๑๓

เอ๊ะ คุณหลวง ! มารับผมหรือมาตาม? ผมเข้าใจว่าวันนี้ผมไม่ช้านี่นา เพิ่ง ๗ นาฬิกากับ ๑๕ นาทีเท่านั้นเอง”

หลวงหาญผจญศึกตบบ่าหลวงรณชิต ผู้ซึ่งยืนเคียงอยู่กับเขาที่หน้าประตูบ้านพระศรีวิชัยบริรักษ์ แล้วพูดว่า

“ฟังซีเพื่อน ฟังคุณหลวงอรรถ ฯ ท่านว่า ท่านบอกว่าท่านไม่ช้า!”

“เอ! ผมจำได้แน่ว่าคุณหลวงนัดผมไปที่เหลาเวลา ๑๓.๒๐ นาฬิกานี่นา หรือนาฬิกาผมหยุด?” พูดแล้ววิชัยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นแนบกับๆ หู

“แกกำลังจะไปไหน?” หลวงศักดิ์รณชิตถาม

“ก็ไปที่เง็กฮวยเหลาน่ะซิ”

“แกจะไปหาเตี่ยแกหรือ? ไอ้....่า....มนุษย์พรรค์นี้ก็มีอยู่ในโลกด้วย !”

วิชัยมีอาการงงอย่างมืดแปดด้าน ลงจากรถพลางถามว่า

“ผมจำชื่อเหลาผิดไปหรือ แต่ว่าชื่อไม่สำคัญอะไรนี่นา คุณหลวงนัดให้ไปที่เหลาที่เราไปกินเลี้ยงคราวศักดิ์เขาเชิญ ถูกไหมล่ะครับ”

“ถูก !” หลวงหาญ ฯ เน้นเสียงรับ

วิชัยหันกลับมาทางหลวงศักดิ์ ฯ

“แล้วยังไง?” เขาถาม “กันไปหาเตี่ย แกก็ไปหาก๋งซีนะ !”

“หนอยแน่ ! ยังจะมาต่อล้อต่อเถียง ชาตินี้เอาหินผูกคอไปถ่วงเสียละดีละ”

“อุบ๊ะ ! นี่มันยังไงกัน !” วิชัยบ่น *คุณหลวงอธิบายสักหน่อยเถิด”

“หลวงหาญ ฯ เขาเชิญวันอะไร?”

“วันที่ ๑๑ เวลา ๗.๓๐ นาฬิกา”

“แล้ววันนี้วันที่เท่าไหร่?”

“ก็วันที่ ๑๑ น่าซี”

“ไอ้บ้า !”

“ผิดอีก? วันที่ก็ผิด?” วิชัยถามทำเสียงละห้อย

“วันที่ ๑๒” หลวงหาญ ฯ บอก

“อั๊วไม่เข้าใจเลยละว่า ไอ้หมอนี่เป็นผู้พิพากษาอยู่ได้อย่างไรตั้ง ๑๕-๑๖ ปี” หลวงศักดิ์ ฯ ว่า “ไอ้....่า ! มันคงเอาคนใส่คุกเล่นเสียหลาย ๑๐ คนแล้วเพราะจำสำนวนความผิด”

“เมื่อคืนนี้คุณหลวงไปอยู่เสียที่ไหน?” หลวงหาญ ฯ ถาม “พวกเรารออยู่ที่เหลาจน ๒๐ นาฬิกา ไม่เห็นคุณหลวงไป หลวงศักดิ์ ฯ เอารถมาตามถึงที่นี่ คนใช้บอกว่าไม่อยู่ ออกจากบ้านไปตั้งแต่ทุ่มกว่า ๆ”

วิชัยส่ายหน้าพลางพูดอ่อย ๆ

“เสียใจเหลือเกินคุณหลวง ผมจำผิดไป เมื่อคืนผมไปรับประทานอาหารกับคน ๆ หนึ่งที่เขาเชิญไว้เหมือนกัน เมื่อวันที่เขามาเชิญก็ได้คิดแล้วแน่ใจว่าไม่ตรงกัน จึงได้รับปากกับเขา ผมยอมให้ลงโทษตามใจ จะปรับหรือจะจำก็แล้วแต่”

“ปรับ !” หลวงหาญ ฯ ตอบแกมหัวเราะ “๑ โต๊ะ”

“กี่คน?” วิชัยถาม

“มาก ๆ แก เอาให้มาก ให้มันหมดเงินเดือน ๆ หนึ่งทีเดียว มันจะได้เข็ด”

เอาเท่าที่เขาเอากันเมื่อคืนนี้เท่านั้น” หลวงหาญ ฯ บอก

ได้ ! ด้วยความเต็มใจ เมื่อไรล่ะ นัดวันมาเถอะ”

นัดวันมาเถอะ แล้วพอถึงวันพ่อมหาจำเริญก็หายหัวไปเสีย แกจะต้องควักกระเป๋าของแกออกใช้ค่ากับข้าว หลวงหาญ ฯ เอ๋ย !”

