๒๓

๒๐ มกรา-ชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ มีเรื่องตลอดทั้งวัน แต่จดได้เพียงเท่านี้เพราะจำเป็นต้องจด อย่างไรเสียก็ต้องจด ตี ๔ ง่วงนอนเต็มที ๒๑ มกรา ได้สุภาษิตบทหนึ่งเป็นที่ระลึกในวันครบรอบปีที่ ๒๔ ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ๒ รอบแก่แล้วใคร ๆ ก็ว่าทำไมไม่เลือกใครสักคนหนึ่ง เมื่อคืนนี้ตั้ง ๓ คนเรียงตัวกันเข้ามาให้เลือก เติม สงัด อุดม นึกไปก็น่าสงสาร อยากรู้ว่าจะละความพยายามไหม พี่ก็โกรธช่วยไม่ได้ หลับตานึกถึงพ่อ ๓ คน ถ้าจะฝืนใจแต่งด้วยสักคนก็ฝืนได้ แต่จะมีคนรักก็เสียใจประโยชน์อะไรในเมื่อจะทนอยู่ด้วยกันได้ไม่เกิน ๓ เดือน ติ๊ต่างว่าแต่งกับอุดมตั้งแต่เช้าตลอดเย็นไม่ได้ฟังอะไรนอกจากโวหารปลายลิ้น นานๆ ฟังทีดูก็เพราะดี ฟังบ่อย ๆ เข้าชักเวียนหัวคลื่นไส้ แต่งกับสงัดนั่งรถไปไหนด้วยกันไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อหมด เดือนเดียวโรคประสาทกินตาย ถึงนายเติมยิ่งร้ายใหญ่ไปถึงไหนก็คอยแต่พูดอวดดี ฉันเป็นที่หนึ่งเสมอไม่ไหว อดขัดคอไม่ได้ เดี๋ยวก็ตีกันตาย มีคู่ไม่ดี ไม่มีเสียดีกว่า เป็นโสดจนตายก็ช่าง เขาอยู่กันได้ถมไป

พบคนมาก ไม่เห็นใครน่าทึ่งเหมือนพระอรรถคดีวิชัย ตีหน้าได้หลายอย่าง เดี๋ยวก็ครึเดี๋ยวก็เปิ่น เดี๋ยวก็ดูคล่องแคล่วปราดเปรื่อง เมื่อคืนนี้ปราดเปรื่องเป็นพิเศษ แต่งตัวรัดกุมดูเข้าท่าเข้าทีกว่าทุกวัน เห็นจะเตรียมโวหารมาด้วยเต็มพุง ปากคอเราะร้ายไม่ใช่น้อย รู้จักเล่นสำนวน ดูซื่อจนเกือบเซ่อ ยิ่งกว่าพี่ประสิทธิ์อีก ดูจะเป็นคนไม่มีเหลี่ยมไม่มีคมอะไร แต่เจ้าลิปสติ๊กทำให้สงสัย ไม่มีโอกาสได้พูดกันถึงเรื่องนั้น ถูกคนขัดคอเสียก่อนอยากฟังคารม จะแก้ตัวว่าอย่างไร แปลกจริง ๆ คน ๆ เดียวทำไมเป็นได้หลายอย่าง เห็นจะฉลาดมาก อยากทำตัวให้เป็นอย่างไหนเมื่อไรก็ได้ ฉลาดกว่าชัดเสียอีกเพราะชัดเล่นละครไม่เป็น ดีแต่เก๋หรู ปากหวานแล้วก็เป็นเด็กอยู่ตาปี สู้พี่ชายไม่ได้พี่ชายเป็นได้ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ถึงปากไม่หวาน แต่โวหารดีไล่ทั้งคืนไม่รู้จักจน คนอย่างนี้สิน่า....

ดินสอกอปปี้มีปลายแหลม และมีด้ามอยู่ในปลอกทองคำลงยาหยุดนิ่งลงในบัดนั้น และสมุดจดหมายเหตุก็ปิดลงโดยมือของผู้เขียน อนงค์เงยหน้าขึ้นดูผู้เข้ามาทำลายความเพลิดเพลินแห่งอารมณ์ ครั้นเห็นว่าเป็นใครแล้วก็ยิ้มรับ

“ทำงานแต่เช้าเทียวหรือ?” จำลองพูดก้มลงจุมพิตน้องแล้วขึ้นนั่งบนขอบลูกกรงดาดฟ้าน้อยอันเป็นที่ติดต่อกับห้องนอนของอนงค์

“๑๑ นาฬิกาแล้วยังเรียกว่าเช้าอีกหรือคะ?” หญิงสาวย้อนถาม ถอนปลายดินสอจากด้ามมาสวมทางปลาย “อันที่จริงก็เช้าสำหรับคนที่นอนตี ๔ อนงค์คิดว่าพี่ ๆ จะไม่มีใครตื่นก่อนเวลาอาหารกลางวันเสียอีก”

