๒๐

วันรุ่งขึ้นเมื่อพระอรรถคดี ฯ กลับจากปฏิบัติราชการตามเวลา เขาพบมารดายืนเยี่ยมหน้าต่างห้องนอนอยู่ นางศรีวิชัย ฯ ร้องทักด้วยน้ำเสียงแสดงความชื่นชม

“หิวไหม พ่อใหญ่ แม่หาขนมไว้ให้ ไปอาบน้ำอาบท่าเสียไป๊ หน้าออกแห้งยังงั้น”

ลักษณะยิ้มของวิชัยที่ยิ้มรับคำปราศรัยนั้น ค่อนข้างไม่สดชื่นเหมือนเช่นเคย ขึ้นบันไดเรือนจะตรงไปห้องนอนของตน ก็พบหนูนิดเดินเคียงมากับช้อย

เด็กน้อยถลันเข้ากอดลุงไว้ วิชัยอุ้มตัวเด็กขึ้นแล้วพูดกับน้องสาวของเขาว่า

“เข้าไปในห้องกับพี่ประเดี๋ยวได้ไหม มีธุระจะต้องปรึกษา”

ในเวลาที่เดินจากบันไดไปถึงห้อง วิชัยรู้สึกความนุ่มนวลอบอุ่นแห่งลำแขนน้อย ๆ ที่โอบรอบคอเขาอยู่ ความข้องใจในเรื่องที่ได้ตกลงกันไว้กับมารดาเมื่อคืนก่อนก็แรงขึ้น จึงกอดหลานแนบแน่นเข้ากับตัวแล้วก็ถอนใจเบา ๆ ด้วยความสงสารต่อเด็กนั้น

ช้อยเข้ามาในห้อง มือถือวัตถุสีขาวขึ้นหนึ่งซึ่งหล่อนส่งให้แก่พี่ชาย

วิชัยมองลักษณะและขนาดของวัตถุนั้นพลางถาม

“ใครเชิญไปไหนอีกล่ะ แต่งงานรึ?”

“ไม่ยักใช่ งานราตรีสโมสรในวันที่อนงค์อายุ ๒๔ ปีเต็ม แกเชิญเราทั้ง ๓ คน”

พระอรรถคดี ฯ ชักบัตรออกจากซอง อ่านดูพลางพูดว่า

“อะไรแม่อนงค์ ๒ รอบแล้วหรือ ดูหน้าแกยังอ๊อนอ่อน หรือจะเป็นที่แกแต้มอะไรเข้าไว้มาก....ในการ์ดนั้นไม่เห็นบอกว่างานอะไร เขาส่งมาแต่เมื่อไรนี่”

“เมื่อบ่ายนี่เองค่ะ แกมาที่บ้านคุณครูแล้วให้เด็กมาตามดิฉันไปนั่งคุยกันอยู่สักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ คุณครูท่านไปวัด อนงค์ไม่รู้ว่าวันนี้วันพระ จะมาเรียนทำขนมเลยเก้อ”

“อ้อ มีการเรียนทำขนมด้วยหรือ เห็นจะเตรียมตัวเป็นแม่บ้านเต็มที่ อันที่จริงเวลานี้แกก็เป็นแม่บ้าน แต่การครัวเห็นจะไม่ประสาแน่ เพราะมัวแต่เที่ยวเสียมาก หรือบ้านก็ไม่ได้จัดเอง คนอื่นเขาจัดการให้ก็ไม่รู้ นอกจากพี่น้อง ๔ คนมีใครอยู่กับแกด้วยไหม?”

