๑๔

ลงจากรถ วิชัยแทบจะวิ่งด้วยความร้อนใจ พ้นบันไดขึ้นไปแล้วเขาสาวเท้าผ่านห้องกลางอันมีทางทะลุถึงห้องคนเจ็บ โดยมิได้เอาใจใส่มองดูบุคคล ๓ คนที่อยู่ในห้องนั้น และเป็นบุคคลที่เขาไม่เคยรู้จักมาแต่ก่อน วิชัยนั่งลงถอดรองเท้าออก แล้วเดินด้วยฝีเท้าที่มีแต่ถุงเข้าในห้องที่สมานนอนอยู่

แพทย์ประจำ ๑ นาย กับพยาบาล ๑ นาง นั่งอยู่ริมเตียงคนไข้ ช้อยนั่งตาลอยอยู่ติดกับมุมห้อง พอเห็นหน้าพี่ชาย ช้อยก็คลานมารับแต่หาทันถึงตัวเขาไม่ สะอื้นสะท้อนขึ้นจากทรวงอกจะออกมาเป็นเสียง ช้อยจึงต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากไว้แน่น แล้วก็หมอบนิ่งซบหน้าอยู่กับพื้นกระดานนั่นเอง

ดูประหนึ่งว่ามีฌานพิเศษชนิดใดชนิดหนึ่ง แล่นมากระทบเจตสิก คนไข้ผู้กำลังหลับตาหายใจรวย ๆ อยู่ เผยอริมฝีปากขึ้น แล้วเปล่งเสียงแจ่มใสดังเสียงคนที่มิได้เป็นไข้ ออกวาจาว่า

“พี่ใหญ่ครับ !”

วิชัยคุกเข่าลงข้างเตียง มือแตะแขนคนไข้อย่างแผ่วเบา นายสมานก็หันศีรษะมาทางเขาอย่างรวดเร็ว จนไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ที่มีชีวิตกำลังจะออกจากร่างจะทำได้เช่นนั้น นัยน์ตาที่ปิดอยู่ก็เบิกกว้าง ดังจะล้นออกนอกกระบอกตา แต่เสียงที่พูดนั้นเบานักหนา จนแทบจะว่าลอดเสียงหายใจออกมาไม่ได้

“พี่ใหญ่”

“พี่ใหญ่มาแล้ว อยู่นี่ จะให้ผมทำอะไรให้หรือ”

คนเจ็บนิ่งไปนาน แรงหอบทำให้เห็นผ้าขาวบางที่คลุมหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่บ้างห่างบ้างไม่เป็นระยะ ริมฝีปากขมุบขมิบ วิชัยเอียงหูเข้าไปจนชิด จึงจำได้คำว่า

“ฝากลูก--ฝาก--ช้อย”

“ทำใจให้ดีไว้” วิชัยพูดเสียงเบาแต่ชัดเจน “ไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งลูกทั้งเมีย ผมรับ พี่ใหญ่สัญญาว่าจะดูแลให้อยู่เป็นสุข ได้ยินไหมอย่านึกถึงใครหมด นึกถึงแต่พระพุทธ พระธรรม กับความดีของคุณที่เคยทำไว้แล้วเท่านั้น”

นัยน์ตาคนไข้หรี่ลงทีละน้อย แต่มือขวานั้นยกขึ้นไขว่คว้าอากาศ วิชัยบรรจงจับมือนั้นวางลงบนที่นอนรู้สึกว่าคนไข้พยายามที่จะบีบมือเขาจึงบีบตอบเบา ๆ เสียงครอก ! ดังจากลำคอพร้อมกับเสียงพูดดังกว่ากระซิบว่า “เชื่อ....พี่....” แล้วทะลึ่งตัวขึ้นอีกครั้ง ลมพัดวูบ กระพือม่านหน้าต่างดังพึ่บ นายสมานก็ทิ้งตัวลงนิ่งสนิทไปในบัดนั้น

นายแพทย์เข้ามาตรวจดูชีพจร พอสัมผัสมือที่ทอดอยู่ทางริมเตียงข้างซ้ายแล้วก็ส่ายหน้า แสดงว่าถึงที่สุด วิชัยยังกุมมือที่อยู่ในมือตนไว้ในความอบอุ่นที่ยังเหลืออยู่ ริมฝีปากวิชัยนั้นสั่น และดวงตาก็ฝ้าฟาง