“พี่ตื่นขึ้นเมื่อ ๕ โมงทีหนึ่งแล้ว แต่อากาศเวลานั้นชวนให้นอนต่อ เลยหลับไปได้อีก ๓ ชั่วโมง เอ๊ะ นี่น้องยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าอีกนะ” เขาพูดต่อเมื่อมองเห็นถาดอาหารสำหรับอนงค์วางอยู่บนโต๊ะ เลื่อนตัวลงจากที่นั่งมาเปิดหม้อกาแฟดูพลางสูดกลิ่น “หอมน่ากินจริง ทำให้หิวมากขึ้น”

“รับประทานเสียซีคะ ใช้ถ้วยของอนงค์นั่นแหละ อนงค์ยังไม่หิวเลย”

พูดแล้วหญิงสาวเอื้อมมือไปกดกริ่งไฟฟ้าสำหรับเรียกคนใช้ ครั้นแล้วหล่อนปรุงกาแฟให้พี่ชาย พอเสร็จก็พอดีคนใช้เข้ามายืนรับคำสั่งอยู่

“ยกของกินของฉันมาที่นี่” จำลองสั่ง

อนงค์กลับมานั่งที่ มือลูบคลำสมุดที่วางอยู่ตรงหน้าจำลองเห็นดังนั้นจึงว่า

“พี่มาขัดความสำราญของน้องแล้วกระมัง เห็นทีจะมีเรื่องสำคัญสำหรับบันทึกลงในสมุดนั้นไม่น้อย”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มกับเขา “ก็มากอยู่ค่ะ” หล่อนรับ “แต่ไม่จำเป็นต้องบันทึกเดี๋ยวนี้เมื่อไรก็ได้”

“เป็นเรื่องที่ควรปลื้มหรือควรสลดใจ?” จำลองถามพลางอมยิ้ม

“ไม่มีทั้ง ๒ อย่าง” หญิงสาวตอบ

อนงค์ใช้ด้ามดินสอวงไปมาบนปกสมุด ในที่สุดหล่อนตอบว่า

“บันทึกสำหรับไม่ให้ผิดความตั้งใจ การเขียนเหตุการณ์ประจำวันนี้ได้ทำมาตั้งแต่ปีแรกที่อนงค์ออกจากโรงเรียน คิดว่าจะทำไปจนกว่าจะเขียนไม่ได้เพราะพิการอย่างใดอย่างหนึ่ง”

“เจ้าเพื่อนของพี่คงจะนึกทุเรศตัวเอง ถ้ามันรู้ว่าอนงค์จะจดคำพูดของมันลงไว้ในสมุด ซึ่งวันหนึ่งอาจมีคนไปเปิดพบเข้าแล้วเขาก็จะเห็นว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ช่วยตัวมันเลย”

“แต่อนงค์ไม่จดนี่คะ” หญิงสาวค้าน “และสมุดนี่ก็ไม่ได้เขียนไว้ให้ใครนอกจากตัวอนงค์เอง”

“เอ๋อ ! ใครจะเป็นคนรับประกัน วันหนึ่งอนงค์อาจจะมีพ่อเจ้าประคุณยอดหัวใจขึ้นมา เขาขอหล่อนจะไม่ให้เทียวหรือ”

อนงค์หัวเราะกิ๊ก “ถ้าใครอ่านสมุดนี้รู้เรื่องก็เก่งเต็มที เห็นจะไม่มีผู้ชายคนไหนมีความพยายามถึงเพียงนั้นหรอกค่ะ”

“ว่าได้หรือ? เจ้าหมอนั้นอาจจะเป็นคนขี้หึงที่สุด...”

“แล้วจะหาเหตุสำหรับหึงจากสมุดนี้หรือคะ?” หญิงสาวขัดกลางคำ “ยังงั้นก็ต้องลักอ่านน่าซี อนงค์หวังว่าจะไม่มีคู่ที่หยาบคายถึงปานนั้น”

จำลองไม่ตอบ ดื่มกาแฟพลางพิศโฉมน้องสาว เช้าวันนี้อนงค์สวมปิยาม่าแพรสีน้ำเงินแก่ เสื้อแพรสีขาวตัดหลวมตัวเพื่อความสบาย มีสเว็ตเตอร์แพรพันอยู่รอบคอ ใบหน้าของหล่อนอิ่มเอิบผ่องใสแสดงความสมบูรณ์ทั้งกายและใจ พิศแล้วจำลองอมยิ้มและพูดขึ้นว่า

“น่าสงสารนาย ก. ป่านนี้จะฝันถึงหน้าขาว ๆ บาง ๆ ด้วยความเสียดาย ผู้หญิงนี่ยิ่งสวยดูเหมือนยิ่งใจร้าย” เขาหัวเราะเมื่อเห็นอนงค์ทำตาโตมองดูเขา “จริง ๆ นี่นา แรกทีเดียวใครเป็นคนหนุนให้นาย ก. เข้าสนามแข่งขัน ครั้นเขาเข้ามาแล้วกลับตัดสินชี้ขาดให้เขาแพ้เอาง่าย ๆ ยังงั้นเอง”

“ก็แล้วอนงค์ตัดสินให้ใครชนะหรือเปล่าล่ะคะ?”