“ไม่มีค่ะ แกบอกกับดิฉันว่าแกใช้เวลาดูการบ้านวันละ ๒ ชั่วโมงเต็ม แต่การครัวแกไม่ประสาจริงอย่างพี่ใหญ่ทาย ในวันมีงานแกขอให้ดิฉันไปช่วยแต่เช้า”

“ก็ไปช่วยแกหร่อยซี เสียแรงชอบพอกัน นึกว่าเห็นแก่คุณแฝดด้วย”

“ดิฉันน่ะเต็มใจไปล่ะคะ แต่กลัวคุณแม่”

“นานทีปีหน ท่านคงไม่ว่ากระไรหรอกน่ะ”

“ไม่ใช่ยังงั้น ถ้าไปที่อื่นท่านคงไม่ว่าแต่นี่ไปบ้านอนงค์”

พระอรรถคดี ฯ นิ่งไป ช้อยจึงพูดต่อ

“ท่านเกลียดอนงค์เสียจริง ๆ มองเห็นแกในทางที่เลวทั้งนั้น ส่วนทางที่ดีท่านไม่พยายามดูเสียเลย ท่าทางอนงค์ดูเหมือนจะรู้ตัว แกบอกดิฉันวันนี้เอง ว่าอยากเข้ามาหาในบ้าน พอดีกับดิฉันก็ไม่กล้าชวนแก”

วิชัยยังคงไม่ตอบ เพราะสมองของเขากำลังอยู่ในห้วงแห่งความตรึกตรอง

อันความกลัวกับความเกลียด.... ใช้อย่างเบาว่าความไม่ชอบ.... นี้ เปรียบเหมือนญาติสนิทเพียงพี่น้องต่างมารดานี่เป็นความเห็นของวิชัย แต่ว่าการที่อนงค์ไม่ชอบคุณนายชื่น จะปรับเอาว่าเป็นความผิดของใคร ในเมื่อโลกยอมรับอยู่แล้วว่า มนุษย์ต่างมีเครื่องรับส่งกระแสดวงจิตด้วยกันทุกคน วิชัยยังคงจำได้ซึ่งคำของมารดา เมื่อกล่าวขวัญถึงอนงค์ภายหลังที่ท่านได้พบหญิงสาวผู้นี้ ๓ ครั้ง ครั้งที่หนึ่งอนงค์ขับรถเข้ามาในบ้านคุณนายชื่น หล่อนนุ่งซิ่นสั้นเพียงใต้เข่า ส่วนถุงเท้าสั้น ริมฝีปากแดงแช้ด ลงจากรถแล้วก็จูงมือกันกับชัด เต้นหยอยผ่านสนามหญ้า วิ่งขึ้นบันไดมาหยุดบนระเบียงเรือน ครั้งที่ ๒ คุณนายชื่นเห็นอนงค์ที่ถนนพญาไท เวลาใกล้ค่ำ หล่อนขับรถตอนเดียว และมีหล่อนเป็นหญิงคนเดียวอยู่ในรถที่มีชายหนุ่มนั่งมาด้วยสัก ๑๐ คน เต็มแน่นทั้งข้างหน้าข้างท้ายตลอดจนบนบังโคลน ครั้งที่ ๓ ที่สถานีหัวลำโพง ท่ามกลางคนเป็นก่ายกอง จำเป็นหรือที่หล่อนจะต้องเดินควงแขนมากับชาย ผู้ซึ่งยังมิได้เกี่ยวดองกันมากกว่าเป็นเพื่อน แม้แต่วิชัยเองก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปาก ว่าเขาเต็มใจให้อนงค์เท่าเขาได้ยินข่าวกล่าวขวัญ และที่ได้เห็นด้วยตาในท่ามกลางพรรคพวกของหล่อนที่หัวหินมาเป็นน้องสะใภ้ ภายหลังต่างหาก เมื่อเขาได้เห็นหล่อนในเวลาที่เป็นแม่บ้านรับรองแขก มีความรอบคอบมีมารยาทเรียบร้อยเหมาะเจาะ ทั้งได้ฟังข่าวกล่าวขวัญจากช้อยว่าหล่อนไม่ไร้เสียทีเดียวซึ่งคุณสมบัติของสตรี กับเขาปลงว่าชัดคือชัด วิชัยคือวิชัย หญิงหนึ่งย่อมเหมาะสำหรับชายหนึ่งเช่นนี้ดอกวิชัยจึงมีมุทิตาจิตต่ออนงค์

