เวลา ๑๖ นาฬิกาเศษในวันเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน หลวงอรรถคดีวิชัยนอนหลับอยู่บนเก้าอี้หวายยาวที่เฉลียง ระหว่างหน้าห้องกินข้าวกับห้องรับแขก คุณนายซึ่งเพิ่งตื่นจาก “เอนหลัง” อยู่ข้างงานเราะที่นอน ซึ่งได้ทำเสร็จไปเมื่อ ๒ ชั่วโมงก่อนมองดูแสงแดดเห็นลับหายไปจากหน้าเรือนแล้ว แสดงว่าบ่ายจัด ถึงเวลาจะต้องไปดูการครัว คุณนายรีบเช็ดปากสีขี้ผึ้ง หยิบหมากพลูยากำไว้ พลางเปิดตลับแล้วก็ลุกขึ้น

ผ่านเก้าอี้ลูกชาย คุณนายมองดูอย่างไม่ตั้งใจก่อนแล้วก็ต้องหยุดยืนมองซ้ำ พร้อมกับยิ้มด้วยความเอ็นดู พ่อใหญ่ทำไมเป็นคนแปลกอย่างนี้ นอนหลับก็ดูเหมือนนอนเล่น ตั้งแต่เด็กจนเกือบจะแก่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ! ศีรษะเอียงซ้ายเล็กน้อย มือกอดอกพอหลวม ๆ ริมฝีปากหุบสนิทยิ้มละไม ถ้าแม้ใช้วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดบังตาที่กำลังหลับสนิทเสียแล้ว ใครที่เห็นไม่นึกสงสัยเลยว่าเขากำลังนอนหลับอยู่

นิ่งจ้องดูลูกอยู่สักครู่ แล้วคุณนายก็ลงจากเรือนไป

ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา มีเสียงฝีเท้าคนขึ้นบันไดโดยแรง ทำให้วิชัยตื่นขึ้น ลืมตาเห็นหนุ่มน้อยนายหนึ่งอยู่ในเครื่องแบบทหาร วิชัยก็ผงกตัวขึ้นนั่ง ยิ้มแล้วว่า

“เป็นแตรปลุกทั้งเช้าเย็นเทียวนะ”

นายร้อยตรีชัดหัวเราะ พลางเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าพี่ชาย

“กำลังนอนหลับสบายซี ! ผมไม่เห็นว่าพี่ใหญ่นอนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปทำงานดอกหรือ เราอิจฉาจังท่าทางพี่ใหญ่เห็นจะนอนมาแล้วทั้งวัน”

“กี่โมง?” วิชัยถาม

“๑๖ กว่า”

“นอนหลับไป ๔๐ นาทีเห็นจะได้ นึกว่านานเท่าไร” วิชัยพูดพลางหาว

“ยังเสียดายอีกหรือ นอนต่อซีผมจะไปละ”

“เฮ่ย ! ใครจะหลับอีกได้ !” ผู้เป็นพี่ตอบ ใช้มือทั้งสองลูบหน้าและลูบผม ไปเที่ยวด้วยกันไหมชัด !”

“เมื่อไหร่?” น้องชายถามโดยเร็ว

“ในครึ่งชั่วโมงนี่แหละ”

“แล้วกัน ! คิดว่ากลางคืน”

“ยังไม่เกินเวลา !” พี่ชายตอบและยิ้มอย่างเข้าใจกัน

“บ่ายนี้ผมไปไม่ได้ เสียใจ ผมต้องเล่นกอล์ฟกับอนงค์ พี่ใหญ่จะไปเที่ยวที่ไหน?”

“ไปเยี่ยมน้อง ๆ คนสำคัญที่สุด คือยายช้อย เมื่อกลางวันว่าจะไปก็เหลว”

นายร้อยตรีหนุ่มทำหน้าเบ้ “ไม่ไหว !” เขาร้อง “คิดว่าจะชวนไปเที่ยวที่ไหนเสียอีก ไปบ้านพี่ช้อยละผมไม่ไปเด็ดขาด”

“ทำไม เกิดวิวาทกันหรือ?”

