๓๑

คืนนั้นเมื่อ ๑ นาฬิกาแห่งวันใหม่พ้นไปแล้ว

ช้อยผู้ซึ่งได้หลับไปแล้ว ๓ ชั่วโมงกว่า กลับตื่นขึ้น ตาสว่างและความคิดก็แจ่มใสจนบังคับตัวให้หลับอีกไม่ได้โดยเร็ว จึงนอนพลิกกลับไปกลับมาอยู่ในมุ้ง

ปล่อยอารมณ์ให้เลื่อนลอยอยู่ในความเงียบ เลื่อนลอยอยู่เฉยไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งหนึ่งสิ่งใด มิช้าช้อยก็ได้ยินเสียงหายใจเป็นระยะเสมอมาจากห้องที่ติดกับห้องของหล่อน แสดงให้รู้ว่านายร้อยตรีชัดกำลังหลับสบาย แต่ในห้องถัดจากห้องชัดไปอีก มีแสงไฟฟ้าจับเพดานสว่างจ้า เสียงฝีเท้าคนเดินเบาๆ กลับไปกลับมาอยู่ในห้องนี้ สลับกับเสียงกุกกักซึ่งฟังได้ว่าเสียงขาเก้าอี้ครูดพื้นกระดาน

“กี่ทุ่มแล้วพี่ใหญ่ไม่รู้จักหลับจักนอน” ช้อยรำพึง “เป็นอย่างนี้ทุกคืนไม่รู้เอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนมา”

เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก แล้วเสียงกุกกักอีก กำลังนึกว่าพี่ชายกำลังทำงานสิ่งใดจึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยนัก ก็พอดีได้ยินเสียงครืดยาว ! แล้วเสียงดัง ! เหมือนของหนักตกลงบนพื้นห้อง

เสียงชนิดนี้บังเกิดขึ้นท่ามกลางความสงัด ทำให้ช้อยสะดุ้งทั้งตัว เป็นแน่เสียงที่ได้ยินมาจากห้องพระอรรถคดี ฯ แต่ว่าเป็นเสียงสิ่งใดกระทบพื้นห้องฯ นิ่งฟังต่อไปก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเงียบจริงเงียบผิดปกติ มองดูเพดานก็ยังสว่างอยู่อย่างเดิม นึกเอะใจช้อยขมีขมันออกจากห้อง ย่องไปถอดกลอนประตูอย่างระมัดระวัง ออกจากห้องของตัวไปยังห้องพี่ชาย

“พี่ใหญ่คะ พี่ใหญ่” ช้อยเรียกพลางเคาะประตูพลาง

ไม่มีวี่แววอย่างหนึ่งอย่างใดที่แสดงว่ามีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในห้อง ช้อยขนลุก เรียกซ้ำดังขึ้นกว่าเดิม

“พี่ใหญ่ ! พี่ใหญ่ !”

หนหนึ่ง หนสอง หนสาม ไม่ได้ผลแน่แล้ว ช้อยก็รู้สึกเย็นวาบในอก “พี่ใหญ่เป็นอะไรไปเสียแล้ว” หล่อนนึก มองหาแสงสว่างทางช่องข้างฝา เจ้ากรรม ! ฝาด้านนี้เผอิญเรียบสนิท อึกอักมิรู้ที่จะทำอย่างไรต่อไป ความเย็นแผ่สร้านไปทั่วตัว ในที่สุดจึงถอยมาที่ห้องชัด เคาะประตูพลางเรียกชื่อน้องเกือบเต็มเสียง

“เปิดประตูเร็ว” หล่อนบอกทันทีที่ชัดขานรับ และเมื่อได้กระชากบานประตูออกไปพร้อมกับที่ได้ยินเสียงกลอนลั่นดังแก๊ก “ปีนฝาดูพี่ใหญ่ที เป็นอะไรก็ไม่รู้เสียงโครมครามแล้วก็เงียบหายไป เร็ว ๆ เข้า”

ชัดไม่พักทวนถามให้เสียเวลา โหนตัวทีหนึ่งขึ้นไปอยู่บนตู้เสื้อผ้า ทีที่ ๒ หน้าอกล้ำเกินฝาห้องตั้งศอก

ทันใดนั้นเขาก็ร้องว่า

“ตายจริง อะไรกัน !”