ไม่หายน่า ! ถ้าเหลวคราวนี้ผมยอมให้คนที่ได้เชิญทั้งหมดเตะคนละ ๓ ทีจนครบ”

“ดีละ อั๊วจะอาสาเตะเอง เอาให้ลุกไม่ขึ้นไปเดือนหนึ่งเทียว”

วิชัยหัวเราะแล้วว่า

“ไม่ได้สัญญาว่าให้ใส่เกือกเตะนะ ตีนเปล่าเห็นจะพอทน ว่าแต่แกกับคุณหลวงจะไปไหนต่อกันอีกไหม ให้กันพาไปเลี้ยงเสียคืนวันนี้ก่อนเป็นอย่างไร?”

“ผมกินมาเสียแล้ว” หลวงหาญ ฯ บอก

“อั๊วก็เหมือนกัน”

“แล้วกัน ! เสียดายจริง ยังงั้นก็เข้าไปคุยกันในบ้านก่อน ไม่มีธุระอะไรไม่ใช่หรือ?”

“ธุระน่ะไม่มีหรอก---” หลวงศักดิ์ ฯ ตอบ “....แต่ว่า--แม่ยายอั๊วอยู่ไหม?”

“ไม่อยู่ ไปตั้งแต่บ่าย กว่าจะกลับเห็นจะดึกหรือบางทีอาจจะกลับพรุ่งนี้ก็ได้”

“ไปจั่วแล้วละซีท่า? บ้านยายมะยม?--ยังงั้นเราเข้าไปคุยกับเขาในบ้านเถอะ หรือแกว่ายังไง?”

“หลวงหาญ ฯ ไม่คัดค้าน วิชัยจึงเปิดประตูให้นายทหารทั้ง ๒ เข้ามาในบ้าน

เมื่อได้เชิญให้ผู้เป็นแขกนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านก็กล่าวคำขออภัย แล้วก็เดินเข้าไปทางในเรือน สักครู่หนึ่งจึงกลับมาพร้อมด้วยขวดวิสกี้ ๑ ขวด โชดา ๑ ขวดและถ้วยแก้ว ๓ ใบ วางวัตถุที่กล่าวลงบนโต๊ะพลางว่า

“ขอเชิญท่านทั้ง ๒ ดื่มไปพลางพูดไปพลาง และดูปากข้าพเจ้าไปพลาง เพราะกระเพาะอาหารของข้าพเจ้าว่างมาหลายชั่วโมงแล้ว”

ในระหว่างที่วิชัย บรรเทาความหิวของตนเองด้วยกับข้าวกับไข่พะโล้และกุนเชียง เขามิได้สำนึกว่า ที่ในบ้านอีกบ้านหนึ่งมีอาหารอันประณีตจัดไว้พร้อมเพื่อคอยท่าเขา และเจ้าของบ้านนั้นกำลังครุ่นคิดถึงเขาด้วยความสนุกแกมสงสัย สนุกเพราะใคร่เห็นว่าเขาจะวางสีหน้าเป็นอย่างไร ในเมื่อจะได้ก้าวเท้าเข้าไปในที่ซึ่งเมื่อ ๒๔ ชั่วโมงที่แล้วมานี้เอง เขาได้แสดงความเผลอเรอไว้อย่างใหญ่ถนัด และสงสัยเพราะเกรงว่าเขาจะไม่มาให้ผู้คอยดูได้ดูเขาสมหมาย

อนงค์กลับจากดูเทนนิสชิงถ้วยก่อน ๑๙ นาฬิกาเล็กน้อย รีบแต่งตัวใหม่โดยด่วน และใช้ความพิถีพิถันแต่พอสมควร ดังนั้นจึงแต่งตัวเสร็จในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แวะเข้าในห้องรับประทานอาหาร ตรวจดูเห็นทุก ๆ สิ่งเหมาะเจาะเรียบร้อยตามที่ได้สั่งไว้แล้ว ก็เข้าในห้องรับแขกเปิดหีบเพลงเล่นเพื่อฆ่าเวลา

คอยอยู่ไม่นานเท่าไหร่ นายร้อยตรีชัดก็มาถึง

“อ้อมาแล้ว !” แม่สาวเจ้าของบ้านทัก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยื่นมือทั้ง ๒ ข้างให้ผู้เป็นแขกพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส ชัดจับมือหล่อนจรดริมฝีปาก

แล้วทั้งสองก็นั่งลงด้วยกันบนเก้าอี้คู่ตัวหนึ่ง

ในเวลาเดียวกันนั้น นายจำลองเดินเข้ามาในห้องมือถือหนังสือพิมพ์แล้วก็ทักชัดว่า

“ฮัลโหลชัด !” หนังสือพิมพ์กางอยู่ต่ำกว่าระดับตาเพียงเล็กน้อย

“ฮัลโหล จำลอง !”