นายบ๋อยคนใช้ประจำตัวคุณพระ ยกถาดเครื่องว่างเข้ามาในห้อง หนูนิดผู้ซึ่งยืนใช้หวีของลุงหวีผมเล่นอยู่ตรงหน้ากระจก มีความเอาใจใส่ในถาดนั้นขึ้นทันที โถมเข้าคร่อมวิชัยผู้ซึ่งลดตัวลงจากเก้าอี้ ช้อยทำตาเขียวพลางเงื้อมือ วิชัยจึงกางแขนกั้นไว้

“ชอบรังแกเด็กจริงแฮะ ยายช้อยนี่ เอะอะก็เงื้อพระขรรค์เรื่อย”

ช้อยหัวเราะครึ่งขันครึ่งฉิว “ก็ดูทำเข้าซี” หล่อนว่า “มันสมกับกิริยาของลูกผู้หญิงที่ไหน”

“ทำไมจะไม่สม ผู้หญิงในสมัยอีก ๑๕ ปีข้างหน้าจะเล่นผยองยิ่งเสียกว่าผู้ชายอีก เพราะฉะนั้นต้องหัดเสียแต่เด็ก ๆ” รวบตัวหลานน้อยให้นั่งบนตักแล้ว วิชัยหัวเราะ พลางพูดสืบไป “ยายนิดแกโตพอที่จะรู้จักกำเริบหรือยัง เมื่อตะกี้ลุงพูดเล่นนะจ๊ะ หนูเป็นผู้หญิงต้องเรียบร้อย ไม่ยังงั้นใคร ๆ เขาจะโทษว่าลุงทำหนูเสียเด็ก”

เขารับประทานขนมปลากริมไข่เต่า และป้อนหลานได้รับประทานด้วย แล้ววิชัยถามขึ้นว่า

“อนงค์คุยถึงตาชัดว่ากระไรบ้าง การติดต่อระหว่างเด็ก ๒ คนนี้กินความแค่ไหน?”

“ไม่ทราบเขาค่ะ” ช้อยตอบ “ถ้าพบเขา ๒ คนพร้อมกันละก็ ดิฉันออกแน่ใจว่าเขารักกัน แต่ถ้าพบอนงค์คนเดียวกลับสงสัย เพราะเห็นแกเรื่อย ๆ เป็นความจริง อนงค์ไม่เคยพูดเรื่องตาชัดกับดิฉันเลย แกชอบพูดเรื่องพี่ใหญ่”

“นั่นเป็นความฉลาดของแกอย่างหนึ่ง ที่ไม่พาชื่อคนรักติดริมฝีปากไปด้วยทุกหัวระแหง แต่ว่าเรื่องพี่ใหญ่มีอะไรให้แกพูด?”

“โอ๊ย ทำไมจะไม่มี” ช้อยกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “คนเราลงอยากจะพูดถึงใครก็ต้องหาเรื่องได้วันยังค่ำ แล้วอนงค์แกช่างจำช่างสังเกตหยอกอยู่เมื่อไร บางทีดิฉันพูดเรื่องพี่ใหญ่ไห้แกฟัง ไปทีหลังดิฉันลืมแล้ว อนงค์ยังจำไว้ได้ ส่วนตัวแกเองไม่ว่าจะพบพี่ใหญ่ที่ไหน พี่ใหญ่พูดอะไร ทำท่าอย่างไรแกต้องจำมาเล่าให้ดิฉันฟังอย่างละเอียดลออเสมอ”

พี่ชายของช้อยทำหน้านิ่ว “แกคงเห็นพี่เป็นตัวโจ๊กอะไรตัวหนึ่ง” เขาว่า

“โธ่ เปล่า ไม่ใช่ยังงั้น” ช้อยค้านโดยเร็ว “แกไม่เคยหัวเราะเยาะพี่ใหญ่เลย ที่แกเล่านั้นสังเกตดูแกเล่าอย่างน่าเอ็นดูแท้ ๆ”

วิชัยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่มิได้โต้แย้งต่อไป

“พี่ใหญ่เรียกดิฉันมาว่ามีธุระอะไรไม่ใช่หรือ?” ช้อยถามขึ้นในครู่ต่อมา

“ธุระที่กำลังพูดกันอยู่นี่แหละ” วิชัยตอบทันที

“ตอนไหนเป็นธุระ?” ช้อยถามอย่างงง

“ทุกตอน คุณแม่กำลังจะใช้บาทใหญ่ข่มตาชัด ท่านนัดกับคุณหญิงมะยมไว้แล้วว่าเดือนหน้าจะไปขอลูกสาวเขา”

“แหม” ช้อยอุทาน “เอาละซี ทีนี้ตาชัดจะว่ายังไง?”

วิชัยยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย “ตาชัดยังไม่รู้ตัว” เขาบอก “พี่กำลังคิดอยู่ว่าเราจะบอกให้แกรู้เสียดีหรือจะทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คุณแม่รับผิดชอบคนเดียวดี”

ช้อยนิ่งคิด ในที่สุดจึงถามว่า

“ท่านคิดว่าถ้าท่านเดินแบบทำไปไม่ให้ตาชัดรู้ตัวก่อน แล้วท่านจะบังคับเขาได้ภายหลังยังงั้นหรือ?”

“พี่ไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร ถามท่านว่าตาชัดเขาตกลงแล้วหรือ ท่านก็ว่าเรื่องตาชัดไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่ยอมท่านจะตัดไม่นับเป็นลูก ท่าทางดูเหมือนท่านจะเชื่อว่าท่านจะบังคับเขาได้”

“มันยากจริงนะคะ ช้อยบ่น “ถ้าไม่บอกให้ตาชัดรู้ตัว คุณแม่ไปขอเธอเขาเสร็จแล้ว พ่อฮึดใส่ไม่ยอมแต่งงานเราก็เสียของหมั้นเปล่า แล้วคุณแม่ก็เสียชื่อ ถ้าบอกแก แกทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาคุณแม่ก็จะเล่นงานเรา”

“ถ้าเราบอกตาชัด คุณแม่จะโกรธเราและโกรธตาชัดด้วย มันก็เป็นแต่เพียงเรื่องร้อนระหว่างเราแม่ ๆ ลูก ๆ แต่ถ้าเราไม่บอก คุณแม่หลงเชื่อว่าจะบังคับตาชัดได้ ไปหมั้นเขาไว้ ตาชัดไม่นึกหน้าแม่ ลองคิดดูว่าข้อเสียมากเพียงไร ฝ่ายเราเสียทั้งทรัพย์เสียทั้งความเป็นผู้ใหญ่ ฝ่ายหญิงก็จะถูกขึ้นชื่อฉาวโฉ่โดยที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”

“ถูกแล้วค่ะ แต่ว่าถ้าการเลยไปแล้ว คุณแม่บังคับจริง ๆ จัง ๆ ตาชัดกลัวคุณแม่หรือนึกถึงสมบัติบ้าง แกอาจจะทำตามคุณแม่ก็ได้นี่คะ”

“อาจจะ !” วิชัยทวนคำอย่างเบื่อ “ถ้าอาจจะละก็ อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ พี่เองไม่รู้จักนิสัยแท้จริงของชัด เพราะเช่นนั้นถึงอยากปรึกษาพี่น้องดู มีทางใดจะทำให้คุณแม่เสียน้อยที่สุด โธ่ อายุท่านไม่น้อยแล้วนะ ไม่อยากให้ใครเขาหยามท่านเล่นเลย”

“ก็ท่านจะรู้จักฟังเสียงใครเมื่อไรล่ะ” ช้อยนึกถึงแต่หาอาจออกวาจาให้พี่ชายได้ยินไม่ จึงพูดแต่เพียงว่า “ถ้าเราบอกตาชัดแล้วแกทำอะไรมุทะลุขึ้นมา เช่นไปเสียจากบ้านเฉย ๆ ไม่มาเกี่ยวข้องกับคุณแม่อีก พี่ใหญ่เป็นคนโดนก่อนเทียวนะคะ”