เสียงฝีเท้าคนเดินขวักไขว่ เสียงกระซิบ เสียงสะอื้นแล้วมีผู้นำเทียนขี้ผึ้งขนาดใหญ่ ในเชิงเทียนมาวางไว้บนโต๊ะใกล้เคียงศพ วิชัยจึงขยับตัววางมือศพลงเสีย จัดผ้าคลุมให้เรียบร้อย แล้วถอยหลังไปยืนพิงฝานิ่งอยู่

ความรู้สึกชนิดหนึ่งสะกิดให้เขาตื่นจากภวังค์ กระพริบตาแล้วมองไปตรงหน้า ก็สบดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องดูเขาเต็มที่ ดวงตานั้นใหญ่ถึงแม้ขอบตาจะแดงกำก็เห็นได้ชัดว่าตาดำนั้นดำสนิท ความรู้สึกในตัววิชัยเปลี่ยนจากเย็นเยือกเป็นร้อนวูบ เขายกมือขึ้นเสยผม พลางส่งตัวขึ้นยืนตรง ตั้งสติถึงหน้าที่อันควรจะพึงกระทำต่อไป

นายแพทย์ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำอีกแล้วจึงลากลับ วิชัยไปส่งที่ประตูบ้านและกล่าวขอบใจตามสมควร นางพยาบาลยังมิได้บริโภคอาหารค่ำวิชัยก็จัดการให้ได้บริโภค ในห้องศพยังรกด้วยเครื่องมือในการรักษาและพยาบาล วิชัยก็จัดให้เรียบร้อยพร้อมทั้งปลดมุ้งลงคลุมเตียงศพเสียด้วย เสร็จแล้วจึงออกมานั่งที่ระเบียงเรือนเรียกน้องสาวมาปรึกษาถึงการที่จะต้องทำในคืนวันนี้และวันรุ่งขึ้น

“เราควรจะบอกบิดามารดาของสมานรู้ในคืนนี้ทีเดียว หรือจะรอบอกพรุ่งนี้พร้อมกับส่งบัตรเชิญอาบน้ำศพ?” วิชัยถาม

ช้อยเม้มริมฝีปากอย่างขมขื่นแล้วตอบว่า

“ปรึกษาคุณอุไรดูซิคะ”

วิชัยมองดูน้องสาวอย่างสนเท่ห์ พอจะถามก็เห็นสตรีสาวรุ่นเดียวกับช้อยคลานออกจากห้อง แต่มิได้ออกมาคนเดียว แม่สาวเจ้าของดวงตาที่ได้จ้องเขาเมื่อครู่ก่อนคลานตามออกมาด้วย ผู้ที่เป็นสาวใหญ่กว่าพูดขึ้นว่า

“ทำตามหน้าที่ของเราก็แล้วกันคุณช้อย ไปเรียนเสียคืนนี้แหละ ให้คุณหลวงไปก็ได้”

“ไปไหน?” เสียงห้าว ๆ ถามออกมาจากประตูห้องแล้วตัวเจ้าของเสียงจึงตามเสียงออกมา นั่งลงที่ริมนอกชานห่างจากวิชัยเพียงเล็กน้อย

“ไปเรียนคุณพ่อว่าพี่สมานเสีย ๆ แล้ว”

วิชัยเบือนหน้าไปทางผู้ที่ตอบ แล้วมองเลยไปถึงคนที่นั่งอยู่ทางเบื้องหลัง ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวงตอบว่า

“ป่านนี้ท่านมิหลับเสียแล้วหรือ?”

อะไรคะยังไม่ทันจะยามหนึ่งเลย ท่านยังไม่นอนหรอกค่ะ”

“จริงหรือเธอ?” อีกฝ่ายหนึ่งกล่าว แหมเห็นจะเป็นที่ใจเรามันเศร้าเหลือเกิน ดูอะไรมันเงียบ ๆ เย็น ๆ ไปหมด เลยนึกว่าดึกเสียเต็มทีแล้ว” ทอดสายตามาทางวิชัย “ขอโทษ คุณมีนาฬิกาไหม กี่ทุ่มแล้วไม่ทราบ”

“๒๑ นาฬิกา ๑๒ นาที” วิชัยตอบเมื่อได้ดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้ว

“นั่นยังไง เธอว่ายังไม่ถึงยาม !”

“ถึงยังงั้นท่านก็คงยังไม่นอนค่ะ คุณหญิงละก้อว่าไม่ถูก รีบไปเสียเดี๋ยวนี้เถอะค่ะทัน อ้อนี่ค่ะ คืนนี้ดิฉันไม่กลับไปนอนบ้านหรอก จะนอนเป็นเพื่อนคุณช้อย จันทรจะนอนอยู่กับพี่หรือจะกลับไปนอนบ้าน?”