“เปล่า-ไม่ใช่ พี่ช้อยแกจะมีเวลาวิวาทกับใคร พบใครเข้าก็หงอด ๆ แต่เรื่องผัวเจ็บ”

“แล้วยังไงล่ะ?”

“แล้วผมก็ขี้เกียจฟังน่ะซี พิโธ่ ใครมั่งจะไม่รำคาญ พบกันทีไรก็กะปอดกะแปดอยู่เรื่องเดียว ผมเบื่อเหลือทน ถ้าไม่จำเป็นผมไม่ให้แกพบผมเสียเลย”

วิชัยนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ออกปากว่า

“ลำบาก !”

ส่วนน้องชายของวิชัยนั้น เมื่อพูดจบแล้วก็สลัดเรื่องที่พูดจากใจและสมองพร้อมกัน มองดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วว่า

“แหมเกือบ ๑๖ น. ครึ่งแล้ว ผมต้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเดี๋ยวนี้ พี่ใหญ่ไปคุยกับผมที่ห้องก่อนเถอะ”

วิชัยลุกขึ้นเดินเคียงไปกับน้อง ถึงห้องแล้ว ชัดนั่งลงบนเตียงถอดรองเท้าพลางถามว่า

“พี่ใหญ่เห็นอนงค์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ไม่เลว” พี่ชายตอบพลางยิ้ม “แกติดต่อกับเขายิ่งกว่าเพื่อนเล่นและเพื่อนเที่ยวหรือ?”

ชัดยิ้มด้วยกับพี่ชายแล้วว่า

“ยังรู้ไม่ได้ ว่าแต่พี่ใหญ่เห็นว่าแกสวยไม่ใช่หรือ? ดูรูปตั้งแต่เท้า ขา เอว ไหล่ ยังงี้วิเศษเลย แต่ดูหน้าก็ยังงั้นแหละ ไม่งามจนเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีส่วนเสียจนน่าเกลียด”

พี่ชายนั่งฟังในอาการอันสงบ ลักษณะของอนงค์นับตั้งแต่รูปร่าง เครื่องแต่งตัว กิริยา ท่าทางและน้ำเสียงที่พูดปรากฏขึ้นในมโนภาพอย่างเด่นชัด เมื่อน้องชายจบการยอโฉมแล้ว เขาก็ตามขึ้นว่า

“นอกจากสวยยังมีอะไรดีอีก?”

“สปอร์ต ปอปปูล่า”

“ไอ้นั่นน่ะรู้ละ แล้วมีอะไรอีก?”

“เท่านั้นยังไม่พออีกหรือ? หรือพี่ใหญ่หมายถึงเงิน? บา ! ผมไม่อยากขายตัวให้แก่เงินเลย พับผ่า ! แต่อันที่จริงผมเชื่อว่าเขามั่งมีกว่าเรามาก ดูบ้านเขาซีตึกเบ้อเร่อ ไอ้ของเรา-” ยักไหล่อย่างเบื่อหน่าย “เหมือนกับรูหนู”

“ถ้าหนูตัวไหนต้องการรูเท่าบ้านเรา เห็นจะได้เอาออกประกวดเก็บเงินกันไม่หวาดไหว” พูดพลางสายตาวิชัยมองไปตามเครื่องแต่งห้องพร้อมกันนั้นเขาได้ยินเสียงแตรรถดังยืดยาวมาจากหน้าบ้าน ชัดร้องว่า “มาแล้ว” แล้ววิ่งไปฉวยผ้าเช็ดหน้าถูหน้าอย่างเร่งร้อน

“ใครมา?” วิชัยถาม

“อนงค์น่ะซี”

“มารับแกหรือ?”

“แน่ละ ขากลับแกก็มาส่ง”

“พี่ชายมองดูน้องอย่างทึ่ง ครั้นแล้วก็หัวเราะและว่า

“เข้าที ตาชัดแกหาคู่เล่นดี หาให้สักคนได้ไหมล่ะ?”