วิชัยหัวเราะในลำคอ “ข้อนั้นน่ะช่างเถอะ พี่ทนได้” เขาบอก

ช้อยทำตาคว่ำมองดูพี่ชาย นึกหมั่นไส้เต็มที จึงสำทับว่า

“แต่พี่ใหญ่ไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านยังว่าให้ท้ายตาชัด”

“ความเข้าใจของท่านก็ไม่ผิด” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “ถึงไม่ได้ให้ท้ายด้วยคำพูดก็ให้ในใจ พี่จะบอกจริง ๆ เพื่อให้ความยุติธรรมแก่คุณแม่ทั้งในเวลานี้หรือในเวลาต่อไป ถ้าตาชัดมาบอกพี่ว่าเขารักผู้หญิงคนหนึ่งแล้วพี่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เลวเกินไป และเขารักกันจริง พี่ต้องช่วยตาชัดจนสุดกำลัง คุณแม่ไม่จัดการเห็นจะต้องจัดการเสียเอง ยิ่งเวลานี้ละยิ่งดีใหญ่จะได้ตัดทางเสียของคุณแม่เสียทีเดียว”

สบสายตาน้องมองดูเขาอย่างทึ่ง วิชัยก็หัวเราะแล้วว่า

“ไม่เชื่อซินะ ว่าพี่ใหญ่จะกล้าขวางทางเดินของคุณแม่ ! ก็พี่บอกแล้วว่าพี่ถือหางตาชัด เข้ากับตาชัดเต็มที่ในเรื่องนี้ อันที่จริงไม่ใช่เข้ากับตาชัดหรอก เข้ากับธรรมของโลก บังคับคนที่ไม่ชอบกันให้เป็นผัวเมียกันนี่มันเป็นการทรมานสัตว์แท้ ๆ แล้วไม่ใช่ทรมานคนใดคนหนึ่งตั้งแต่ ๒-๓-๔ ขึ้นไป ผัวไม่รักเมีย เมียเป็นทุกข์ เมียไม่รักผัว ผัวเป็นทุกข์ พอ ๒ คนนี่เป็นทุกข์ คนข้างเคียง แม่ พ่อ พี่ ป้า อา ลุง เดือดร้อนไปตาม ๆ กันหมด ไม่น่าสนุกที่ตรงไหนเลย”

ช้อยยังไม่ทันได้พูดตอบ พอนายบ๋อยเข้ามาแจ้งแก่วิชัยว่า

“คุณนายว่ารับประทานแล้วให้ลงไปข้างล่าง”

“ถ้าอยากจะพูดเรื่องตาชัดอีกแล้ว” พระอรรถคดี ฯ กล่าว แล้วหันไปทางคนใช้ “เดี๋ยว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ เจ้าคอยเก็บถาดนี่ลงไปด้วย”

ช้อยจัดแจงล้างมือล้างปากให้ลูก วิชัยจุดบุหรี่มวนหนึ่ง แล้วก็ลงไปหามารดา

จริงดังที่เขาทาย คุณนายชื่นชวนบุตรมาฟังแผนการวิวาห์และผลที่ท่านหวังจะได้จากการวิวาห์นั้น นั่งพูดกันอยู่ราวครึ่งชั่วโมง แล้ววิชัยถูกหลานรั้งตัวไปเที่ยวเดินเล่น กลับมาถึงบ้านพอเวลาเข้าไต้เข้าไฟก็พอพบกับตาชัด

นายร้อยตรีหนุ่มยิ้มแป้นเข้าหาพี่ชาย และพูดขึ้นทันที

“ผมกลับจากบ้านหลวงธุรกิจ ฯ เดี๋ยวนี้เอง เอาลูกแบดมินตันไปให้จันทรแล้วเลยลองเล่นกับเขาด้วยเต็มที จันทรป้อแป้สู้พี่สาวไม่ได้ ข้างผมก็เคยกับเทนนิส ตีลูกออกทุกทีเลย”