วิชัยทวนชื่อนั้นในใจพลางแลไปทางเจ้าของชื่อ

“นอนที่นี่ดีเหมือนกันค่ะ จะได้อยู่กับพี่สมานเป็นคืนสุดท้าย” เป็นคำตอบที่ค่อนข้างแผ่วเบา

คุณหลวงลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อไปหยิบเสื้อนอก วิชัยย้ายจากที่เดิมไปนั่งชิดน้องสาวแล้วถามเบา ๆ

“มีที่นอนหมอนมุ้งแล้วหรือ?”

ดูเหมือนอุไรจะมีโสตประสาทไวอย่างประหลาดหล่อนพูดขึ้นว่า

“คุณให้ทองสุกเขาหยิบมุ้งกับหมอนมาให้ดิฉันด้วยนะคะ จะได้ไม่ลำบากแก่คุณช้อย”

“ไม่ต้องเอามาหรอกค่ะ” ช้อยค้านโดยเร็ว “ที่นี่มีพร้อมแล้ว”

“จริง ๆ หรือคะ ไม่ลำบากแก่เธอหรือ ดิฉันไม่ยอมให้เธอลำบากแม้แต่นิดเดียว คืนนี้ไม่ใช่คืนที่เธอจะต้องวุ่นวายกับคนอื่น วุ่นกับความทุกข์ของเธอก็พออยู่แล้ว”

อันน้ำเสียงแสดงความปรานีจากใจจริง เมื่อกระทบหูผู้กำลังทุกข์หนัก มักทำให้ผู้เป็นทุกข์น้ำตาไหลง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นช้อยจึงจะพูดตอบหาออกไม่ เม้มริมฝีปากกลั้นสะอื้น แต่น้ำตาไหลพรากลงนองแก้ม

คุณหลวงลงบันไดเรือน ก็สวนกับหลวงศักดิ์ ฯ และภรรยาผู้ซึ่งกำลังจะขึ้นบันได บุรุษทั้ง ๒ หยุดมองดูกันอึดใจหนึ่ง แต่หาได้ทักกันไม่ ครั้นมาถึงระเบียงแล้ว เห็นสีหน้าช้อยกับคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในที่นั้น ช่วงก็ถามเสียงแหลม

“เสร็จเสียแล้วหรือ? พิโธ่พิถังเอ๊ย !”

“แกมาทันไหมวิชัย?” หลวงศักดิ์ ฯ ถามเสียงเบากว่าเสียงภรรยาหลายเท่า

“ทันพอดี พูดได้ ๓-๔ คำก็สิ้นใจ”

“พิโธ่พิถังเอ๊ย !” ช่วงพึมพำ “ยังจำพี่ใหญ่ได้หรือคะ?”

“จำได้หรือว่าอะไรบอกแกก็ไม่รู้” วิชัยตอบ “ยังไม่ทันเห็นหน้าเลยเรียกชื่อแล้ว”

“เธอเรียกอยู่ตั้งแต่คุณวิชัยยังไม่มาถึงแน่ะค่ะ” อุไรกล่าวเสียงสั่นเครือ

“รึคะ” ช่วงถามอย่างคล่องแคล่ว “พิโถพิถังเอ๊ย !”

“ช่วง !” หลวงศักดิ์ ฯ เรียกภรรยาเมื่อเห็นหล่อนยังหันหลังพาดมือไว้บนแหลมท้องอันยื่นจากระดับตรงแห่งร่างกาย “นั่งหรือยังล่ะ?”

“ฉันไม่นั่ง” ผู้เป็นภรรยาตอบ “จะไปดูหน้าศพสักหน่อย โธ่ ! น่าสงสาร” พูดแล้วช่วงก็เดินตรงไปที่ประตู แต่เมื่อถึงแล้วหล่อนหยุดชะงัก หันกลับมาพูดว่า “ช้อยไปกับพี่หน่อยซี คุณพี่คะ เข้าไปด้วยกันนะ”

ช้อยลุกขึ้น แต่หลวงศักดิ์ ฯ ทำหูทวนลม ถามวิชัยว่า

“แกมาทันได้พูดอะไรกันบ้าง?”