ชัดมองดูพี่ชายอย่างตั้งใจ แล้วพูดในขณะที่เดินเข้าไปยังถุงไม้สำหรับใส่ไม้กอล์ฟ “มันไม่ใช่ของแปลกพี่ใหญ่ ผู้หญิงรับผู้ชาย หรือผู้ชายรับผู้หญิง ผลลัพธ์เท่ากัน เรื่องนี้มีคนพูดเปรยกับผมหลายคนแล้ว ว่าง ๆ จะต้อง อธิบายกันให้เข้าใจเสียสักที” พอพูดจบชัดก็ฉวยถุงขึ้นหิ้วแล้วออกจากห้องไป

วิชัยมองตามน้องชายอย่างฉงน ความคิดที่กำลังผูกพันอยู่กับเครื่องแต่งห้อง อันเคยเป็นของตนมาก่อนก็หมดสิ้นไป นิ่งนึกขบปัญหาในความหมายแห่งคำพูดที่ยังก้องอยู่ในหู ครั้นแล้วก็สัญญากับตัวเองว่า “ต้องถามให้ได้ความ”

ความตั้งใจของวิชัยในอันจะไปเยี่ยมนายสมานนั้นไม่สำเร็จ ด้วยเหตุว่าพอเขาแต่งตัวเสร็จ กำลังจะออกจากบ้าน นางศักดิ์รณชิตก็มาถึง ครั้นแล้วในเวลาไม่ช้าเท่าใดก็มีแขกเข้ามาในบ้านอีกคนหนึ่ง

แขกผู้นี้วิชัยไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นหญิงอายุราว ๕๐ ปี รูปร่างผอมสูง สวมแว่นตากรอบทอง ท่าทางภูมิฐาน มีสาวใช้ถือกระเป๋าเลี่ยมนากตามหลังมาด้วยคนหนึ่ง

นางศักดิ์รณชิต กระซิบกับพี่ชายอย่างตื่นเต้น “คุณหญิงรานรอนฯ ป้าสะใภ้คุณหลวงเขายังไงล่ะ” แล้วขมีขมันไปบอกมารดา นางศรีวิชัย ฯ เดินพล่านห่มสะไบพลาง ลงไปรับที่ปลายบันได ส่วนวิชัยยืนดูท่าทางของหญิงทั้ง ๓ บนระเบียงอย่างทึ่งที่สุด

“พ่อใหญ่ !” คุณนายชื่นเรียกอย่างใกล้เสียงหลง “นั่นอะไรยืนตะลึงอยู่ได้ คุณหญิงท่านมาไม่เห็นหรือ ไม่ยักลงมารับ”

พ่อใหญ่” ยิ้มในหน้า แล้วค่อย ๆ เดินมายืนสำรวมอยู่บนบันไดขั้นที่ ๒ นางศักดิ์รณชิตถอยหน้าถอยหลังนำคุณหญิงไปยังห้องรับแขก บานประตูเปิดอยู่ ขอสับไว้ ก็ยังถูกดันถูกผลักให้เปิดกว้างออกไปอีกให้จนได้

คุณหญิงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุด แต่เก้าอี้มีปลอกผ้าคลุมอยู่ คุณนายก็พยักเพยิดให้ลูกสาวเลิกปลอกเก้าอี้เข้าตัวหนึ่ง ส่วนวิชัยนั้นทำหน้าที่เปิดหน้าต่าง

เสียงคุณหญิงถามขึ้นว่า

“พ่อนี่หรือที่กลับจากเมืองนอก?”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ คนนั้นเขาไม่ทราบว่าคุณหญิงจะมา เขาไปธุระเสียแล้ว นี่ลูกคนโตของดิฉัน”

“อ้อ ! เอ๊ะ ! คนไหน อ้อคนที่อยู่หัวเมืองหรือคะ?”

