงอย่างไรก็ดูดีกว่าวันก่อนมาก-” แต่เมื่อเวลาล่วงไปนานเข้า ความคิดชนิดหนึ่งสะกิดใจอนงค์ ทำให้หล่อนต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า “ตานี่แกลาจริง หรือเป็นเสือแกล้งทำเป็นลา?”

การแสดงความเห็นยุติลง เมื่อถึงเวลาลุกจากโต๊ะอาหาร ประสิทธิ์มีสีหน้าแดงกำด้วยฤทธิ์น้ำเมา ร่างกายโงนเงนดังจะทรงตัวไม่อยู่ดังนั้น เมื่อยกก้นขึ้นพ้นเก้าอี้แล้ว เขาก็คว้าแขนวิชัยไว้โดยแรง และใส่น้ำหนักลงบนแขนที่ยอมเป็นหลักให้เขาโดยเต็มกำลัง เบิกนัยน์ตาอันปรือขึ้นมองดูหน้าวิชัยและพูดว่า

“ฮี่ ฮี่ ร้อน-ไหม-คุณ-ฮี่-หลวง? ผม ฮี่ ฮี่ ฮี่ จัง !”

อนงค์ทอดสายตามองดูหน้าวิชัยโดยเร็ว เตรียมพร้อมที่จะตั้งวงค้อน เพราะคาดล่วงหน้าว่าวิชัยจะหัวเราะ แต่คุณหลวงผู้พิพากษาหาทำดังหล่อนคาดไม่ ก้มลงดูหน้าที่อยู่ต่ำเพียงระดับบ่าของเขา แล้วตอบเรียบ ๆ ว่า

“คุณควรจะไปอาบน้ำเสียเดี๋ยวนี้ แล้วคุณจะสบายขึ้นมาก”

“อาบ-น้ำ !” ประสิทธิ์ทวนคำ ตัวเซไปมา “ฮี่ ฮี่ ไม่ ฮี่ ร้อนสักนิด ฮี่ ๆ”

วิชัยไม่ตอบ ใช้แขนหนีบแขนประสิทธิ์แน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วพาเขาไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงใต้พัดลม

อุดมกับอนงค์เดินอยู่เคียงกัน หญิงสาวถามชายหนุ่มว่า

“คุณคุ้นเคยกับหลวงอรรถคดี ฯ มากหรือคะ?”

เขานิ่งคิดก่อนแล้วจึงตอบ

จะว่าคุ้นเคยหรือไม่ก็ยากที่จะว่า เพราะผมได้วิสาสะกับแกอยู่เพียง ๓-๔ วันเท่านั้น เมื่อคราวผมไปดูบ่อพลอยที่จันทบุรี แต่ผมบอกได้ว่าผมชอบแกมาก”

“เป็นคนอย่างไรคะ?” หล่อนถาม จับตาดูวิชัยผู้กำลังหยิบบุหรี่จากหีบเงินที่คนใช้นำไปส่งให้

“เป็นคนมีชื่อว่าใจคอกว้างที่สุด ไม่เอาเปรียบเพื่อนเลย”

“ข้อนี้เห็นจะแน่ เพราะแกฉลาดน้อยเกินไปที่จะหาทางเอาเปรียบใคร” อนงค์คิด ยังไม่ถอนสายตาจากเป้าเดิม ดังนั้นหล่อนจึงได้เห็นเขารับไม้ขีดไฟจากมือคนใช้มาจุดบุหรี่ แล้วก็เก็บกลักไม้ขีดใส่กระเป๋าเสื้อนอกของตัวเสียแทนที่จะส่งคืน

“เท่าที่ผมได้พบกับแก” อุดมบรรยายต่อไป “รู้สึกว่าข่าวที่ผมได้ฟังแล้วไม่เกินความจริง นอกจากนั้นหลวงอรรถ ฯ ยังเป็นคนสนุกที่สุด หัวเราะเก่งที่สุดและทำให้ใคร ๆ หัวเราะก็เก่ง”

“ยังงั้นหรือคะ?” หญิงสาวถามอย่างไม่สู้เชื่อ “แต่ตลอดเวลาที่เราคุยกันเมื่อตะกี้ ดิฉันเห็นแต่แกหัวเราะคนอื่น ไม่เห็นแกพูดให้คนอื่นได้หัวเราะแกบ้างเลย อย่างนี้เรียกว่าเอาเปรียบได้ไหมคะ?”