“ใครจะไปรู้ ! แม่น้องสาวของพี่เดี๋ยวก็ควงแขนไปกับคนนั้นเดี๋ยวก็คลอไปกับคนนี้ เดี๋ยวก็เงียบหายไปกับคนโน้น จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”

“ต๊ายตาย ! พี่จำลอง !” อนงค์ร้อง หน้าแดงตลอดถึงใบหู “นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากจะมาค่อนแคะแทนเพื่อนเท่านั้น น้ำใจพี่ ๆ ของอนงค์จะให้น้องของเธอรักผู้ชายทุกคนที่เธอชักมาให้ !”

จำลองโดดลงจากลูกกรงอย่างว่องไว วางถ้วยกาแฟไว้บนโต๊ะ แล้วมานั่งบนพนักเก้าอี้ตัวที่อนงค์นั่งอยู่หัวเราะพลางโอบบ่าน้องมากอดไว้

“โกรธพี่เสียแล้วนี่ พี่พูดความจริงตามที่ได้เห็นเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจค่อนดอกเป็นความสัตย์ มันไม่ใช่ความผิดของน้องนี่นะที่ใคร ๆ พากันมาหลงรัก เราพูดกันสำหรับสนุกต่างหาก”

อนงค์มีอาการคอแข็ง ก้มหน้า ตาจับอยู่กับสมุดเล่มน้อย นามบุคคลหนึ่งที่หล่อนเขียนไว้ในสมุดปรากฏขึ้นในสมอง พร้อมกับคำสนทนาที่เป็นสาระของผู้เป็นเจ้าของนามด้วย พอจำลองถามขึ้นว่า

“จริง ๆ หรือเมื่อคืนนี้น้องยังไม่ได้ตัดสินให้ใครชนะ?”

หล่อนจึงเงยหน้าขึ้นตอบด้วยเสียงเป็นปกติว่า

“อนงค์ได้บอกกับเขาทุกคนว่า ถ้าเขามีความเอาใจใส่ในอนงค์เพราะหวังจะให้อนงค์แต่งงานกับเขาละก็ ขอให้เขาถอนความเอาใจใส่เสียเถิด เพราะอนงค์จะไม่แต่งงานกับเขาคนหนึ่งคนใดเลย แต่ถ้าเขาเอาใจใส่อย่างเพื่อนฝูงธรรมดาละก็ อนงค์เต็มใจจะเป็นเพื่อนกับเขาเสมอ”

“แล้วเขาตอบอนงค์ว่ากระไร?”

“ตอบต่าง ๆ กันค่ะ รวมความก็ขอให้ได้มีความหวังอีกเล็กน้อย แต่ในที่สุดอนงค์ได้พูดจนเขาต้องเข้าใจว่าหวังก็เสียเปล่า”

“ก็ทำไม ทำไมอนงค์ถึงจะไม่แต่งงานกับเขาคนใดคนหนึ่งเสียเลย พี่มอง ๆ ดูคนที่เขามาติดพันน้องก็ไม่เห็นเขาเสียหายอะไรสักคน น้องช่างไม่ชอบใครเสียเลยทีเดียวรี?”

“ตรงกันข้ามค่ะ อนงค์ชอบทุกคนไม่มากก็น้อย แต่จะแต่งงานด้วยไม่ได้สักคนเดียว”

“ทำไม ทำไมถึงแต่งด้วยไม่ได้?”

“เพราะอนงค์ไม่รักน่ะซีคะ”

“ยากจริง ! ไอ้โรคไม่รักนี่ไม่รู้จะแก้ยังไง ไม่รู้จะส่งเจ้าเพื่อน ๆ ไปหาทิศาปาโมกข์สำนักไหนถึงจะได้วิชามาทำเสน่ห์ให้อนงค์รักได้” พูดพลางจำลองส่ายหน้าลุกจากพนักเก้าอี้ไปนั่งบนลูกกรงดังเก่า พอคนใช้ยกถาดอาหารเข้ามา เขาจึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถอีกพร้อมกับที่อนงค์สั่งคนใช้ให้ยกเก้าอี้จากในห้อง

ระหว่างที่รับประทาน จำลองพูดขึ้นว่า

“จะหาผู้ชายที่ดีพร้อม ไม่มีที่ติเลยน่ะหาไม่ได้นา คนหนึ่งต้องมีความบกพร่องบ้างไม่มากก็น้อย”

“แน่ละค่ะ” น้องสาวรับโดยเต็มใจ “ผู้หญิงเหมือนกัน แต่ขอให้พร่องตรงที่เราไม่ชังนัก เราก็จะทนได้”

“อ้า !” จำลองอุทาน วางขนมปังทาเนยที่ถือกัดอยู่ลงไว้ในจาน “จวนจะได้รู้ความจริงกันละ เจ้าแมลงภู่ที่มาตอมดอกกุหลาบแห่งบ้านสุขนิวาศน่ะ มีความบกพร่องจำเพาะตรงที่แม่กุหลาบหล่อนชังเสียทุกตัวยังงั้นใช่ไหม?