พระอรรถคดี ฯ จ้องดูหน้าน้อง มีความรู้สึกสมเพชและอึดอัดใจจึงไม่นึกที่จะตอบ

อีกฝ่ายหนึ่งไม่สงสัยในการนิ่งของผู้เป็นพี่ ปลดดุมเสื้อทั้ง ๕ ดุม แล้วสอดมือทั้ง ๒ เข้าในกระเป๋ากางเกง เดินเคียงพี่พลางพูดต่อ

“สังเกตไหมจันทรน่ะรูปไม่ค่อยสวย สู้อนงค์ไม่ได้ แหม แต่หน้าแก....” เขาซี๊ดปาก “ตายังงี้ ! ฟันยังงี้ ! แล้วสังเกตไหมพี่ใหญ่เวลาอายละหมดเลย !”

พระอรรถคดี ฯ ยิ้มได้นิดหนึ่ง “แกน่ะดูใครก็ดูได้ คนเดียวที่ใคร ๆ อ้อนวอนให้ดูเท่านี้ไม่ไปดูได้เลย บ้าจริง !”

“ก็เขาไม่ขอเพียงให้ดูนี่ครับ ขอมากกว่านั้นเพียงแต่ดูก็ได้ซี นี่ถ้าผมไปเข้าสักหนเดียวเรื่องมันก็จะไปกันใหญ่เท่านั้น”

“ชัด !” วิชัยเอ่ยขึ้น สีหน้าขรึมอย่างเอางานเอาการ “แกอย่าทำเล่นกับเรื่องนี้นะ แกไม่เอาเขาก็บอกคุณแม่เสียให้เป็นคำขาด....”

“โน ! ผมไม่พูดกับคุณแม่เด็ด ๆ เท่าที่ผมไม่ยอมไปดูตัวเจ้าสาว ยังไม่เป็นคำปฏิเสธที่มีน้ำหนักพออีกหรือ?”

วิชัยส่ายหน้า “เรื่องมันจะยุ่ง ชัดเอ๋ย พี่เห็นว่าแกขี้ขลาดไม่เข้าเรื่อง พูดว่าไม่กับคุณแม่เท่านั้นก็พูดไม่ได้ ผลัดเจ้าล่อไม่รู้จักแล้ว ฉวยคุณแม่นึกขลังขึ้นมา เกิดไปขอหมั้นเขาเข้า แกจะว่ายังไง”

ชัดหัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่ “ตามใจท่านซี มันไม่ใช่ความผิดของผมนี่ ผมไม่ยอมรับผิดชอบด้วยหรอก”

พระอรรถคดี ฯ นิ่ง ยุ่งใจจนมิรู้ที่จะพูดอย่างไรถูก ในที่สุดก็ส่ายหน้า

ตกกลางคืน ในเวลาที่นั่งสนทนากันอยู่ด้วยกัน ๔ คนแม่ลูก วิชัยมีอาการใจลอยบ่อยครั้ง ในที่สุดเขาก็ลุกออกจากวงคุย ไปสวมเสื้อชั้นนอกขับรถออกจากบ้านไป

เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังพ้นบ้านไป คุณนายชื่นมีสีหน้าแสดงความสงสัย แต่ว่าอารมณ์ที่ดีถามลูก ๒ คนด้วยน้ำเสียงมีหัวเราะแกม

“เขาจะไปไหนของเข้า ใครรู้บ้างไหม?”

คำถามนั้นไม่มีใครตอบได้

วิชัยมาถึงบ้านหลวงศักดิ์ ฯ ใกล้เวลา ๒๒ นาฬิกาจึงได้พบบ้านนี้อยู่ในความเงียบสงัด ด้วยบุคคลสำคัญที่เป็นเจ้าแห่งการจ้อกแจ้กในบ้านทุก ๆ บ้านนั้น พากันนอนหลับอย่างสำราญเสียหมดแล้ว นอกจากนี้เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงก็ไม่อยู่ หลวงศักดิ์ ฯ บอกกับวิชัยว่าหล่อนไปเยี่ยมบ้านที่คลอดบุตรเมื่อตอนบ่าย “บ้านเขาอยู่แค่นี้เอง ถ้าแกมีธุระให้คนไปตามมาก็ได้”