ผู้ทักก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตรงมุมห้อง ไกลที่สุดจากที่ ๆ ผู้เป็นแขกนั่งอยู่

“พี่ใหญ่ของชัดทำไมถึงไม่มาพร้อมกับชัดล่ะคะ?” อนงค์ถาม

“วันนี้ไม่ได้พบกับพี่ใหญ่เลย” ชัดตอบพร้อมกับหัวเราะ “ชัดตื่นขึ้นพี่ใหญ่ออกจากบ้านไปแล้ว แล้วชัดออกจากบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อยและไม่ได้กลับไปอีก”

“จะมาหรือ” อนงค์ปรารภเบา ๆ แต่ไม่เบาจนถึงกับชัดไม่ได้ยิน เขาจึงตอบว่า

“มาซี สมพงศ์บอกชัดว่าพี่ใหญ่รับเชิญแล้ว”

“สมพงศ์ทำไม?” เจ้าของชื่อผู้ซึ่งเข้าประตูมาพอดีถามขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้หนุ่มสาวทั้งสอง

“พี่ใหญ่รับกับคุณว่าจะมาไม่ใช่หรือ?”

“พี่ใหญ่รึ?” สมพงศ์ทวนคำถามแล้วหัวเราะอย่างขบขันที่สุด “คุณยังไม่ได้พบกับเขาเลยหรือตั้งแต่เมื่อคืนนี้?”

ชัดเกือบจะตอบตามความจริงว่า “ได้พบกันครั้งสุดท้ายเมื่อตอนบ่ายวันศุกร์” แล้วกลับได้คิดว่าไม่จำเป็น จึงตอบแต่เพียงสั้น ๆ ว่า “ยังไม่ได้พบ” สมพงศ์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วพูดกับน้อง

“ถ้ายังงั้นละก็ไม่มาแน่”

สีหน้าของอนงค์แสดงความไม่พอใจด้วยความผิดหวัง ครั้นแล้วก็ตอบอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้ละ พี่สมพงศ์ต้องไปตามตัวมาให้ได้ คืนนี้เป็นคืนของสองคนพี่น้องนี่คะ ขาดไปเสียหนึ่งก็ไม่ดีซี อนงค์จะหมด...ไม่รู้ละ อนงค์อยากให้มา”

สมพงศ์เม้มริมฝีปาก แล้วเลิกคิ้ว แล้วนิ่งคิด แล้วยิ้ม แล้วหัวเราะ ในที่สุดก็ลุกออกไปจากห้องและอนงค์ได้ยินเสียงเขาสั่งคนใช้ให้ไปหยิบเสื้อนอก ในระหว่างนั้นชัดกำลังถามอนงค์ถึงความหมายแห่งใจความที่หล่อนกับสมพงศ์พูดกัน

“พี่ใหญ่ของชัดน่ะ แสนจะแปลกละ” อนงค์อธิบาย ดวงตาเป็นประกายด้วยความสนุกและขบขัน “แกรับเชิญค่ำวันนี้ แต่แกมาเสียตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”

“โอ๋ นั่นเขานึกยังไงขึ้นมานะ?”

“ไม่นึกกระไรหมด พอโผล่มาถึงก็ขอโทษออกตัวว่ามาช้าไป เพราะพี่สมพงศ์ไม่ได้กำหนดเวลาให้ แล้วก็นั่งโต๊ะกับเราอย่างหน้าตาเฉย”

“บ๊า ! พี่ใหญ่นี่เปิ่นจัง แล้วไม่สังเกตเห็นเสียด้วยซีว่าเจ้าของบ้านเขาไม่ได้เตรียมตัวไว้รับรองเลย”

“ไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นด้วย เพราะเมื่อคืนนี้เราก็เชิญแขกมาหลายคน พี่ใหญ่ของชัดก็คงนึกว่าตัวแกเป็นแขกคนหหนึ่งเท่านั้น”

“บ๊า ! ยิ่ง ๕ แต้มใหญ่ แขกเหล่านั้นเขาจะนึกยังไง”

“ไม่มีใครนึกว่ากระไรอีกแหละค่ะ เพราะต่างคนต่างไม่รู้ตัวว่าจะพบกับใครบ้าง”

“แล้วสมพี่ใหญ่ไม่รู้จักใครเลย !”