“อะไร ?” ช้อยถามเสียงสั่น

“ไปทางโน้นเร็ว ผมจะไปเปิดประตู” ชัดตอบแล้วก็โดดแผล๊วข้ามฝาไป

เมื่อชัดเปิดประตูห้องวิชัยแล้ว ช้อยจึงเห็นเจ้าของห้องนอนตะแคงกลิ้งอยู่ระหว่างขาโต๊ะกับขาเก้าอี้โดยมิต้องนัดแนะกัน ๒ พี่น้องช่วยกันพลิกตัววิชัย เห็นตาของเขาหลับสนิท ริมฝีปากหุบเรียบร้อยเหมือนในยามปกติ ชัดเอียงหูแนบกับอกวิชัย ช้อยจับข้อมือตรวจชีพจร แล้วชัดเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“แอมโมเนียของเรามีไหม ไม่มีเอาโอดิ โคโลญ”

เขาจับแขนพี่ชายโยกขึ้นโยกลง เพื่อผายปอด ในขณะที่ช้อยใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำโอดิโคโลญรออยู่ที่จมูกและลูบไล้ตามหน้า แลดูวิชัยเหมือนคนนอนหลับ แต่เหตุไฉนจึงหลับลึกถึงปานนี้ ชัดหยุดโยกแขนฟังหัวใจเสียทีหนึ่ง แล้วสั่งใหม่

“บรั่นดีเร็ว ในห้องผมมี”

“เอาเธอขึ้นบนเตียงเสียก่อนเถอะ จะได้ค่อยสบายหน่อย”

“เอา” ชัดรับ แล้วช้อนตัวพี่ชายทางเบื้องศีรษะ ช้อยยกทางเท้า พาร่างอันปราศจากสติขึ้นวางบนเตียง ชัดปลดเข็มขัดจากเอวคนเจ็บ แล้วตั้งต้นผายปอดใหม่ ส่วนช้อยวิ่งไปหยิบขวดบรั่นดี

ใช้ช้อนงัดปาก กรอกบรั่นดีเข้าไปได้สัก ๒ ช้อน วิชัยยังไม่กระดุกกระดิก ผู้พยาบาลทั้ง ๒ เฝ้าดูด้วยความร้อนใจ ในที่สุดชัดก็เอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าจะต้องไปหาหมอ เป็นอะไรก็ไม่รู้ เกินความสามารถของเราเสียแล้ว ช่วยกันนึกซี ไปตามใครดี ใครอยู่ใกล้บ้านเราที่สุด”

ช้อยนึกชื่อนายแพทย์ออก ๓ นาย ซึ่งในเวลาตื่นเต้นเช่นนี้ นายไหนจะสำนักในที่ใกล้บ้านกว่าคนอื่นหล่อนบอกไม่ถูก ชัดกำลังถามถึงชื่อถนนและช้อยก็ยังตอบไม่ได้หมด วิชัยก็ลืมตา มิหนำซ้ำไม่ลืมเปล่า ผงกตัวขึ้นทั้งที่นอนหงายอยู่เสียด้วย แต่ทรงตัวไว้ไม่ได้ก็กลับทิ้งศีรษะลงบนหมอนและครางเบา ๆ

ช้อยกับชัดถลันเข้าไปใกล้ ตกใจเมื่อเห็นพี่รู้สึกตัวในอาการเช่นนั้นเกือบเท่าตกใจเมื่อเห็นเขานอนสงบอยู่ ชัดคว้ามือวิชัยมาบีบคลำอย่างสงสัย ช้อยบีบมือตัวเองทั้ง ๒ คนยังไม่นึกจะพูด หรือมิฉะนั้นก็พูดไม่ออก วิชัยถามด้วยเสียงแผ่ว ๆ แต่กังวานแจ่มใส

“อะไรกัน ?”

คราวนี้ชัดหัวเราะก๊าก “ร้ายกาจ !” เขาว่า “ไอ้เรานึกว่าตายเสียแล้ว พอฟื้นขึ้นมาก็ราวกับคนไม่ได้เป็นอะไร รู้สึกอย่างไรบ้างครับ ?”

“ปวดหัว” วิชัยตอบ “เข้าใจว่าเขียนหนังสืออยู่นี่นา แหมเหม็นเหล้าที่ไหน ?”

“ที่ตัวพี่ใหญ่นั้นแหละ” ชัดตอบหัวเราะร่วน “เขียนหนังสือซีลงไปนอนวัดพื้นอยู่ใต้โต๊ะหลับสบายดีหรือ ?”

สีหน้าวิชัยเต็มไปด้วยความสงสัย ช้อยจึงเล่าเรื่องที่เป็นมาแล้วทั้งหมด แล้วหล่อนถามว่า

“ก่อนที่จะหมดสติพี่ใหญ่รู้สึกอย่างไรคะ ?”