“เรียกพี่ใหญ่ ๒ หนแล้วก็บอกฝากลูกฝากเมีย ก่อนจะสิ้นใจทีเดียว อุตส่าห์บอกว่า “เชื่อพี่” พอขาดคำก็ขาดใจ”

หลวงศักดิ์ ฯ ถอนใจใหญ่ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า

“อีตรงก่อนตายนี่เรียกพี่ใหญ่เทียวนะ คงจะเห็นแกเป็นคนเดียวที่ลูกเมียจะพึ่งได้ ฝากตัวเต็มที่ แต่ก่อน ๆ ไม่เคยเรียกแกพี่ไมใช่หรือ?”

“แต่ก่อนเรียกคุณหลวง ตั้งแต่เจ็บมากนี่แหละมาเปลี่ยนเรียกพี่”

อีกครั้งหนึ่งหลวงศักดิ์ ฯ ถอนใจ

“เห็นจะห่วงลูกเมียเหลือเกินนะ เฮอ ! คนเอ๋ยคน มีพ่อแม่ก็เหมือนไม่มี ไม่มีเสียดีกว่านะอั๊วว่า”

“จุ๊ย์ ๆ” วิชัยขัด ชำเลืองตาไปทาง ๒ สาวที่นั่งอยู่ แต่สหายของเขาหารู้สึกตัวไม่ พูดต่อไปว่า

“จริง ๆ นะ คนอะไรใจโหดร้ายอย่างนั้น มีอย่างหรือลูกเจ็บจะตายโหงตายห่าไม่ได้โผล่มาดูสักคนเดียว”

วิชัยกระสับกระส่าย กระแอมและไอซ้ำ ครั้นหลวงศักดิ์ ฯ ยังแสดงท่าจะบ่นต่อเขาจึงต้องพูดขึ้นว่า

“นี่ นี่ ขอให้กันแนะนำ คุณอุไร กับคุณจันทร น้องของคุณสมาน”

“น้องร่วมบิดาค่ะ” อุไรเสริมด้วยรู้ทีวิชัย

“นี่หลวงศักดิ์รณชิต พี่เขยของช้อย” วิชัยพูดต่อรู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น

อุไรกับจันทรไหว้หลวงศักดิ์ ท่านนายทหารรับไหว้และมีสีหน้าอันจะกล่าวให้ถูกได้โดยยาก พอช่วงออกมาจากห้อง หลวงศักดิ์ ฯ จึงสวนทางเข้าไป ส่วนวิชัย ถูกน้องหญิงคนที่หนึ่งตั้งคำถามหลายข้อเกี่ยวแก่ผู้ตาย ซึ่งเขาให้คำตอบเป็นใจความเดียวกับที่ได้ตอบแล้วแก่น้องเขย

ครั้นเมื่อได้พูดถึงเรื่องราวของผู้ตาย จนเป็นที่จุใจด้วยกันทุกคนแล้ว จึงตั้งต้นปรึกษากันถึงเรื่องงานศพที่จะจัดทำในวันรุ่งขึ้น มีการพิมพ์บัตรเชิญอาบน้ำศพ และการสวดหน้าศพเป็นต้น ซึ่งวิชัยกับอุไรได้รับส่วนแบ่งหน้าที่คนละเท่า ๆ กัน

“เมื่อสวดครบ ๓ วันแล้ว” วิชัยกล่าวสืบไป “เห็นว่าควรจะนำศพไปฝากไว้ที่วัดใดวัดหนึ่ง โดยวิธีก่อที่ฝังอย่างถาวร”

ความเห็นนี้ทำให้ผู้ฟังนิ่งอึ้งไปนาน วิชัยจึงแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับที่เขาเคยทำเสมอเมื่อพูดถึงกิจการอันมิใช่เป็นของเล่น

“มีเหตุผล ๒ ประการ ซึ่งมีน้ำหนักเท่ากันที่ทำให้พี่แนะนำเช่นนั้น ประการที่หนึ่ง พี่ไม่เห็นด้วยกับการทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน ซึ่งเราต้องเชิญแขกเหรื่อมากเป็นการหมดเปลืองโดยใช่เหตุ ตรงกับคำว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ประการที่สอง ลูกคุณสมานยังเล็กนัก อีกไม่ช้าก็จะลืมหน้าพ่อ และจะไม่มีความเอาใจใส่ในเรื่องราวของพ่อเสียเลย นับว่าชีวิตของเด็กขาดของสำคัญไปอย่างหนึ่ง ถ้าเราฝังศพไว้ แทนที่จะเผาแกจะได้นึกถึงหลุมศพที่แกต้องเห็นบ่อย ๆ เป็นการบังคับให้นึกถึงพ่อไปในตัว อีกทั้งเป็นการสมควรอย่างเอกอุ ที่เราจะละหน้าที่การเผาศพพ่อไว้ให้แก่ลูกของเขา”

ช้อยมีอาการไม่แน่ใจว่า ควรจะรับความเห็นของพี่ชายเป็นความเห็นของตนหรือไม่ จึงหันไปทางอุไรแล้วถามว่า

“คุณอุไรจะว่าอย่างไรคะ?”