อนงค์ทำหน้านิ่วพลางว่า “ชั่งซักไซ้เสียจริง ๆ ! ซักแล้ว อนงค์ตอบแล้ว จะมีประโยชน์อย่างไรแก่พี่จำลองคะ”

“อ๋อ มากทีเดียวจ้ะ เพราะพี่เองก็เปรียบเหมือนแมลงภู่ตัวหนึ่ง อยากจะเรียนไว้เป็นความรู้สำหรับหากิน”

อนงค์จิบกาแฟ ๒ ครั้ง รวบรวมความคิดที่เคยคิดไว้โดยตลอดแล้วจึงตอบช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

“คุณอุดมเป็นคนปากหวานเกินใจ คุณเติมนึกว่าไม่มีใครทั้งโลกดีเท่าตัวแก คุณสงัดใจดีแต่ปากมุทะลุ พอมีโมโหก็เห็นช้างเท่าหมู”

“๓ นายละ แล้วก็นายร้อยตรีชัดล่ะ หรือเขาถอนชื่อเสียแล้ว?”

“ถอนหรือเปล่าไม่ทราบ แต่เมื่อคืนชัดไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เราได้เคยพูดกันก่อนหน้านี้นานแล้ว”

“นายชัดมีข้อบกพร่องข้อไหน?”

“ชัดเป็นคนมีเสน่ห์มาก แต่เป็นคนไม่มีอุดมคติ และชีวิตที่ไม่มีอุดมคตินั้นเปรียบเหมือนเรือไม่มีหางเสือ”

จำลองนิ่งไปครู่หนึ่ง ครั้นแล้วจึงว่า

“พี่เห็นด้วยกับน้องว่าคนที่ไม่มีอุดมคตินั้นเป็นคนที่หย่อนความน่านับถือ และพี่ไม่รู้จักชัดดีพอที่จะค้านความเห็นของน้อง ส่วนข้อเสียของสงัดกับเติมนั้นเห็นได้แจ้ง ๆ ค้านไม่ได้อีกเหมือนกัน ทีนี้พี่ยังสงสัยที่ตรงอุดมเขาทำอะไรให้น้องเห็นแล้วหรือว่า ปากเขาหวานเกินใจหรือน้องเดาเอาจากคำพูดเพราะ ๆ ของเขาเท่านั้น”

อนงค์ยกศีรษะอย่างไว้ตัวแต่พอน่าเอ็นดูแล้วจึงตอบว่า

เมื่อดูนิสัยคนสำหรับเลือกไว้เป็นคู่ จะดูโดยเดาก็ล่อแหลมเต็มทีสิคะ อย่าลืมว่าอนงค์รู้จักคุณอุดมไม่ใช่เพียง ๒ วัน แล้วก็ไม่ได้พบกันนาน ๆ ที ตรงกันข้ามพี่จำลองก็เห็นอยู่เอง สมาคมใดที่อนงค์ปะปนอยู่ สมาคมนั้นก็มีคุณอุดมอยู่ด้วย”

“ถูกแล้ว และพี่ก็เคยยกนิ้วว่าน้องเป็นคนมีความสังเกตถี่ถ้วน แต่ส่วนตัวพี่ก็คบกับอุดมมานานยิ่งกว่าน้องไปอีก ยังจับเขาไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ”

อนงค์หัวเราะอย่างขรึม “พี่จำลองจะจับได้อย่างไร” หล่อนว่า “ในเมื่อพี่จำลองไม่มีอะไรที่น้อยกว่าแกสักอย่าง แต่กับคนอื่นที่แกเห็นว่าไม่หรูเท่าแก วันหนึ่งแกพูดไว้อย่างหนึ่ง พ้นวันนั้นแล้วแกก็ลืมคำพูดของแกเสียเองอย่างสนิท นี่คะ อนงค์จะยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่อนงค์ได้เห็นหยก ๆ พี่จำลองจำวันแรกที่อุดมมารับประทานอาหารค่ำที่นี่ได้ไหมคะ?”