เขานิ่งก่อนที่จะตอบ

“ปวดหัวมันริ้ว ๆ ขึ้นมาตามท้ายทอย แล้วรู้สึกว่าท้องโบ๋คลื่นไส้ พี่เข้าใจว่าหิวก็นึกว่าหิว เขียนหนังสือเพลินจนลืมหิว เพราะมันเป็นอย่างนั้นมาทุกคืน เขียน ๆ ไปจนง่วงแล้วคืนอนหลับ คืนวันนี้ทำไมมันทำพิษเอามากนักไม่รู้”

“ก็ไอ้โรคเก่าของพี่ใหญ่นั้นแหละ” ชัดกล่าว “โตแล้วไม่รู้จักระวังตัว หิวก็ควรกิน หรือมิฉะนั้นก็นอน กลับนั่งทำงาน ขืนยังงี้บ่อย ๆ ละตายเร็วละ”

วิชัยเหลือบตามองดูเพดานมุ้ง ถ้อยคำที่ชัดพูดนั้นถ้าให้วิชัยได้ฟังก่อนหน้านี้แม้เพียงคืนเดียว จะรู้สึกดังใครเอาไฟฟ้ามาจี้จุดใจ เพราะมันเป็นคำที่คนผู้เคยแต่ประสงค์ใดก็ได้ ก็แน่ล่ะที่เขาจะนอนหลับได้ดังใจทุกเมื่อ ส่วนวิชัยคืนหนึ่งกี่ครั้งที่เขาเข้ามุ้งแล้วต้องกลับออกนอกมุ้ง ตัวเขาเองก็จวนเจียนจะบอกไม่ถูก และเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะปริปากบอกใคร จำเพาะเมื่อคืนนี้เป็นคืนที่เขาทุรนทุรายน้อยที่สุดแต่สมองยังฟุ้งสร้าน เนื่องจากใช้ความคิดมากเกินไปจึงไม่ยอมสงบ ถึงกระนั้นเมื่อน้องชายกล่าวคำตำหนิ วิชัยก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเพราะความเฉียวฉุน หากนึกเพียงประหลาดใจที่สมองของตนไฉนจึงเป็นอิสระและดื้อดึง จนต้องใช้งานเป็นยาระงับความฟุ้งสร้าน จึงเกิดเหตุกาหลขึ้นดังนี้

ช้อยอาสาไปชงโอวัลตินให้พี่ชาย วิชัยเปลี่ยนเสื้อชั้นในใหม่เพราะเสื้อตัวที่สวมอยู่เหม็นกลิ่นบรั่นดีออกฟุ้ง เสร็จแล้วก็ลงนอนตามเดิม มีความปวดร้าวตั้งแต่ต้นคอตลอดถึงปลายผม แข็งใจพูดเล่นกับชัดเพื่อฆ่าเวลาจนกว่าจะได้อาหาร

พอดื่มโอวัลตินหมดถ้วย วิชัยกล่าวขอบใจน้องทั้ง ๒ แล้วก็ไล่ให้ไปนอน ช้อยยังปัดยุงในมุ้ง ชัดก็ยังรออยู่ จนเสร็จกิจนั้นแล้วกำชับซ้ำว่า “แล้วอย่าลุกขึ้นเขียนหนังสืออีกล่ะ” ซึ่งพระอรรถคดี ฯ พยักหน้าพร้อมกับหัวเราะ ชัดกับช้อยออกจากห้องไป

ชัดหลับได้ทันทีที่ศีรษะถึงหมอน แต่ช้อยยังเงี่ยหูฟังเสียงต่าง ๆ จากห้องวิชัยอีกนาน จนหล่อนสังเกตเห็นว่าภายในห้องนั้นมืดและเงียบสงัดดีแล้ว จึงปล่อยตัวให้หลับไป

รุ่งเช้าอาทิตย์ยังอ่อนแสง ช้อยตื่นพร้อมกับหนูนิดผู้ซึ่งมีปกติไม่ตื่นสายกว่าเด็กเล็ก ๆ ทั้งหลาย พอเปิดหน้าต่างข้างเตียงก็เห็นวิชัยแต่งตัวเรียบร้อยเดินอยู่ในระหว่างต้นไม้แล้ว ประหลาดใจที่เขาไม่รู้จักพักตัวโดยการนอนให้มากชั่วโมงสักหน่อย หล่อนจึงทักลงไปว่า

“อะไรตื่นแล้ว นอนไม่ทันกี่ชั่วโมงเลย”

เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มแทนคำตอบ ช้อยจึงถามอีก

“เช้านี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ ?”