อุดมหัวเราะเบา ๆ และตอบว่า

“ขอแก้ให้เป็นแต่เพียงได้เปรียบ อย่าว่าเอาเปรียบเลย เพราะผมเชื่อว่าแกไม่ได้ตั้งใจ การที่แกไม่ได้แสดงอะไร ๆ ของแกให้เราหัวเราะคงจะเป็นที่แกเห็นว่ายังไม่ถึงคราวจำเป็น เพราะคนอื่นได้แสดงอยู่แล้ว”

“ดิฉันเพิ่งได้รู้จักกับหลวงอรรถคดี ฯ เป็นครั้งแรก” อนงค์พูดเพื่ออธิบายการซักถามของหล่อน “และดิฉันชอบเรียนรู้นิสัยของคนที่ดิฉันแรกรู้จักเสียก่อนที่จะสนิทสนมกัน”

“หวังว่าจะไม่เป็นการยากแก่คุณ ในการที่จะเรียนนิสัยผม” อุดมพูด นัยน์ตาจับตาหล่อนอย่างมีความหมาย “ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมจะเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนบ่อยเท่าที่คุณต้องการ”

หล่อนยิ้มให้เขาอย่างงาม แล้วพาเขาเดินเฉียดมาทางประสิทธิ์นั่งอยู่ วิชัยลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อหล่อนหยุดยืนพูดกับพี่ชาย และเลื่อนเก้าอี้ในทีเชิญ

“นั่งเถอะค่ะ” หญิงสาวกล่าวตอบกิริยาของเขา “ดิฉันดีใจที่ได้ยืนเสียหน่อยเพราะนั่งมานานแล้ว”

“คุณหลวงฮี่ กำลังฮี่ ให้ฮี่ พี่ฟัง” ประสิทธิ์พูดขึ้นคว้ามือวิชัยแต่คว้าพลาดไปถูกบุหรี่วิชัยถืออยู่โดยแรง ถึงกับเปลวไฟร่วงกระจาย จึงสะบัดมือที่ถูกความร้อนร่อนอยู่ อนงค์ดุแกมหัวเราะว่า

“อะไรก็ไม่รู้ พี่ประสิทธิ์ ! มือไม้พองหมด พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง คุณหลวงกำลังฮี่ ใครจะเข้าใจ”

“ฉันกำลังพยายามจะชี้แจงให้คุณประสิทธิ์ เชื่อว่าตัวเขากำลังไม่สบาย ต้องการถูกน้ำเย็นมาก ๆ” วิชัยบอก

“จริงของคุณหลวงค่ะ” อนงค์กล่าว ซ่อนความพิศวงในข้อที่หลวงอรรถ ฯ พูดกับหล่อนได้อย่างฉาดฉานไว้ในใจ “พี่ประสิทธิ์ไปนอนเสียเถอะค่ะ เดี๋ยวหลับอยู่ที่นี่เอง”

“ไม่สบายเป็นอะไร?”