“จำได้” จำลองตอบพร้อมกับพยักหน้า

วันนั้นอุดมได้พบกับพระอรรถคดี ฯ แกแสดงกิริยาเป็นเพื่อนที่รักใคร่พระอรรถคดี ฯ เสียเหลือเกิน ยกย่องต่าง ๆ นานา ต่อว่าต่อขานเขาว่าไม่ส่งข่าวถึง และอะไรต่าง ๆ นานา ถึงกับบอกว่าอยากไปหาที่บ้านจนนัดแนะวิธีที่จะติดต่อกันเสร็จสรรพ ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้กี่เดือนมาแล้วพระอรรถคดี ฯ เลื่อนยศจากหลวงมาเป็นพระ อุดมยังไม่รู้ อนงค์ลองเลียบเคียงถามดูทั้ง ๒ ฝ่ายได้ความว่าพระอรรถคดี ฯ ยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของอุดม และไม่เคยได้รับข่าวคราวจากอุดมสักคำเดียว”

พี่ชายของอนงค์ยิ้มอย่างไม่เห็นแปลกพร้อมกับพูดว่า

“คนอย่างอุดมมีสมองที่ต้องทำงานอยู่เสมอนะน้อง ทำทั้งในทางกิจการและทางสมาคม แกจึงติดจะเป็นคนขี้ลืมอยู่สักหน่อย นอกจากนั้นพี่ก็ออกเห็นอกอุดมในข้อที่ลืมเสียสนิทว่ามีมนุษย์ชื่อพระอรรถคดี เอ้อ วินิจฉัย อ้อไม่ใช่อรรถคดีวิชัยอยู่ในโลก เพราะอีตาคุณพระคนนี้แกก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ใครพบแล้วจะติดใจอยากพบอีก อุดมคงจะรู้สึกว่าถ้าจะไปหาพระอรรถคดี ฯ ที่บ้านละก้อ ไปหาตาขรัวเฒ่าอะไรคนหนึ่งที่วัดเห็นจะสนุกกว่า”

“อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงสำหรับคนโก้เช่น อุดม !” อนงค์พูดพร้อมกับยิ้มเชิงเย้ย “แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมแกถึงยอพระอรรถคดี ฯ เสียจนเหลือเกิน และไม่ใช่พระอรรถคดี ฯ คนเดียวที่ถูกอุดมหลอก พี่ประสิทธิ์ของเราก็เหมือนกัน เมื่ออยู่ในหมู่เราพี่น้อง อุดมดูเหมือนจะมองไม่เห็นความหย่อนตาเต็งของพี่ประสิทธิ์เสียเลย พูดด้วยเล่นด้วยอย่างสนิทสนม แต่ในสมาคมต่าง ๆ ถ้าอนงค์ไม่อยู่หรืออยู่ แกไม่เห็นว่าอนงค์มองดูแก อย่าว่าแต่อุดมจะทักพี่ประสิทธิ์ แม้แต่หน้าพี่ประสิทธิ์แกก็ไม่มอง เรื่องนี้อนงค์เคยรู้จากปากพี่ประสิทธิ์ก็รู้ และเห็นด้วยตาก็เคยเห็น”

จำลองนิ่งไปวาระหนึ่งแล้วจึงพูดว่า

“เอาละ พี่ยอมเชื่อโดยไม่ต้องเห็นด้วยตาว่าเขาอาจเป็นเช่นนั้นจริง แต่เขาเป็นกับคนอื่นต่างหาก เป็นกับคนที่ไม่ชอบ หากว่าเขาจะรักษามารยาทเขาจึงพูดให้เพราะไว้ก่อน เพราะการพูดเพราะ ๆ กับใครก็ชอบไม่ใช่หรือ เมื่อถึงคราวคนที่เขาชอบจริงรักจริงปากเขาก็ตรงกับใจ ดังนี้เราจะถือความบกพร่องแต่เพียงส่วนน้อยนั้น เป็นใหญ่เป็นโตถึงกับแต่งงานด้วยไม่ได้ จะมิเป็นการโยกโย้เกินไปกระมัง”

“แล้วแต่จะว่าเถอะค่ะ” อนงค์ตอบเรียบ ๆ “แต่ก่อนงค์ขอถามสักหน่อย การแต่งงานนั้นต้องมาทีหลังความรักใช่ไหมค่ะ แล้วคนเราน่ะจะรักคนที่เขาดีต่อตัวโดยเฉพาะ ส่วนต่อคนอื่นเขาจะดีต่อหรือไม่ดีก็ช่างยังงั้นหรือคะ อนงค์ไม่เห็นด้วย อนงค์คิดว่าเราควรจะรักคนที่เขาดีต่อเพื่อนมนุษย์เป็นส่วนมากก่อน เพราะคนเช่นนั้นเป็นที่เชื่อได้ว่าดีจริง แต่คนที่เป็นเพียงเพื่อนร่วมโลก เขาไม่ได้รักได้ใคร่เขายังดีต่อได้ ถึงคนที่เขารักเขาจะดีสักปานไหน ส่วนคนที่ดีต่อแต่เฉพาะคนที่รักเรานั้น ถ้าเผื่อวันหนึ่งเราหายรักขึ้นมาเขามิหายดีต่อด้วยหรือคะ?”