“เจ้าค่ะ-ดิฉันว่าจะพาพ่อชัดไปกราบเท้า เผอิญเขาก็ลาไปราชการ ไปหัวเมืองเสียหลายวัน ไปรับพี่ชายที่สง-อ้อไม่ใช่ที่หัวหิน เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง มีของมาฝากแม่เสียด้วย เอ้อ แม่ช่วงไปหยิบมาไป๊ อยู่ในก้นเชี่ยนหมาก เลยยกเชี่ยนหมากมาด้วยซี”

กระดุมหอยเลี่ยมนาก ได้รับความชมเชยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคำชมเชยก็เลยไปถึงเจ้าของผู้ให้

“น่ารักนะคะ ไปไหนนิดก็นึกถึงแม่ ดิฉันยังพลอยรักแกด้วยเลย”

คุณนายชื่นยิ้มตรงกับคำว่าแก้มแทบแตก ฉลาดพอที่จะไม่ส่งเสริม กลับถามว่า

“แม่หลาน ๆ อยู่สบายดีหรือเจ้าคะ?”

“สบายค่ะ แต่หมู่นี้พยอมออกจะออดแอด รับประทานข้าวไม่ค่อยได้....คุณนายมีลูกผู้ชาย ๒ คนเท่านั้นหรือคะ?”

“๒ เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ ศีรษะปีกับสุดท้อง แต่ยังดีกว่าคุณหญิงนะเจ้าคะ คุณหญิงไม่มีเสียเลย”

“ดูเถอะค่ะ ต้องคอยแต่เลี้ยงให้เจ้าคุณเขาเท่านั้น คุณนายเห็นจะไม่เคยเห็น ลูกชายคนโตของเจ้าคุณนะคะ พ่อสงัดน่ะ ดิฉันเลี้ยงเขามาแต่เล็ก เขาก็นับถือดิฉันเหมือนแม่จริง ๆ สนิทสนมจนไม่มีใครสงสัยว่าแกไม่ใช่ลูกดิฉันแท้ ๆ”

คุณนายชื่นไม่เคยรู้เรื่องที่เกี่ยวกับนายสงัดคนนี้มาก่อน เพื่อระวังตัวมิให้พลาดเพราะวาจา จึงไว้ตัวเป็นกลาง หัวเราะและไม่ตอบว่ากระไร คุณหญิงก็พูดต่อไปอีก

“เจ้าคุณเขามีลูกผู้ชายเล็ก ๆ อีก ๓ คนแล้วละค่ะ ดิฉันรับเป็นลูกไว้คนหนึ่ง”

“อพิโถ ! คุณหญิงช่างแสนดี แล้วแม่ของเด็กเป็นอย่างไรเจ้าคะ”

“มันก็บ้า ๆ บอ ๆ ค่ะ แต่กลับดิฉันละไม่กล้า เจ้าคุณของดิฉันน่ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวดีอยู่อย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าเมียน้อยละก้อไม่ให้วางท่ากับดิฉันได้ ขืนปล่อยให้มาระรานดิฉันจะได้ฉีกอกเสียประไร”

ผู้พิพากษาหนุ่มกำลังนึกสงสัยว่า ถ้าตัวเขาเป็นลูกคุณนายชื่นในเวลานั้น เขาจะนึกหาคำตอบให้เป็นที่ชอบใจผู้พูดได้หรือไม่ แต่มารดาของเขามิได้มีความรู้สึกขัดข้องในข้อนี้ ยิ้มอย่างนิยมชมชื่นแล้วกล่าวว่า

“โถ ท่านก็แสนดีนะเจ้าคะ ก็น่าหรอกที่จะรับลูกของท่านเป็นลูกคุณหญิงเสียเอง”

“ดิฉันชอบมีลูกผู้ชายหลาย ๆ คน.... ลูกชายคนเล็กของคุณนายชื่ออะไรนะคะ ดิฉันลืมเสียแล้ว จำได้แต่ตัว ช. ชิดหรือคะ หรือโชติ?”