ไม่ต้อง” วิชัยตอบโดยเร็ว “ธุระเล็กน้อย ไม่สำคัญและไม่ด่วน เมื่อไรก็ได้”

หลวงศักดิ์ ฯ พาสหายไปนั่งที่มุขน้อยติดกับห้องนอน และที่ร้านต้นขจรปกคลุมอยู่ราวหนึ่งในสองของตัวมุข ทั้ง ๒ นั่งพูดกันถึงเรื่องที่ไม่เป็นสาระไร้ทั้งความรู้ทั้งความรื่นเริงอยู่นาน ตามธรรมดาของคนที่มีเรื่องสำคัญแฝงอยู่ในใจ และยังลังเลไม่อาจพูดออกมาได้ ในที่สุดฝ่ายเจ้าของบ้านเป็นผู้เบิกทางขึ้นก่อน

“เขาลือกันว่าแม่ยายอั๊วจะจับเจ้าชัดมัดให้แน่นไม่ใช่หรือ?”

“ช่วงบอกหรือ?” วิชัยย้อนถาม

“ฮี่ เขาว่าแกจะเป็นคนมัดนะ”

วิชัยหัวเราะในคอ “กันยังไม่ได้รับปากสักที” เขาค้าน

“เขาจะยอมให้มัดหรือ” หลวงศักดิ์ ฯ กล่าว “ออกเปรียวปรานนั้น”

“ข้อนี้ไม่มีใครบอกถูก ได้แต่คอยดู”

“เรื่องมันจะยุ่งละแกเอ๊ย !....อ้อ ! นี่แน่อั๊วจะบอกอะไรให้ อั๊วได้ความจากนักเลงไพ่ ว่ายายมะยมแกชอบแม่ยายอั๊ว เพราะทิ้งไพ่ให้แกกินเสมอ แกจึงจะได้ยกลูกสาวให้เป็นเมียตาชัดคนหนึ่ง”

ทั้งที่อารมณ์กำลังขุ่น วิชัยก็อดหัวเราะไม่ได้ หลวงศักดิ์ ฯ พูดต่อไป

“แต่อั๊วยังสงสัย แกจะยกให้โดยไม่เรียกร้องอะไรเลยเทียวหรือ หรือเรียกอย่างถูกที่สุด?”

แหวนหมั้นวงหนึ่ง เงินสด ๖,๐๐๐ บาท แล้วยังมีโฉนดกองทุนต่างหาก

“โอ๊ย !” หลวงศักดิ์ ฯ อุทานพลางหัวเราะก๊ากใหญ่ “อย่างฐานกรุณาซีนะ แล้วเราว่ายังไง?”

“เราก็หาให้เขาน่ะซี”

หลวงศักดิ์ ฯ นิ่งคิดด้วยสงสัยอันฐานะความมีความจนของนางศรีวิชัย ฯ ในปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่ในระดับใด หลวงศักดิ์ ฯ ก็รู้อยู่ เงินสดน่าจะมีได้ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท นาทุกแปลงได้แบ่งปันโอนเป็นชื่อของลูกหมดแล้ว เว้นแต่แปลงสุดท้ายซึ่งเป็นที่เข้าใจกันระหว่างพี่น้องว่าจะเป็นมรดกตกแก่วิชัย ที่บ้านรวมทั้งโรงเรือนเล่าวิชัยก็ได้ไว้แล้วซึ่งสิทธิ์โดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย นับตั้งแต่เมื่อเขาได้ออกเงินเป็นจำนวนไม่น้อย ถ่ายนาทั้งหมดของบิดามารดาไว้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางศรีวิชัย ฯ จะพลิกแพลงหาเงิน ๖,๐๐๐ บาทได้อย่างไร อยากรู้ในข้อนี้ แต่จะออกปากถามก็เกรงใจเพื่อนจะหาสอดรู้เกินสมควร หลวงศักดิ์ ฯ ก็ยังอึดอัดอยู่