คำตอบของอนงค์ทำให้จำลองอึ้งไป ด้วยความจริงนั้น พี่น้องคู่นี้มีส่วนคล้ายคลึงกันในอุปนิสัยมิใช่น้อย และจำลองเป็นคนที่อยู่ภายใต้เหตุผล เมื่อเข้าใจคำพูดของหญิงสาวแล้ว อดที่จะเห็นว่าหล่อนพูดถูกไม่ได้ เขาจึงไม่ได้โต้แย้ง พูดไปเสียทางหนึ่งว่า

“ถ้าผู้หญิงถือเอาข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้ชายเป็นเครื่องกั้นความรักเหมือนน้องเสียทุกคน พวกเราผู้ชายเห็นจะไม่รู้จักได้แต่งงานกันละ”

“แต่จะมีสามีภรรยาที่ระหองระแหงกันน้อยที่สุดอยู่หลายคู่”

คราวนี้จำลองหัวเราะดังและว่า

“ข้อนี้ไม่ยอมเห็นด้วยแน่ ๆ เพราะคนที่ไม่แสดงความบกพร่องให้ใครเห็นนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ไม่บกพร่องเสียเลย อาจจะบกพร่องมากกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ ชั่วแต่เล่นละครเก่งถึงจับไม่ได้ง่าย ๆ”

ริมฝีปากรูปงามของอนงค์เผยอแย้ม ในลักษณะยิ้มอย่างสงสัย ความคิดแล่นไปถึงคู่สนทนาใต้ซุ้มไม้ในห้องเต้นรำอีกคำรบหนึ่ง

มีบุคคลเดินผ่านห้องมุ่งมายังดาดฟ้าเป็นคนที่ ๓ เขาสวมกางเกงแพรสีแดง และสวมเสื้อแบะคอสีน้ำเงินแก่ทับเสื้อชั้นในสีขาว ในมือถือไพ่ผ่องครบสำรับ แต่พอก้าวเท้าพ้นธรณีประตูก็พูดขึ้นว่า

“ถึงคราวสิ้นคิด มันก็สิ้นตะบิดจริง ๆ ไม่ว่าอะไรดูมันขัดข้องไปเสียหมด”

ทั้งอนงค์และจำลองมองดูพี่ชายอย่างสนเท่ห์ แสวงโยนไพ่ทั้งสำรับลงบนโต๊ะ แล้วตั้งกระทู้ใส่อนงค์ว่า

“วันนี้มีธุระอะไรไหมยะ?”

“มาแปลกอีกแล้ว” หญิงสาวคิดในใจ แล้วตอบในกิริยาสงบเสงี่ยม “มีนิดหน่อยค่ะ จะคุมให้คนใช้เก็บของ”

“ของอะไร?”

“ชาม ถ้วย และอะไร ๆ ที่เอาออกมาใช้เมื่อคืนนี้ พี่แสวงจะให้อนงค์ทำอะไรหรือคะ”

“ช่างเถอะจ้ะ มีธุระก็ไม่กวนละ ยายแม่ครัวก็บ้า จะอาศัยสักหน่อยเกิดไม่อยู่เสียแล้ว พึ่งใครไม่ได้เสียจริง ๆ”

พูดแล้วเขาทำท่าเหมือนจะกลับเข้าไปเสีย ยังทางที่เขาออกมา อนงค์เห็นดังนั้นก็ฉวยข้อมือเขาไว้

“จะต้องการพบแม่ครัวทำไมคะ?” หล่อนถามเสียงนุ่มนวล “บ้านที่พี่แสวงอยู่นี้มีอนงค์เป็นแม่บ้าน จะต้องการให้ทำอะไรก็ใช้มาซีคะ”

แสวงเงยหน้าขึ้นสบตาน้อง น้ำเสียงของเขาอ่อนลง

“พี่จะให้แกสอนให้พี่เล่นไพ่ มันผ่องกันยังไง ได้เสียกันที่ตรงไหน?”

คนใช้เข้ามาเก็บถาดอาหาร อนงค์บอกให้ยกเก้าอี้มาตัวหนึ่งก่อน แล้วหล่อนถามพี่ชายว่า

“นึกยังไงขึ้นมาถึงจะหัดเล่นไพ่?”

“เพราะจะเอามันเป็นที่พึ่ง พี่เวลานี้พึ่งใครไม่ได้รวมทั้งตัวเอง อนงค์ก็รู้อยู่แล้ว”

“ไม่รู้ค่ะ” ผู้เป็นน้องหญิงตอบวางหน้าเฉย “ไม่รู้พี่แสวงต้องการพึ่งใครในเรื่องอะไร?”

เขาหัวเราะอย่างดุ “ถูกแล้วไม่รู้ เพราะไม่ตั้งใจจะรู้”

“ไม่จริง ไม่จริง !” เป็นคำคัดค้านอย่างแข็งแรง “ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพึ่งอะไร ยิ่งมีเรื่องเจ้าไพ่นี่เข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งมืดใหญ่ บอกสิคะ บอกให้อนงค์รู้ตัวหน่อยว่าพี่แสวงโกรธอนงค์เรื่องอะไร?”