ยังไม่มีคำตอบ เพราะอุไรเองก็ยังลังเล ภายหลังจึงอ้อมแอ้มออกมาว่า

“ดิฉันกลัวคุณพ่อท่านจะ--”

หล่อนไม่กล้าพูดมากกว่านั้น วิชัยเดาความที่หล่อนละไว้ได้ดี แต่เขาไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะตอบ ส่วนหลวงศักดิ์ ฯ เข้าใจความถี่ถ้วนในเชิงระวังปากคำของวิชัยอยู่เหมือนกัน แต่ตนเองหารู้ที่จะอดกลั้นความรู้สึกไว้ได้ไม่ จึงพูดโพล่งออกมาว่า

“เมื่อคนกำลังเจ็บ ไม่พยายามช่วยไม่ให้ตาย ครั้นคนตายแล้วจะยื่นมือเข้ามาเทียวหรือ ปล่อยให้คนที่เขาได้ทำให้มาแต่ต้นทำต่อไปซี”

อุไรหน้าเฝื่อนไปเล็กน้อย รีบออกตัวว่า

“ดิฉันน่ะไม่ว่ากระไรดอกค่ะ และอันที่จริงดิฉันก็ไม่ใช่เจ้าของศพ แต่ว่าคุณช้อยเธอถามดิฉันก็เลยเตือนเรื่องคุณพ่อขึ้น อันที่จริง พี่สมานเจ็บก็ได้คุณหลวงวิชัย ฯ คนเดียวเป็นธุระมาตั้งแต่ต้นจนจบ ดิฉันเองถึงใจอยากจะช่วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะตัวอยู่ไกลเหลือเกิน” พูดได้เพียงนี้แล้วอุไรก็ร้องไห้

ถึงตอนดึก เมื่อหลวงศักดิ์ ฯ และภรรยากลับแล้ว และอุไรกับจันทรก็นอนหลับ วิชัยกับช้อยยังนั่งสนทนากันอยู่ที่ชานเรือนเช่นเดิม ช้อยจึงเล่าเรื่องราวความเป็นไปของ ๒ น้องสาวแห่งนายสมาน ให้พี่ชายฟังตามที่สามีของหล่อนได้เคยแจ้งให้ทราบไว้

อุไรกับจันทร เป็นบุตรที่เกิดโดยภรรยาน้อยของพระยาอุดมวรการ อุไรมีอายุ ๒๖ ปี อ่อนกว่านายสมาน ๕ ปี ส่วนจันทรนั้นอ่อนกว่าอุไร ๔ ปี ๒ พี่น้องนี้เกิดมาแล้วจากบิดาเดียวกับนายสมาน แต่ได้รับความยกย่องอยู่ในระดับสูงกว่าคนใช้ในบ้านของบิดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณหญิงอุดมวรการมีลูกล้วนแต่เป็นชาย ส่วนเจ้าคุณสามีมีนิสัยรักเด็กผู้หญิง เพื่อป้องกันความรักอันเสมอหน้าซึ่งจะเกิดขึ้นได้ โดยความรักในบุตรีเป็นสายสัมพันธ์เชื่อมถึงผู้เป็นมารดา คุณหญิงจึงจงใจกีดกันลูกเลี้ยงทั้ง ๒ ให้ห่างเหินกับพ่อมากที่สุด ขีดแห่งอำนาจของท่านจะเปิดช่องให้ทำได้การเหยียบย่ำนานัปการ คุณหญิงมิได้ยกเว้นที่จะนำมาใช้ต่อเด็กหญิงทั้ง ๒ รวมทั้งมารดาของเด็กด้วย ตั้งแต่เล็กมาทั้งอุไรและจันทรไม่มีสิทธิ์เสรีที่จะเรียกพี่ชายคนหนึ่งคนใดว่าพี่ หล่อนต้องเคารพต่อเขาเหมือนหนึ่งบ่าวเคารพต่อนาย มองดูเขาเหมือนสัตว์โลกมองดูเทพเจ้า และเกรงกลัวเขาคล้ายกับนักโทษที่กลัวผู้คุม