“ชื่อชัดเจ้าค่ะ”

“อ้อ ! ทีนี้เห็นจะไม่ลืมอีกละ อยากเห็นพ่อชัด รู้สึกว่าแกจะน่าเอ็นดู แกปีเดียวกับแม่สอางของดิฉันนะคะ”

“เจ้าค่ะ ปีเดียวเดือนเดียวกันด้วย แต่คนละวัน”

“ถูกซีคะ พ่อชัดวันพุธนี่ วันเดียวกับแม่สอิ้ง แต่เวลาไปใกล้กับแม่พยอม”

“เออแน่ะ !” วิชัยพลางเลียริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้ม “ช่างรู้ช่างจำละเอียดลออจริงนะ งามละแกพ่อชัดเอ๋ย แต่ยังไม่เคยพบตัวยังปานนี้ ถ้าเป็นลูกเขยแล้ว กินข้าววันละกี่คำก็คงจำได้

นางศักดิ์รณชิตลุกขึ้นมาหยิบหมากจากเชี่ยน เพื่อจะเคี้ยวเล่นบ้าง คุณหญิงมองดูหล่อนแล้วถามว่า

“เมื่อคืนแม่ช่วงไม่เห็นไปดูละคร คุณหลวงเขาไม่ให้ไปหรือ?”

“เปล่าเจ้าค่ะ” ช่วงปฏิเสธพลางหัวเราะ “เมื่อคืนมัวแต่มายุ่งกับพี่ใหญ่เสีย”

ดูเหมือนคุณหญิงจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ภายในห้องที่ท่านนั่งอยู่นี้ มีมนุษย์ที่เป็นบุตรแห่งสหายของท่านอีกคนหนึ่ง-ซึ่งไม่ใช่พ่อชัด- นั่งอยู่ด้วย คุณหญิงคายชานหมาก พลางเหลือกตาขึ้นมองมาทางเขา แล้วถามเนือย ๆ

“พ่อนั่นแกชื่อใหญ่หรือ หรือชื่ออะไรอีก?”

ความคะนองชั่วเล่น ทำให้วิชัยยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ตอบว่า

“หลวงอรรถคดีวิชัย”

คุณหญิงเกือบสะดุ้ง วางกระโถนเสียโดยเร็วเพื่อจะได้ใช้มือขยับแว่นตาให้เข้าที่ “อุแหม !” ท่านอุทาน “เป็นคุณหลวงแล้วหรือนี่ อะไรเป็นขุนนางแต่ยังหนุ่มเท่านี้”

“และจะเป็นคุณพระในไม่ช้า” วิชัยตอบในใจ ในขณะที่คุณนายชื่นกล่าวพร้อมหัวเราะว่า

“ไม่หนุ่มนะเจ้าคะ ๓๐ เข้าปีนี้แล้ว แต่เขาเป็นหลวงตั้งแต่อายุ ๒๕”

“เออแน่ะ ดูหน้าตาแกดิฉันคิดว่าสัก ๒๕-๒๕ อะไรตั้ง ๓๐ ทีเดียว คุณนายเห็นจะมีหลานย่าแล้วกระมัง?”

ในเวลานั้น หลวงอรรถคดี ฯ ถูกคุณหญิงจ้องดูจนเขานึกอยากเห็นเงาตัวเองในกระจกขึ้นทันใด และนิสัยของชายหนุ่มผู้นี้ เมื่อถูกผู้ใดกล่าวขวัญถึงตัวต่อหน้าก็ให้รู้สึกกระดากใจ เขาจึงลุกยืนโดยทันทีแล้วพูดสั้น ๆ กับน้องสาวว่า

“พี่จะไปบอกให้เขาเอาน้ำมา”

เขาแกล้งทำตัวให้หายไปนานพอที่สตรีทั้ง ๓ จะพูดถึงเรื่องของเขาได้จบ ดังนั้น เมื่อเขากลับมาในห้องรับแขกจึงพบคุณหญิงกำลังลาเจ้าของบ้าน

“พี่ใหญ่เห็นคุณหญิงรานรอน ฯ เป็นอย่างไรบ้างคะ?” ช่วงถามเมื่อกลับมาจากส่งคุณหญิงถึงประตูบ้านแล้ว

“สนุกดี !” วิชัยตอบพลางยิ้ม “เห็นจะรานรอนเก่งด้วย มีลูกสาวหลายคนหรือ และยังไม่มีผัวทั้งนั้น? มีสวยบ้างไหม?”