“ไม่ได้โกรธ ไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธ จะโกรธยังไง เป็นแต่ทุเรศตัวเองว่าตัวคนเดียว แล้วทุเรศไอ้เพื่อนว่ามันอกเดียวกับตัว”

“อ๋อ” หญิงสาวอุทานขึ้นทันที ปล่อยมือจากข้อมือแสวงยกมือปิดปากหัวเราะ “คนที่ ๒ ล่ะ !” หล่อนพูดไป “พี่สมพงศ์ไปไหน เชิญมาให้พร้อมกันทั้งสามคน จะได้ตั้งศาลเตี้ยชำระจำเลยในคดีไม่รับรักของผู้ชายที่พี่หามาให้ ถ้ามิฉะนั้นจำเลยจะเพลียตาย เพราะต้องแก้คดีต่อท่านผู้พิพากษาทีละคน”

แสวงมองดูหน้าจำลอง ผู้เป็นน้องยิ้มพลางพูดว่า

“อนงค์กับผมเถียงกันถึงเรื่องนี้ยังไม่จบดี เมื่อคุณเข้ามา”

“เถียงว่ายังไง?”

“อนงค์ชี้แจงให้พี่จำลองฟังว่า แต่งงานกับคุณอุดมไม่ได้เพราะอุดมพูดไม่ตรงกับใจ คุณเติมเป็นคนอวดดี ชัดไม่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ และคุณสงัดมุทะลุตึงตัง”

“รวมความว่าไม่มีใครดีกว่าโคร แล้วก็ไม่มีใครน้อยหน้าใคร” จำลองเสริมมิให้แสวงมีเวลาได้เปิดปากได้ และอนงค์ก็กระชั้นต่อไป

“ทีนี้เรามาถึงเรื่องไพ่ได้หรือยัง อนงค์ทึ่งเต็มทีแล้ว”

แสวงถูกน้องทั้งสองใช้น้ำเย็นเข้าลูบ กิริยางุ่นง่านก็คลายไป ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พลางว่า

“ยังไง ๆ ไอ้คำที่พี่พูดแล้วมันก็ยังไม่ผิดอยู่นั่นเอง พึ่งคนไม่ได้ต้องพึ่งไพ่ ช่วยสอนให้พี่เล่นหน่อยซี เขากินกันยังไง” แล้วเขาหงายไพ่ขึ้นทั้งสำรับ

อนงค์เอื้อมแขนทับไพ่ไว้ทั้งกอง ยิ้มพลางว่า

“เดี๋ยวก่อนค่ะ บอกให้อนงค์เข้าใจเสียก่อน เหตุผลกลใดจึงต้องรีบร้อนหัดเดี๋ยวนี้”

“พิโธ่ เวลาไม่คอยท่านี่นา คิดดูทีหรืออนงค์ไม่เอื้อต่อสงัดเสียเลย แล้วสงัดเขาจะมาเอื้อกับพี่อีกหรือ พิโธ่ ! กว่าจะเข้าถึงตัวพยอมได้น่ะแสนวิบาก ได้เพื่อนมันคอยช่วยถึงได้พบปะกันบ้าง อย่างเมื่อคืนถ้าไม่ได้อาศัยบุญสงัดที่ไหนพยอมจะมา แต่เดี๋ยวนี้อนงค์ก็ถีบหน้าเจ้าสงัดกระเด็นไปแล้ว เจ้าแสวงมันก็ต้องกระเสือกกระสนหาทางของมันเอง”

“อ๋อ !” อนงค์อุทานเป็นคำรบสอง แต่ไม่กล้าหัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นคราวก่อน จึงกลั้นยิ้มไว้ในหน้า เข้าใจล่ะค่ะทีนี้ จะไปเล่นไพ่กับแม่สำหรับหาช่องทางพบลูกใช่ไหมคะ?”

สีหน้าจำลองมีอาการขันไม่น้อยกว่าอนงค์ และรู้สึกว่าจะอดใจไม่ยิ้มให้เจ้าทุกข์เห็นนั้นออกจะยาก จึงลุกไปยืนอยู่ข้างลูกกรง

อนงค์สำรวมสีหน้าได้แล้ว ก็วางมือของหล่อนลงบนมือแสวงที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ พลางพูดวางท่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่

“ถึงเราจะยุติเรื่องไพ่ไว้ชั่วคราวก่อน ก็จะไม่ทำให้เสียเวลาไปเปล่าเลย ขอให้พี่แสวงสงบใจสักประเดี๋ยวนะคะ พี่จำลองเชิญกลับมานี่เถอะค่ะ เมื่อตะกี้พูดถึงแมลงภู่ อนงค์ยังไม่ทันถามว่าดอกกุหลาบที่เป็นศิษย์เต้นรำเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง?”

จำลองกลับมานั่งที่เก่า สีหน้ายิ้มอย่างคนที่มีหัวคิดเต็มไปด้วยข้อขำ เขาตอบน้องว่า

“สูดกลิ่นยังไม่พอ ไม่รู้ว่าหอมแค่ไหน?”