“เปล่า ผม ฮี่ ฮี่ เปล่า ฮี่ ไป น้อง ไป พี่ จะ ฮี่ ฮี่ กับ ฮี่ หลวง”

อนงค์นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดกับบุรุษ ๓ นายที่ยืนอยู่ว่า

“โปรดเลื่อนเก้าอี้มานั่งที่นี่เถอะค่ะ ดิฉันจะอยู่กับคุณหลวงด้วย คุยกับพี่ประสิทธิ์เห็นจะไม่เพลิดเพลินนักหรอก”

ชายหนุ่มทั้งสองทำตามที่หล่อนบอก เมื่อได้นั่งลงแล้ว นายคนใช้ผู้มีความรอบคอบก็ได้ยกบุหรี่มาถือส่งให้อุดมตรงหน้า ก่อนที่จะหยิบบุหรี่ อุดมถามอนงค์ว่า

“คุณไม่รังเกียจหรือ?”

“ดิฉันชอบกลิ่นบุหรี่” หญิงสาวตอบ

อุดมหยิบบุหรี่พลางถามวิชัย

“บ้านคุณหลวงอยู่ที่ไหนครับ ผมอยากรู้จัก จะได้ไปหา”

“อยู่ที่ถนนกรุงเกษม เป็นเรือนไม้ หน้าบ้านมีต้นแคเป็นแถวข้างบ้านทางทิศตะวันตกเป็นตึกใหญ่ ทิศตะวันออกมีบ้านกำลังปลูกใหม่ อ้อ !-” หันมาทางอนงค์ “ดูเหมือนคุณสมพงศ์บอกฉันว่า บ้านนั้นเป็นบ้านของคุณอาของคุณ”

“ถูกแล้วค่ะ” อนงค์รับ

“ถ้าคุณอยากจะไปบ้านผม” วิชัยพูดกับอุดมต่อไป “เพื่อไม่ให้ลำบากแก่คุณ ในการต้องเทียวหา บอกกำหนดให้ผมทราบแล้วผมจะไปรับคุณเอง”

พูดแล้ววิชัยก็จุดบุหรี่ที่ตนถืออยู่ ด้วยไม้ขีดไฟที่คนใช้ส่งให้

“คุณจะไปรับผมที่ไหน? หรือคุณรู้จักบ้านผมแล้ว?” อุดมถามด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ

“รู้จัก” วิชัยรับพลางยิ้ม ทิ้งกลักไม้ขีดไฟลงในกระเป๋าดังแกร็ก ทำให้อนงค์ถึงกับต้องกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้ม เพราะเห็นสีหน้าคนใช้ของหล่อนมีอาการตื่นและไม่รู้ที่จะจัดการอย่างไร ส่วนเขาพูดเรื่อยต่อไปว่า “ผมรู้จักเมื่อคราวมากรุงเทพ ฯ ก่อนที่จะไปสงขลา เพื่อนคนหนึ่งชี้ให้ดู”

“พิโธ่ ! น่าเสียดายจริง การโยกย้ายของคุณหลวงทำให้เราไม่ได้ติดต่อกัน นี่หากเคราะห์ดี เผอิญมาได้พบกันคืนนี้”

ต่อจากนั้นอุดมก็เป็นผู้นำการสนทนาเรื่อยไป อาศัยความใคร่ต่อการเรียนอัธยาศัยอันแท้จริงของผู้ที่หล่อนรู้จัก แม้โดยเผินหรือใกล้ชิดเฉพาะคืนวันนี้ อัธยาศัยของวิชัยและอุดมเป็นปัญหาที่อนงค์กำลังต้องการเรียน ดังนั้นหล่อนจึงนิ่งฟังเขาทั้ง ๒ พูดกันอย่างตั้งใจ อุดมสรรเสริญหลวงอรรถ ฯ เพื่อรักษาชื่อในเชิงสุภาพและปากหวานหรือสรรเสริญด้วยใจจริงเพราะเป็นความจริง? ข้อนี้อนงค์สงสัย นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องเกี่ยวแก่ความสนุก หล่อนอยากเฝ้าดูให้ถึงที่สุดว่า เมื่อหลวงอรรถคดี ฯ ออกจากบ้านหล่อน เขาจะมีไม้ขีดไฟติดตัวไปด้วยสักกี่กลัก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