“ผิดอีก มีคนที่รู้จักและชมเชยพี่ใหญ่มาก ๆ อยู่ที่นี่คนหนึ่งคือคุณอุดม”

“อุดม พัฒนศักดิ์ ใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ คุณอุดมเป็นเพื่อนที่พี่จำลองรักมากคนหนึ่ง”

ชัดพยักหน้า แล้วปรารภกึ่งถาม

“รู้จักกับพี่ใหญ่ได้อย่างไร ดูเหมือนอุดมกลับจากนอกเมื่อเร็ว ๆ นี่เอง”

“เร็วที่ไหน เขากลับก่อนชัดเป็นนาน รู้จักกับพี่ใหญ่ของชัดมาตั้ง ๒ หรือ ๓ ปีแล้ว”

ฝ่ายสมพงศ์เมื่อมาถึงบ้านหลวงอรรถคดี ฯ แล้ว พอก้าวขึ้นบันไดเห็นเจ้าของบ้านก็ร้องว่า

“คุณหลวงนัดกับผมแล้วไม่ยักไปตามนัด !” พูดแล้วสมพงศ์ก้มศีรษะให้นายทหารทั้งสองนาย

วิชัยเกือบสำลักข้าวที่กำลังกลืน ทำตาโตมองดูผู้พูด งงจัดจนมิรู้ที่จะตอบว่ากระไร

หลวงศักดิ์ ฯ กับหลวงหาญ ฯ พากันหัวเราะ หลวงหาญ ฯ พูดว่า

“มาอีกรายหนึ่งแล้ว !”

วิชัยทิ้งช้อนส้อมลง ทำท่าสิ้นอาลัยแล้วว่า

“นี่ผมเป็นบ้าหรือใครเป็นบ้ากันแน่”

“ไม่มีใครบ้า” สมพงศ์ตอบ “เป็นแต่คุณหลวงรับกับผมไว้ว่าจะไปรับประทานข้าวกับผมค่ำวันนี้ แล้วไม่ไปเท่านั้น”

“ก็ผมไปมาแล้วเมื่อคืนนี้นี่นา ผมรับชวนไว้ถึงสองคืนเทียวหรือ?”

“คืนเดียวเท่านั้น” สมพงศ์ตอบ สนุกในการที่จะยั่ววิชัยให้มึนอยูในความมืดแปดด้านเป็นอันมาก “เมื่อคืนนี้เป็นคืนพิเศษ แต่ที่ผมเชิญคุณหลวงไว้น่ะคืนวันนี้ อาทิตย์ที่ ๑๒”

วิชัยลุกขึ้นจากที่ เดินหมุนอยู่ ๒-๓ ก้าว แล้วหันกลับมาที่สมพงศ์ “เชิญนั่งซีครับ” เขาบอกยกมือขึ้นลูบผม “คืนนี้เห็นจะต้องดื่มวิสกี้สักขวด แก้งง”

“นี่ผมมารับคุณหลวงนะครับ ชัดไปถึงบ้านผมนานแล้ว”

“อ้าว ! ยังงั้นก็ตาชัดบ้าน่ะซีบ้า ไม่ใช่ผมละ”

“ในโลกนี้ไม่มีใครเขาบ้าเหมือนแกหรอก” หลวงศักดิ์ ฯ กล่าว “มีแกคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายนิดเดียว แกรับเชิญคุณสมพงศ์ไว้วันนี้ แกผ่าไปตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนหลวงหาญ ฯ เขาเชิญเมื่อวานแกจะดันไปวันนี้”

วิชัยถอนใจอย่างยืดยาว ก้าวเท้ามายืนตัวตรงอยู่หน้าสมพงศ์ มือกอดอก ถามว่า

“ปรับหรือจำ?”

สมพงศ์ไม่เข้าใจในทันที หลวงหาญ ฯ จึงอธิบาย

“เพราะว่าเขาผิดนัด เขาจึงยอมให้คุณปรับโทษ”

“ผมตัดสินคนเดียวไม่ได้ ต้องเชิญคุณหลวงไปที่บ้าน อนงค์กำลังคอยอยู่”

วิชัยทำหน้าจืด

“ผมจะเอาหน้าของผมไปให้น้องคุณเห็นได้อย่างไร ในเมื่อผมได้สำแดงเปิ่นให้เธอเห็นไว้สด ๆ ร้อน ๆ”

“เห็นหน้าคุณหลวงแล้ว อนงค์จะไม่นึกถึงความเปิ่นเลย เพราะคุณหลวงเป็นคนที่สนุกที่สุด ! ใส่เสื้อเข้าเถิดครับ เร็ว ๆ เข้า”

วิชัยเดินไปยังเก้าอี้ที่แขวนเสื้อไว้ แต่ยังไม่หยิบขึ้นสวม พูดเสียงท้อแท้ว่า

“ผมกินข้าวหมดไปแล้วตั้งครึ่งชาม”