แต่บุตรชายของคุณหญิงหามีจิตใจเหมือนมารดาไปทุกคนไม่ และคนที่ไม่เหมือนที่สุดก็คือตัวนายสมานนั่นเอง

เมื่อเด็กทีเดียว สมานมักข่มขู่น้องเช่นเดียวกับที่ผู้ปกครองตามใจจนเคยตัว มักข่มขู่ผู้อ่อนกำลังกว่าตน แต่ครั้นเมื่อโตเป็นหนุ่ม รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว สำนึกในความยุติธรรมที่มนุษย์ควรจะได้รับโดยเสมอหน้าสมานจึงเปลี่ยนทางดำเนินใหม่ ชั้นแรกทีเดียวเขาบังคับให้น้องหญิงทั้งสองคนเรียกเขาว่าพี่ พยายามหาความสนิทสนมจากน้องทั้ง ๒ เอื้อเฟื้อให้ปันสิ่งที่ควรให้ ตลอดจนพาไปเที่ยวด้วยในงานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ

เมื่อนายสมานเริ่มมีหนวดเขียว ๆ บนริมฝีปาก จันทรก็ยังตัดผมหน้าปรกหน้าผาก และผมสั้นเพียงคอทั้งนี้หมายความว่า สมานมีโอกาสทุกทางที่จะให้ความคุ้มครองแก่น้อง ซึ่งเขาภาคภูมิใจมิใช่น้อย ส่วนอุไรนั้น เขาเป็นหนุ่ม หล่อนแตกเนื้อสาว โตกว่าพอที่จะขัดคำสั่งพี่ชายในบางคราว ดังนั้นความรักที่นายสมานมีต่อจันทร จึงมีน้ำหนักเกินความรักที่เขามีต่ออุไรมาก

เมื่ออุไรอายุได้ ๒๒ ปี หล่อนได้วิวาห์กับหลวงธุรกิจกำจร ผู้ซึ่งเป็นคหบดีชาวสวรรคโลกและเป็นผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติอันเกิดแต่การค้าไม้ขอนสัก ในเวลาที่ได้ข่าวว่ามีผู้มาสู่ขอ อุไรดีใจดังได้แก้วเพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พ้นจากความโหดร้ายของแม่เลี้ยงแต่เมื่อหวนคิดถึงว่า หล่อนจะไปเป็นสุขได้แต่ผู้เดียวละมารดากับน้องไว้ในความทุกข์ ความปิติก็เสื่อมคลายเกือบหมดสิ้น ๑ สัปดาห์กว่าที่อุไรเฝ้าวอนให้มารดาละเจ้าคุณสามีเสียเพื่อไปอยู่ด้วยกันกับหล่อน มารดาจะเชื่อฟังก็หาไม่ด้วยความรักความชื่อสัตย์ต่อสามียังมีน้ำหนักมากกว่าเหตุผลข้ออื่น ๆ ตามมติของหญิงชนิดมารดาของอุไรนี้ตราบเท่าที่สามียังเลี้ยงตัวซึ่งตัวจะทิ้งสามีเสีย นับเป็นการกระทำอันไม่ต้องด้วยประเพณีที่บรรพบุรุษได้เคยสั่งสอนอบรมมา

อุไรแต่งงานแล้วก็ไปอยู่กับสามีที่จังหวัดสวรรคโลก ได้รับความสุขสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยได้รับมาแต่ก่อน หลวงธุรกิจ ฯ มิได้เป็นข้าราชการที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงนั้น เป็นรางวัลที่ทางราชการขอพระราชทานให้ เพื่อตอบแทนความเอื้ออารีต่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งหลวงธุรกิจ ฯ กระทำอยู่เป็นนิจนิรันดร์

ในระหว่างนี้ จันทรคงผจญอยู่กับความทุกข์ซึ่งเกิดจากความอยุติธรรมอยู่เรื่อย ๆ ซ้ำร้ายในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น นายสมานต้องออกไปจากบ้านโดยมิได้เยี่ยมกรายเข้ามาอีก ความสุขทั้งหลายที่จันทรได้รับจากพี่ชายคนนี้ก็ขาดลอยตามตัวเขาไปด้วย