“ไม่ขี้ริ้วสักคนค่ะ แต่ที่สวยกว่าเพื่อนแม่พยอมซี สวยด้วย ฉลาดด้วย แต่อย่างพี่ใหญ่ไม่ได้เขาหรอก พี่ใหญ่ไม่ได้เป็นนักเรียนนอก”

หลวงอรรถคดี ฯ ยิ้มจนเห็นไรฟัน นัยน์ตาวาวด้วยความคิดอันขบขันที่เกิดขึ้นในสมอง คุณนายชื่นร้อง “อื้อ !” คล้ายกับจะท้วงว่า “อย่าเพ่อพูดไป” แต่มิได้ท้วง เป็นแต่มองลูกชายด้วยสีหน้าอันเต็มไปด้วยความคิด

“คุณหลวงให้ดิฉันบอกพี่ใหญ่ว่า พรุ่งนี้ทุ่มตรงจะมารับไปรับประทานกับข้าวเจ๊ก” ช่วงพูดต่อไป

“ยังงั้นหรือ ก็วันนี้ทำไมเขาถึงไม่มาด้วยล่ะ?”

ช่วงขยิบตาและหนีบขาพี่ชายโดยแรง แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว คุณนายชื่นกระแทกเสียงพูดว่า

“เขาไม่มาหรอกย่ะที่บ้านนี้น่ะ เขากลัวหมากัด”

“วันนี้ติดธุระจริง ๆ ค่ะ” ช่วงรีบแก้ “ถ้าไม่ยังงั้นก็มา บ่นอยู่ตั้งแต่เช้าว่า ดีใจที่พี่ใหญ่มาอยู่กรุงเทพ ฯ อยากพบเมื่อไรจะได้พบกันง่าย ๆ บอกว่ามีเพื่อนมามากแล้วไม่ถูกใจเหมือนพี่ใหญ่สักคนเดียว”

“แล้วมันเรื่องอะไร ถึงต้องมาชวนลูกเขาไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืน ลูกเขาเพิ่งกลับมาถึงจะได้อยู่ด้วยกัน แม่ ๆ ลูก ๆ ตัวอยากพบทำไมไม่มาหาเขาที่บ้านล่ะ”

“เห็นจะไปพบเพื่อน ๆ อีกหลายคนกระมังครับ” วิชัยแก้ต่อไป

“ค่ะ” ช่วงรับโดยเร็ว “เห็นว่าจะเลี้ยงอย่างรับแขกเมืองทีเดียว จะเชิญเพื่อนทหารที่เคยชอบกับพี่ใหญ่หลายคน ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงไม่มีปน”

“นั่นแหละ กินแล้วคงไปสำมะเลเทเมากันใหญ่ พ่อใหญ่ระวังตัวนะ แกนะ ยิ่งไม่ค่อยได้พบเห็นของใหม่ ๆ วิเศษ พ่อเพื่อนตัวสำคัญจะรีบพาไปให้ชิมเสียเร็ว ๆ เดี๋ยวก็จะเพริดจนเลยธงหรอก”

ถ้อยคำเช่นนี้ สำหรับเตือนสติบุคคลผู้มีอายุและอุปนิสัยเช่นหลวงอรรถคดี ฯ ออกจะเป็นการเกินต้องการอยู่ แต่วิชัยไม่เห็นประหลาดเพราะเหตุว่าตลอดเวลา ๓๐ ปีแห่งอายุของเขานี้ คุณนายชื่นมิได้คอยเฝ้าเป็นมารดาของเขาอยู่เป็นนิจดอกหรือ?”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