“ไม่เป็นไร ไปกินที่บ้านผมอีกครึ่งหนึ่ง แต่อย่างไร ๆ ผม ผมต้องได้ตัวคุณหลวงไป มิฉะนั้นอนงค์จะเสียใจมาก เสียแรงแกลงทุนทิ้งความสนุกกับเพื่อนฝูงหลายคนสำหรับจะคอยรับรองคุณหลวง”

วิชัยไม่เข้าใจในคำที่สมพงศ์กล่าว เรื่องลงทุนทิ้งความสนุกกับเพื่อนหลายคนนั้น แต่ไม่ติดใจจะซักถาม ค่อยยกเสื้อขึ้นสวมช้า ๆ และใส่ดุมทีละเม็ด พอถึงดุมสุดท้ายก็พอดีเห็นคน ๆ หนึ่งมายืนเยี่ยม ๆ มอง ๆ อยู่ที่บันได

“ใครนั้นน่ะ?” เจ้าของบ้านถาม “เอ๊ะ เจ้าสุ่นมาทำไม”

สีหน้าวิชัยเต็มไปด้วยความวิตกอยู่แล้ว สาวเท้าไปรับกระดาษชิ้นเล็กจากมือนายสุ่น คลี่ออกอ่านได้ความว่า

“หมอกะคุณสมานไม่ถึง ๔ ทุ่มคืนนี้ คนเจ็บเรียกหาพี่ใหญ่มาเร็ว

ช้อย”

“แกมารถอะไร?” วิชัยถามนายสุ่น

“ผมมารถจักรยานครับ”

“แกไปเถอะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

กลับมาหาอาคันตุกะผู้กำลังมองดูเข้าด้วยความสนเท่ห์ วิชัยพูดด้วยน้ำเสียงมีกังวานเล็กน้อย

“ผมเสียใจมากที่ไปกับคุณไม่ได้ น้องเขยของผมกำลังจะตาย น้องสาวเขาให้มาตาม โปรดบอกน้องของคุณว่าผมขอโทษสำหรับเมื่อคืนและคืนนี้ด้วย”

ทั้งผู้เป็นแขกและผู้เป็นเจ้าของบ้านไปขึ้นรถพร้อมกัน แล้วก็แยกทางกันไป

แต่พอได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้าบ้าน แล้วเห็นสมพงศ์เข้าประตูห้องมาแค่คนเดียว อนงค์ก็หน้านิ่วขึ้นทันทีว่า

“ไม่ได้ตัวหรือคะ? ตามไม่พบ?”

“พบ” พี่ชายตอบ “เตรียมตัวจะมากับพี่แล้ว พอดีน้องคนหนึ่งแกให้เด็กมาตาม ได้ความว่าน้องเขยกำลังจะตาย”

อนงค์เบือนหน้าไปทางชัดทันที เตรียมพร้อมที่จะกล่าวคำแสดงความวิตกและเสียใจ แต่นายทหารหนุ่มพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงปราศจากความตื่นเต้น

“สามีพี่ช้อย แกควรจะตายเสียนานแล้ว หากว่ามีหมอดี ชะลอไว้ได้เป็นนาน”

ก่อนที่อนงค์จะได้ถามเรื่องราวต่อไป ประสิทธิ์ก็โผล่เข้ามา ยังมิทันที่ตัวจะพ้นขอบประตู เขาพูดว่า

“คุณหลวง ฮี่ฮี่ คอยเสียเป็น ฮี่ฮี่....”

ไม่ทันที่จะได้ต่อให้จบประโยค สมพงศ์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“คุณหลวงที่ไหน ! พอโผล่เข้ามาก็ฮี่ส่งไปยังงั้น” หันมาทางอนงค์และชัด “ไปคุยกันที่โต๊ะกินข้าวเถอะ พี่หิวจัง”

อนงค์แสดงความเห็นด้วย พลางเหลียวหาพี่ชายอีกคนหนึ่ง ครั้นไม่เห็น หล่อนก็ว่า

“พี่จำลองหายไปไหนเสียแล้ว พี่ประสิทธิ์ช่วยไปตามทีซีคะ”

ในเวลาต้นแห่งการบริโภค เป็นธรรมดาที่การสนทนาจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโรคและอาการคนเจ็บหนัก ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นฝ่ายถามและชัดเป็นฝ่ายตอบ พูดกันอยู่ใช่ว่าเพียง ๒-๓ ประโยค ทั้ง ๒ ฝ่ายผลัดกันตอบผลัดกันถามอยู่นาน ถึงกระนั้น แต่พอสิ้นเรื่องประสิทธิ์ก็เอ่ยขึ้นว่า

“คุณหลวงอรรถ ฯ ทำไม ฮี่ ฮี่ ฮี่ ทำไมไม่ ฮี่ ฮี่ มา?”