๒ ปีต่อมา มารดาของหลวงธุรกิจ ฯ ถึงแก่กรรม อุไรยังยุ่งอยู่ด้วยงานศพ ก็ได้รับข่าวจากทางกรุงเทพ ฯ ว่ามารดาของหล่อนเจ็บหนัก นางธุรกิจกำจร จำใจต้องละธุระของสามีไว้ทางหนึ่ง รีบด่วนมาบ้านบิดาได้พยาบาลหญิงผู้ให้กำเนิดอยู่ ๗ วัน แล้วมารดาก็ตายจากไป

ดูออกจะเป็นการประหลาดที่จะกล่าวว่า แม่ตายเสียกลับทำให้ลูกเปนสุข แต่ความข้อนี้เป็นความจริงได้แก่ตัวจันทร เมื่ออุไรพ้นแล้วจากการถูกกดเป็นอิสระในการคิดการทำ ความกล้าก็เกิดขึ้นในตัวถึงกับอาจหาญขออนุญาตต่อบิดาจะพาน้องไปจังหวัดสวรรคโลกด้วย

พระยาอุดมาฯ เป็นคนรักลูกแต่เกลียดความรำคาญแม้อย่างน้อยที่สุด เหตุนี้ทำให้ท่านอยู่ในถ้อยคำภรรยาประดุจลูกอยู่ในคำแม่ คุณหญิงอุดม ฯ พอใจที่จะให้จันทรไปเสียจากบ้าน เพื่อหล่อนมิต้องอยู่กีดหน้าขวางตาความประสงค์ของอุไร ซึ่งเป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของจันทรด้วย จึงสำเร็จอย่างราบรื่น

แต่นั้นมา อุไรกับจันทรได้พบปะกับนายสมานบ้างในเมื่อหล่อนมีโอกาสลงมากรุงเทพ ฯ และระหว่างที่นายสมานเจ็บหนัก เผอิญประจวบเหมาะหลวงธุรกิจมีธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขาย จำเป็นต้องถือเอาบ้านในกรุงเทพ ฯ เป็นที่พักโดยไม่มีเวลาจำกัด ทั้งอุไรและจันทรจึงมีโอกาสได้เห็นใจพี่ชายผู้มีคุณในวาระสุดท้าย

คืนนั้น วิชัยหลับไปทั้งกังวลในกิจธุระและความเศร้าใจยังหนักอึ้งอยู่ในสมอง ถึงเช่นนั้นในเวลารุ่งอรุณ เขายังได้เห็นดวงตาดำสนิทคู่หนึ่งที่มีอำนาจทำให้เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในตัวเขาเมื่อตอนหัวค่ำ

สะดุ้งตื่นขึ้นจากหลับพร้อมกับที่ดวงตาคู่นั้นจางหายไปในฝัน วิชัยพบตัวเองนอนอยู่บนเสื่ออ่อนในมุ้งเล็กขนาดกว้างยาวพอดีกับร่างกาย ความเย็นแห่งอากาศเมื่อน้ำค้างยังชื่นฉ่ำอยู่ตามใบหญ้า ทำให้วิชัยรู้สึกถึงความสำราญที่ได้นอนเหยียดยาวอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาพลิกตัวหลับตาตั้งใจจะหลับต่อ แต่เสียงนกกาที่โผผินไปตามยอดไม้ร้องเตือนเพื่อนกันให้ออกจากรังเตือนวิชัยให้สำนึกถึงงานอันตนจักต้องปฏิบัติโดยด่วน แหวกประตูมุ้งมองออกไปในที่ว่าง เห็นแสงทองเรื่อเรืองจับขอบฟ้า หลวงอรรถคดี ฯ จึงสลัดผ้าห่มจากตัว แล้วลุกออกนอกมุ้ง

ยืนยืดร่างเต็มส่วนสูง ชูแขนขึ้นตรงทั้ง ๒ ข้าง สูดอากาศอันสดชื่นเข้าในร่างกายเต็มแรง ในทันใดนั้นหลวงอรรถคดี ฯ เกือบสำลักลมหายใจ ห่างจากตัวเขาไม่ถึง ๑๐ ก้าว หญิงหนึ่งยืนเท้าลูกกรง เคราะห์ดีหล่อนหันหลังให้ ถึงกระนั้นวิชัยก็รู้สึกทั้งร้อนทั้งหนาวพร้อมกัน รีบเสยผมให้เรียบร้อย ใช้แขนเสื้อชั้นในเช็ดหน้าโดยด่วนแล้วก็เดินไปยังตาปูที่สายมุ้งผูกโยงอยู่