ในทันใดนั้น วิชัยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างเบา และดูพูดไม่ค่อยเต็มปากว่า

“แกมีเงิน ๑,๕๐๐ บาท ไหมล่ะ มีคนเขาจะจำนำที่นา ราคาที่เขาเรียกต่ำกว่าราคาจริง ๒-๓ เท่าตัว”

“นาของแม่ยายอั๊วล่ะซี”

“ไม่ใช่ นาของช้อย”

“เอ๊ะ ก็นาของแม่ช้อยขายแล้วจนแกซื้อกลับมาแล้วยังไงล่ะ”

“ซื้อแล้ว เดี๋ยวนี้จะต้องจำนำอีกแล้ว”

“ยังงั้นมันก็เป็นนาของแกน่ะซี”

“ของใครก็ช่างเถอะ เขาจะจำนำก็แล้วกัน แกจะรับไหมล่ะ?”

หลวงศักดิ์ ฯ เกาศีรษะอย่างแรง “บอกมาก่อนใครเป็นคนต้องการเงิน” เขาถามเกือบเป็นเสียงกรรโชก

“กันเองแหละ” วิชัยตอบเสียงดังเกือบเท่าเพื่อน

“ต้องการไปทำไม อั๊วรู้ว่าแกมีเงินสดในแบงก์ตั้งครึ่งหมื่น ทำไมถึงต้องจำนำนา?”

ถึงแม้หลวงศักดิ์รณชิต จะมีสัมพันธ์ต่อเนื่องกับพระอรรถคดี ฯ ถึง ๒ ชั้น คือเป็นทั้งน้องเขยและเป็นทั้งเพื่อนสนิท ถึงกระนั้นก็ตีกระทู้ถามที่เขาตั้งมาในสำเนียงนี้ดูอาจจะเป็นการอุกอาจอยู่บ้าง แต่อะไรเป็นเหตุให้เขาบังอาจวิชัยดูเหมือนจะเข้าใจอยู่ราง ๆ เบื่อหน่ายที่จะต้องใช้คำตอบหลีกเลี่ยงไม่รู้จบ และไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องอำพราง วิชัยจึงเล่าเรื่องจริงทุกประการ

“ถุย !” หลวงศักดิ์ ฯ เอ่ยขึ้นทันทีที่เข้าใจเรื่องแล้ว “เสียดายจริงแกไม่มีน้องชายอีกสัก ๒ คน จะได้ถลกหนังของตัวไปให้เขาหมั้นเมีย”

“โธ่ ศักดิ์” วิชัยพูดเสียงอ่อย ถอนใจ “กันไม่รู้จะ....ไม่รู้จะทำยังไง มันเป็นหน้าที่ของกันนะ”

เพื่อนของเขาหัวเราะดุ ๆ ครั้นแล้วก็ลุกผลุนผลันหายเข้าไปในห้องนอน

วิชัยออกงง เดาไม่ได้ว่าเพื่อนของตัวลุกไปเพื่ออะไร นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลุกเดินวนไปวนมาอยู่บนพื้นกระดานอันสั้นและแคบนั้น

ประมาณสักครู่ใหญ่หลวงศักดิ์ ฯ จึงออกมาจากห้อง ยื่นกระดาษฟอร์มชนิดหนึ่งให้แก่เพื่อน

วิชัยรับมาดู เห็นเป็นเช็คมีค่าเท่ากับเงิน ๑,๕๐๐ บาท สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ความรู้สึกขอบใจเพื่อนปรากฏอยู่ในแววตา แต่น้ำเสียงเป็นเชิงเล่นเขาพูดว่า

“เงิน ๑,๕๐๐ นี่หาง่ายจริงนะ แต่เราต้องจัดการให้ถูกแบบถูกแผนสักหน่อย เพราะว่ามีคนอื่นที่ไม่ใช่เรามีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ด้วย พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้เป็นอย่างช้า กันจะเอาโฉนดมา แล้วก็ทำหนังสือหนังหาให้เป็นหลักเป็นฐานด้วย”

หลวงศักดิ์ ฯ หัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ดังเดิม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