“หอมมากค่ะ” อนงค์รับรองอย่างมั่นใจ “กุหลาบบ้านนั้นหอมทุกดอก แต่คนที่อยากจะเด็ดมักจะตรงเข้าไปในเวลาที่ไม่เหมาะจึงโรยอยู่กับต้นเสียสองดอกแล้ว อีกสองดอกที่กำลังเบ่งบานเต็มที่นั้น ถ้ามีคนต้องการเด็ดสองคน คนละดอกก็จะเด็ดได้ง่ายนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเล่นไพ่ให้เมื่อยหลัง”

แสวงเงยหน้าขึ้นมองน้องชายอย่างตั้งใจ จำลองหัวเราะหึ ๆ แล้วตอบว่า

“พี่ยังไม่แน่ใจว่าอยากจะเด็ด”

“โถ....อยากเถอะค่ะ” ผู้เป็นน้องสาวกล่าวเสียงหวานประสานมือวางไว้บนตัก และมองดูเขาอย่างวิงวอน “อนงค์พนันได้ว่าเขาชอบพี่จำลองไม่น้อย และรู้สึกว่าเขาไว้ใจพี่จำลองอย่างสนิทสนมราวกับคุ้นเคยกันมานาน ลองทำใจให้นึกอยากเด็ดเถอะค่ะ แล้วทีหลังจะเห็นว่าทำถูกทั้งจะได้ช่วยพี่ของเราด้วย คุณหญิงแม่ของเขาไม่ยอมให้ลูกคนเล็กแต่งงานก่อนพี่นี่คะ”

แต่ว่าเขาคนพี่น่ะมีความบกพร่องอยู่นี่นา” จำลองว่า

อนงค์โบกมือไปมา “อย่าเลยค่ะ” หล่อนพูดเร็ว “พบกันคืนเดียวยังเห็นข้อบกพร่องของเขาไม่ได้หรอก และถ้าหากว่าจะมีข้อบกพร่องจริง ลูกเขาทั้งคู่เป็นคนหัวอ่อน เคยอยู่ในถ้อยคำบิดามารดา เมื่อออกจากปกครองของบิดามารดา มาอยู่ในปกครองสามีแกก็คงจะอยู่ในถ้อยคำสามี จะสั่งสอนอย่างไรแกก็คงเชื่อฟัง ยิ่งอยู่กับคนฉลาด เยือกเย็น สุขุมอย่างพี่จำลองด้วยแล้ว ความบกพร่องของแกจะไม่เหลืออยู่”

บุตรชายทั้งสามของพระยานิติธรรมสุนทร มีความอ่อนแออยู่ในนิสัยประการหนึ่ง ซึ่งคนโดยมากแม้แต่น้องของเขาเองก็ตระหนักอยู่ คือลูกยอเข้าแล้วก็ลอยขึ้นดังว่าวได้ลม เพราะเหตุนี้แหละจำลองจึงมีอาการยั้งคิดอยู่นาน และในที่สุดก็ตอบแกมหัวเราะว่า

“ดูมันสับสนกันอยู่หน่อยนะ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นพี่เป็นน้อง”

“ฉันยอมให้แกเป็นพี่” แสวงเอ่ยขึ้น “ถ้าแกรักยายสอางฉันจะออกเงินค่าแหวนหมั้นให้แก ให้ดิ้นตายซีราคาสูงเท่าไรก็สู้ทั้งนั้น”

จำลองเลิกคิ้วอย่างเห็นขัน อนงค์สนับสนุนต่อไป

“สอางน่ะแกเป็นคนสวยนะคะ เดี๋ยวนี้แกยังแต่งตัวไม่ค่อยเป็น ถ้าแกได้คู่เป็นคนมีศิลปในตัวอย่างพี่จำลองช่วยแต่งโน้นนิดเติมนี่หน่อยแกจะสวยหาตัวจับยาก เถอะค่ะ อนงค์อยากได้สอางเป็นพี่สะใภ้จริง ๆ เพราะเชื่อว่าแกจะดีแน่ เชื่ออนงค์ซีคะ ภรรยาที่สวยด้วยและหัวอ่อนด้วยจะทำให้สามีเป็นสุขมากกว่าภรรยาที่หัวแข็ง”

“อย่าเพิ่งรุกให้มากนักซิน้อง” ผู้เป็นพี่ว่า “ให้เวลาพี่ได้ดูลาดเลาบ้างซี”

“ยังงั้นเราไปดูกันวันนี้แหละ” หญิงสาวตัดสินอย่างรวดเร็ว “รับประทานข้าวกลางวันแล้วก็ไปทีเดียว วันอาทิตย์คุณแม่มักจะเล่นไพ่ เราจะได้ไปคุยกับคุณลูก”

จำลองเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาจับน้องแน่วอยู่ พลางพูดพร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ

“นี่แหละคือตัวอย่างของผู้หญิงที่หัวแข็ง จะเอาอะไรจะให้ทันใจ ถ้าถึงทีของตัวละก็แก้ไปได้ต่าง ๆ นานา”

อนงค์ยิ้มจนเห็นไรฟัน จัดแจงทำไพ่เสียให้เรียบร้อย และไม่โต้ตอบว่ากระไร

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