เห็นจะเป็นฝีเท้าวิชัยทำให้หญิงคนนั้นตื่นจากภวังค์หันหน้ามาดู พอสบตาชายผู้ซึ่งกำลังชำเลืองแลดูหล่อน จันทรก็หลบตาโดยเร็ว แล้วหันหน้ากลับไปทางเก่า

วิชัยปลดสายมุ้งได้ ๓ สาย ก็พอดีช้อยออกมายังระเบียงที่เขายืนอยู่และทักว่า

“อ้อพี่ใหญ่ตื่นแล้ว อย่ายุ่งกับมุ้งเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันทำเองได้ ธุระร้อนกว่านั้นยังมี ไปล้างหน้าเสียก่อนเถิด”

แต่หลวงอรรถคดีฯ มีนิสัยทิฐิในบางโอกาส เมื่อปลายเชือกเป็นปมเขายังแก้ไม่ออก ก็จะเอาชนะให้ได้ ตอบไปโดยไม่ละจากงานว่า

“เขียนหนังสือ ๒-๓ ตัวส่งข่าวให้คุณแม่รู้เสียก่อน แล้วสั่งให้คนที่บ้านพี่ส่งผ้าดำมาให้พี่ด้วย ผ้าพันแขนจะมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ ถ้ามีส่งมาไม่มีก็แล้วไป”

พอพูดจบก็พอดีแก้ปมเสร็จ วิชัยรวบมุ้งโยนไว้กลางเสื่อแล้วก็เข้าไปในห้อง

เมื่อทำกิจที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว วิชัยกลับออกมาข้างนอก ก็เห็นจันทรกำลังคุกเข่าพับผ้าห่มนอนของเขาอยู่ และสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นทำให้วิชัยมีความรู้สึกประหลาดอันจะอธิบายได้โดยยาก เขาจึงหัน ๆรีๆ อยู่ในความลังเล จะตรงเข้าไปขัดขวางแย่งงานมาทำเสียเองก็ไม่ใช่ จะปล่อยให้หล่อนทำต่อไปก็ไม่เชิง ในที่สุดวิชัยก็หลบหน้ากลับเข้าห้องและลงมือทำงานที่พึงจะทำได้ในเวลานั้น

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา วิชัยถูกเรียกให้ออกมารับประทานอาหาร หญิง ๓ คน คือ ช้อย อุไร และจันทรเข้าที่นั่งแล้ว สตรีสาวผู้อ่อนอาวุโสกำลังตักข้าวต้มใส่ชามแบ่งคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงจัดว่าหล่อนได้ทำงานให้วิชัยอีกครั้งหนึ่ง

อุไรปราศรัยกับวิชัยอย่างสุภาพและสนิทสนม วิชัยก็ตอบโดยอาการเช่นเดียวกัน

บริโภคพลางปรึกษาถึงการงานกันไปพลาง ถึงกระนั้นวิชัยก็ยังมีเวลาพินิจดูลักษณะของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าโดยละเอียดลออ สิ่งแรกที่เห็นโดยง่ายและสะดวกเพราะดูได้เต็มตา คือลำแขนซ้ายที่เท้าตึงรับน้ำหนักตัว แขนนั้นขาวผ่องทั้งกลมทั้งเรียวและอ่อนหยัด มือขวาจับช้อนตักอาหารมีผิวขาวละเอียด เช่นเดียวกับแขนประกอบด้วยหลังมืออวบนูน นิ้วเล็กเรียวหลังเล็บมีสีดังกลีบในบัวหลวงเมื่อแรกบาน และปลายเล็บขาวสะอาดเป็นมัน ทรวดทรงของจันทรนั้นอ้อนแอ้น เมื่อขยับเขยื้อนเยื้องกรายก็ดูอ่อนระทวยไปทั้งตัว ใบหน้าของหล่อนเป็นรูปไข่ แก้มอิ่มผุดผาดหาตำหนิมิได้ จมูกเป็นสัน คิ้วดำเล็กและเรียว ขนตาทั้งหนาทั้งยาว ริมฝีปากจิ้มลิ้มมีส่วนสัดรับกันเหมาะเจาะทั้งริมฝีปากล่างและริมฝีปากบน อันความงามที่เป็นไปโดยธรรมชาติอันแท้จริงนี้ ยิ่งพิศยิ่งเห็นชัดและดูเด่นจับตาจับใจ จนแทบจะทำให้ผู้มีสติฟั่นเฟือน ความคิดในเชิงการงานก็เชื่องช้าลง ไม่ว่องไวเฉียบแหลมเหมือนเช่นเคย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