จำลองถอนใจดังฮืด? ชัดกลั้นยิ้ม สมพงศ์มองดูน้องชายคนสุดท้องอย่างสมเพช อนงค์หัวเราะและร้องว่า

“โธ่ ! พี่ประสิทธิ์ เขาพูดกันออกลั่นโต๊ะ คุณหลวงอรรถ ฯ มาไม่ได้ ต้องไปเยี่ยมน้องเขย เขาเจ็บหนักมาก ไม่ได้ยินหรอกหรือคะ?”

“ฮี่ ฮี่ อ้อ! ฮี่ ฮี่ พี่ไม่ทันฮี่....ฟัง”

“ไม่ฟังดอกหรือ” สมพงศ์ว่า “นึกว่าไม่ทัน ฮี่ แกฮี่จนฉันเกือบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”

อนงค์หัวเราะอีกและว่า

“มัวแต่นั่งเข้าฌานอยู่ได้”

“ไม่....ไม่....เปล่า....ฮี่....ฮี่....พี่เห็นชัด....ฮี่ ๆ ๆ ๆ”

“ชัด.........อะไรอีกล่ะคะ พูดให้จบซีคะ ไม่ยังงั้นก็ยิ่งเคยทีหลังยิ่งติดใหญ่”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ๆ ๆ ๆ ไม่ ๆ ๆ ฮี่ ฮี่ พ....”

“เออ ! ไม่ฮี่เสียได้ละเป็นการดี” สมพงศ์ตัดบท

เมื่อเสร็จการบริโภคแล้ว จึงย้ายจากห้องรับประทานอาหารไปนั่งที่เฉลียงข้างตึก จำลองเข้ารวมหมู่กับคนอื่น ๆ พอควรแก่จรรยาแห่งเจ้าของบ้านแล้ว ก็กล่าวคำขอโทษชัด และแต่งตัวออกจากบ้านไป สมพงศ์นั่งอยู่นานกว่านั้นเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็เลี่ยงหายไปอีกคนหนึ่ง คงเหลือแต่ประสิทธิ์นั่งคอพับอยู่กับเก้าอึ้

เมื่อเหลืออยู่ด้วยกันเพียง ๓ คนทั้งคนที่หลับ ชัดก็เอนตัวพิงเก้าอี้ในท่าสบาย สายตาจับอยู่ที่วงหน้าแห่งเจ้าของบ้านสาว นิ่งเงียบกันอยู่นาน ภายหลังชัดจึงพูดขึ้น

“การแข่งขันเทนนิสวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง สหายของอนงค์ได้ถ้วยหรือเปล่า?”

“ได้ค่ะ แหม ตอนต้นอนงค์ชักใจไม่ดี คิดว่าจะเหลวเสียแล้ว เวลาแรกสงัดเล่นเชื่องมาก ตรงกันข้ามกับคุณเอนก แต่ตอนหลังสงัดคล่องขึ้น เอนกเชื่องลง เห็นจะเป็นที่เสียกำลังไปในตอนต้นหมด เลยแพ้สงัด”

“เห็นจะถูก” ชัดตอบอย่างตรึกตรอง “เอนกเป็นคนมักตื่นเต้นไม่ว่าจะทำอะไร เพราะเช่นนั้นถึงที่สำคัญเข้าแล้วจึงสู้คนอื่นเขาไม่ได้”

“ชัดไปทำอะไรอยู่เสียที่ไหนถึงไม่ไปดู อนงค์สนุกมาก ใจคอวับ ๆ หวำ ๆ”

“เพราะมีใครคนหนึ่งที่อนงค์ตั้งใจช่วยเป็นอย่างมากอยู่ในคู่แข่งขันจึงสนุก ส่วนชัดไม่มีความเอาใจใส่กับใครเป็นพิเศษ อ้อได้ยินว่าสงัดของอนงค์จะเลี้ยงเพื่อฉลองถ้วยไม่ใช่หรือ ทำไมอนงค์จึงไม่อยู่ในเขาเหล่านั้น?”

“เพราะอนงค์จะต้องกลับมารับรองชัด”

“ขอบใจมาก สงัดของอนงค์มิสิ้นสนุกหรือ?”

หล่อนไม่ตอบ กลับย้อนถามว่า

“ทำไมถึงใช้คำว่าสงัดของอนงค์?”