“ก็คล้าย ๆ กับเมื่อคืนแต่ใจไม่หวิว” เป็นคำตอบเรื่อย ๆ

“หาอะไรรับประทานเสียเถอะค่ะ” น้องสาวบอก “ไปสั่งเขาเสียเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ต้องรอรับประทานพร้อมคนอื่นหรอก”

วิชัยเดินห่างออกไป ช้อยคาดว่าเขาจะไปสั่งเอาอาหารที่ครัว แต่ความจริงนั้นเขาเดินเลยออกจากบ้านไปทางประตูเล็ก

วิชัยไม่มีความรู้สึกอยากจะใส่สิ่งหนึ่งสิ่งใดลงท้องจนนิดเดียว ตรงกันข้าม ความรู้สึกในท้องบอกอาการอยากจะคืนสิ่งที่มีอยู่แล้วออกให้หมด แล้วศีรษะของเขาก็มีอาการดังจะแยกแยะออกในบัดนี้ ด้วยความมานะจะต่อสู้พยาธิด้วยกำลังใจ จึงตั้งหน้าสูดอากาศบริสุทธิ์และบังคับความคิดให้คิดถึงสิ่งเพลิดเพลิน แต่เดินต่อไปไม่ได้เท่าไร ความเหนื่อยอ่อนสมทบความปวดศีรษะซึ่งทวีขึ้น ในที่สุดวิชัยต้องย้อนกลับมาทางเก่าพร้อมกับบอกแก่ตนเองว่า

“เราจะต้องล้มเจ็บ จะขืนสู้ไปไม่ไหวแล้ว แปลกจริงเมื่อร้อนใจยิ่งกว่าไฟเผา เรามีกำลังต่อสู้ได้ ครั้นใจดีขึ้นตัวกลับอ่อนลง แต่ก็ดีหรอก จะได้มีน้ำใจอดทน ไม่ออดแอดเป็นที่รำคาญแก่คนอื่น”

กว่าจะถึงประตูบ้าน เขารู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ เมื่อถึงแล้วจึงเลือกที่ใต้ต้นไม้ได้แห่งหนึ่ง ทรุดตัวลงนั่งหายใจรวย ๆ อยู่

สายหน่อยวิชัยแข็งใจบริโภคอาหารได้สักหนึ่งในสี่ของที่เคยบริโภคทุกวัน แต่พอลุกจากโต๊ะพ้นประตูห้อง วิชัยก็เซไปปะทะลูกกรงเรียกได้กระโถนใบหนึ่ง แล้วก็คืนอาหารออกจนสิ้น

คุณแม่ น้องสาว น้องชาย วิ่งเข้ามาห้อมล้อมให้น้ำให้ยาแล้วประคองตัวพาไปนอน ช้อยบ่นว่าเพราะเพลียอยู่แล้วปล่อยให้ท้องว่างนานจึงเป็นลม คุณนายชื่นบ่นว่า เพราะเป็นลมตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้ยังออกแรง ชัดไม่บ่นอะไรหมด ถามแต่ว่าจะให้เรียกนายแพทย์คนไหน

วิชัยส่ายหน้าและโบกมืออยู่บนเตียง “อะไรเป็นลมก็เรียกหมอ ขายหน้าขายตา บ่ายนี้กลับจากศาล....”

ไม่มีใครยอมให้เขาพูดหมดประโยค คุณนายขึ้นเสียง ช้อยค้อน ชัดขมวดคิ้ว แล้วทั้ง ๓ คนก็ชิงกันพูดคนละหลาย ๑๐ คำ และในที่สุดก็ได้ความแต่เพียงว่า วิชัยต้องลาพักราชการ และชัดจะต้องเป็นผู้ไปเรียกนายแพทย์คนหนึ่ง

“จะเรียกใคร ?” ชัดถามอีก

“หมอพลายแน่ะ” คุณนายชื่นบอก “แกเก่งทางลม”

ชัดทำหน้าอย่างหนึ่งซึ่งทำให้พี่ชายเกือบต้องยิ้ม ช้อยเสนอนามแพทย์ที่เคยรักษานายสมาน แม่ลูกยังถกเถียงกันด้วยเรื่องสมรรถภาพของนายแพทย์ ในที่สุดผู้เป็นคนไข้พูดขึ้นว่า

“ถ้าจะบังคับให้เรียกหมอจนได้ละก็เอาหลวงเทพ ฯ ดีกว่าคุ้นเคยกันด้วยแล้วก็ไปให้เขาตรวจมาเมื่อ ๒ - ๓ วันนี้เอง”