ชัดทำทีเหมือนเพิ่งสำนึกในคำพูดของตน แล้วตอบแกมหัวเราะ

“เพราะจะช่วยให้คำที่สงัดเคยพูดว่าอนงค์ของเขาฟังเพราะขึ้น”

หล่อนทำปากยื่นแต่พอน่าเอ็นดู และว่า

“อนงค์ยังไม่ได้เป็นของใคร และจะยังไม่เป็นอีกนานด้วย”

“แต่ในเวลานี้มีคนกล้าพอที่จะเรียก “อนงค์ของฉัน” ไม่ขาดปาก และไม่มีใครสนองความหกล้านั้นโดยประการหนึ่งประการใดเลย”

หล่อนขยับไหล่อย่างเบื่อแล้วว่า

“อนงค์ขี้เกียจยุ่ง แล้วก็ไม่เคยได้ยินกับหูด้วย”

“ดีละ ต่อไปนี้ชัดจะเรียกอนงค์ของชัดให้ทุกคำ”

มองดูดวงตาสีน้ำตาลแก่ที่มองหล่อนอยู่ด้วยแววยิ้ม เป็นดวงตาที่น่าดู พลางอนงค์พูดอย่างงอน

“ตามใจซี แต่ชัดไม่ควรเรียกเช่นนั้นต่อหน้าสงัด”

“เพราะเหตุใด?” ชัดถาม ขยับหลังออกห่างเก้าอี้ ตั้งตัวตรง

“เพราะว่าอนงค์คนเดียว จะเป็นทั้งของชัดทั้งของสงัดพร้อมกันไม่ได้”

นายทหารหนุ่มถอนใจอย่างโล่งอก “คำพูดประโยคก่อนทำให้ชัดรู้สึกพิกลทีเดียว” เขาบอก นิ่งอยู่ชั่วขณะ แล้วพูดต่อพลางก้มตัวลงมาข้างหน้าเล็กน้อย “ทำไมหนอ อนงค์จึงไม่ยอมเป็นอนงค์ของใครเสียสักที?”

“ชัดอยากให้อนงค์เป็นเช่นนั้นหรือ?”

เขาจับมือหล่อนมากำไว้โดยเร็ว และพูดเสียงใกล้กระซิบ “อยากให้อนงค์เป็นของชัด พูดพลางเขาจ้องดูหน้าหล่อน และบีบมืออันอ่อนละมุนเบา ๆ แต่หนักหน่วงเป็นเชิงวิงวอน

“ยังก่อนค่ะ” อนงค์ตอบ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าปราศจากอาการตื่นเต้น “อย่าเพ่อก่อน ยังไม่ถึงเวลา”

เมื่อไหร่เวลาจะมาถึง?” ชัดถาม ทั้งสีหน้าและแววตา ทั้งน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “อนงค์ไม่สงสารชัดหรอกหรือ อย่างน้อยขอให้พูดให้ชัดมีความหวังมากว่านี้สักหน่อย”

“ชัดมีสิทธิ์ที่จะหวังอยู่ตราบเท่าที่อนงค์ยังไม่แต่งงาน”

เขาก้มศีรษะลงจูบมือหล่อนนิ่งอยู่นาน แล้วจึงพูดว่า

“อนงค์ตอบกว้างนัก และไม่ให้เหตุผลด้วยว่า เหตุใดจึงไม่สงสารชัดบ้าง หรือชัดไม่ดีพอ”

หญิงสาวดึงมือจากเขาโดยละม่อม พลางตอบว่า

“อนงค์จะให้เหตุผลตามตรง แต่ชัดต้องสัญญาว่าจะไม่ใจน้อย แต่แล้วอนงค์มิได้คอยฟังคำสัญญา หล่อนพูดสืบไป “ชัดยัง- -ยังอายุน้อยนัก แก่กว่าอนงค์ปีเดียวเท่านั้น”

ชัดมองดูหล่อนอย่างฉงน อนงค์จึงว่า

“ไม่เข้าใจหรือคะ อนงค์จะอธิบายต่อเดี๋ยวนี้ อนงค์เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ใคร ๆ เขาว่ากันทั้งนั้น เช่นคุณอาของอนงค์เป็นต้น อนงค์ยอมรับว่าจริงในเรื่องการแต่งตัว การสมาคมและการอะไร ๆ อีกหลายอย่าง แต่ในการแต่งงานอนงค์มีความคิดเป็นผู้หญิงสมัยเก่า ถ้าได้แต่งงานแล้วอยากจะอยู่กับสามีด้วยความรักความปรานีประนอมจนตลอดชีวิต อนงค์กลัวการที่จะต้องหย่ากับสามี กลัวการระหองระแหงกับสามีด้วย เพราะฉะนั้นถึงอนงค์จะมีเพื่อนฝูงผู้ชายจนนับไม่ถ้วน อนงค์ก็ยังไม่รักใคร เพราะยังไม่เชื่อใจใครสักคนเดียว”

“หมายความว่า ชัดจะต้องรอจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวให้เห็นว่าดีพอกับอนงค์เสียก่อน” ชัดพูดอย่างเด็กดีแต่เสียงละห้อย “แต่ข้อนั้นเกี่ยวกับอายุด้วยหรือ?”

หล่อนยิ้มน้อย ๆ และค้าน

“ไม่ใช่เช่นนั้น อนงค์ไม่ถือว่าความดีของตัวเป็นระดับสำหรับวัดความดีของคนอื่น คำว่าดีเป็นคำกว้าง และจะหาระดับสำหรับวัดก็ยาก สำหรับชัด อนงค์หมายความแต่เพียงว่า เวลานี้ชัดอายุยังน้อยต่อไป อาจจะเปลี่ยนใจได้ เพราะฉะนั้นเราควรจะรอไปอีก จนกว่าเราจะแน่ใจว่าเรารักกันจริงแน่แล้ว ชัดไม่มีใจนึกถึงผู้หญิงคนอื่นนอกจากอนงค์ อนงค์ไม่นึกถึงผู้ชายคนอื่นนอกจากชัด ถึงเวลานั้นเราจึงค่อยตกลงกันใหม่”

ชัดแหงนศีรษะพาดกับพนักเก้าอี้ในท่าอ่อนใจ พลางพูดช้า ๆ

“ถ้าชัดมีแก่ใจไปนึกถึงผู้หญิงอื่น นอกจากอนงค์ได้ก็เห็นจะเลวเต็มที”

หล่อนไม่ตอบ ยิ้มและนิ่งอยู่ในท่าตรึกตรอง

เวลาล่วงไปเกือบ ๕ นาที อนงค์เห็นชัดยังนิ่งเงียบอยู่ หล่อนจึงหยิบบุหรี่ส่งให้เขาพลางว่า

“สูบบุหรี่ซิคะชัด”

ชายหนุ่มกล่าวขอบใจ รับบุหรี่มาจุดสูบ พอเขาวางไม้ขีดไฟลงบนโต๊ะ อนงค์ก็หัวเราะแล้วถามขึ้นว่า

“คุณหลวงอรรถคดี ฯ เห็นจะเป็นคนสติลอยเป็นอย่างมาก”

“ไม่ลอยจะ ๕ แต้มอย่างเมื่อคืนนี้รึ?”

“ข้อนั้นอาจเป็นเพราะแกจำกำหนดผิด หรือนับวันผิดก็ได้ ซึ่งใคร ๆ ก็อาจผิดได้บางครั้งบางคราว ที่อนงค์ว่าแกสติลอยนั้นเพราะแกมีอาการอีกอย่างหนึ่งคือว่า แกจะใช้ไม้ขีดไฟของใครจุดบุหรี่ก็ตาม จุดแล้วเป็นใส่กระเป๋าของแก ไม่คืนเจ้าของ เมื่อคืนอนงค์นับได้ถึง ๕ กลัก 5 เป็นไม้ขีดสำหรับแขก ๒ กลัก ของพี่สมพงศ์กลักหนึ่ง ของคุณอุดมอีกกลักหนึ่ง”

“เรื่องของเขาต้องมีอะไรแปลก ๆ ยังงั้นเสมอ” เว้นระยะแล้วจึงพูดต่อ “เห็นจะเป็นเพราะโรคเส้นประสาท เป็นตั้งแต่รุ่นหนุ่มแล้วก็หาย แล้วนานๆ ก็กำเริบขึ้นเสียที หัวใจอ่อน มีโรคมาก”

“ยังงั้นหรือคะ?” เป็นคำถามอย่างทึ่งไม่น้อย “อนงค์นึกว่าจะเป็นคนร่างกายสมบูรณ์เหลือเกินเสียอีก เพราะท่าทางดูแข็งแรงและหน้าตาก็ผ่องใส ดูหน้าตาอ๊อนอ่อนเหมือนคนอายุไม่ถึง ๓๐”

ต่อจากนี้ไป อนงค์ก็ได้เรียนรู้ประวัติส่วนตัวหลวงอรรถคดี ฯ จากปากคำของชัดหลายประการ ซึ่งเมื่อสรุปความแล้ว แม้อนงค์จะยังตัดสินความชั่วดีแห่งอัธยาศัยของวิชัยไม่ได้ถนัด เพราะผู้เล่าได้เล่าแต่การกระทำ หาได้จำแนกแยกแยะเหตุที่ก่อให้เกิดการกระทำ และผลที่ได้รับจากการกระทำให้แจ่มแจ้งไม่ ถึงกระนั้นอนงค์ยังพอใจในเรื่องราวที่ได้ฟังแล้วด้วยอย่างน้อยที่สุดก็เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้อนงค์เรียนรู้อุปนิสัยอันแท้จริงของพี่ชายนายชัดได้ในวันข้างหน้า

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