ชัดรับคำแล้วไปแต่งตัว ด้วยถึงเวลาที่เขาจะต้องไปทำงาน

ราว ๑๐ นาฬิกาเศษ หลวงเทพเสนารักษ์จึงมาถึง เวลานั้นวิชัยมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น คือหลับตาและบ่นอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ นายแพทย์จะให้เขาอมปรอทเขาก็ปัดมือส่ายหน้าหนีและพึมพำ ครั้นสอดปรอทเข้าไปในปากได้วิชัยก็ถ่มทิ้ง ผลที่สุดจึงได้แต่ระดับความร้อนที่ภายนอกร่างกาย เมื่อได้ตรวจอาการคนไข้โดยถี่ถ้วนแล้ว หลวงเทพเสนารักษ์จึงตั้งยาและแจ้งให้เจ้าของไข้ทราบว่า โรคของวิชัยเกิดจากเส้นประสาทหัวใจและกระเพาะอาหาร ต้องการการระวังรักษามิให้ได้รับความตกใจหรือได้ยินได้ฟังเรื่องที่จะทำให้ตื่นเต้น กับอาหารที่บริโภคต้องเป็นสิ่งที่ย่อยง่าย

วันนั้นทั้งวันอาการคนเจ็บมิได้เปลี่ยนไปจากเมื่อตอนเช้า ความร้อนสูงและไม่ได้สติสมปฤดี บางเวลานัยน์ตาเขาหลับ แต่ปากพูดเรื่อยเจื้อยโดยไม่มีเนื้อถ้อยกระทงความ และเมื่อใครบอกให้ทำสิ่งใด เป็นต้นว่าให้รับประทานยาหรือรับประทานอาหารเขาก็ทำตาม บางเวลาเขาลืมตาโพลง แต่ครั้นผู้ใดทำเข้าไปปฏิบัติหรือพูดด้วย วิชัยก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แม้แต่ตาก็ไม่กระพริบเสียด้วยซ้ำ

อาการหลับในของวิชัยทำให้คุณนายชื่นตกใจมากกว่าอาการอื่นทั้งหมด ยิ่งได้รับทราบจากสมุหฐานของโรคว่ามีเส้นประสาทเป็นเหตุ ความรู้ของคุณนายในเรื่องโรคต่าง ๆ นั้นมีอยู่เพียงจับโน่นผสมนี่ขาด ๆ เกิน ๆ จึงเกิดความวิตกเลยไปว่า ถึงหายเจ็บแล้วลูกจะกลายเป็นบ้า อาศัยเหตุนี้เองทำให้คุณนายชื่นมิได้พักผ่อน ที่จะเพิ่มความยุ่งใจให้ช้อยด้วยการพูดพร่ำซักโน่นถามนั่นตินี่ หรือมิฉะนั้นก็เดินไปเดินมา เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ และทำงานที่ให้เป็นไปเพื่อความยุ่งยากโดยไม่เป็นประโยชน์แก่การพยาบาลแม้แต่น้อย คนใช้มีอยู่แทนที่จะละให้ทำงานประจำ หรือใช้ให้ทำงานพิเศษที่จำเป็น ท่านใช้ให้วิ่งตามลูกเขยลูกสาวเป็นจ้าละหวั่น แล้วตัวท่านเองก็พูดไปเต้นไป ร้องไห้ไป ไม่มียุติ ดูเหมือนหนูนิดจะเป็นใจด้วยคุณนาย ทำความยุ่งยากที่เป็นอยู่แล้วให้หนักขึ้น วันนี้แม่หนูโยเยตลอดวัน อะไรไม่ถูกใจเพียงนิดเดียวก็ร้องไห้จ้า แล้วยังมีอาการรบจะหาลุง ผู้ใดใคร่จะชี้แจงว่าหาไม่ได้เพราะลุงเจ็บ แม่หนูก็ไม่ยอมสงบ เครื่องเล่นต่าง ๆ ผู้ใหญ่หามาล่อใจแม่หนูก็เพลินชั่วครู่ชั่วยาม ครั้นแล้วก็ตั้งตนโยเยอีก

ตกเย็นลูกสาวพาลูกเขยมาให้คุณนายได้ทั้งคู่ เว้นแต่นางศักดิ์รณชิตผู้มีสามีเป็นคนถือความอิสระเหนือธรรมดา ทั้งมีนิสัยชอบทำตัวให้ขวางแก่ผู้อื่น จนเมื่อช่วงได้บอกแล้วว่าคุณแม่ให้ตามเพราะพี่ใหญ่เจ็บหนัก ก็ดูเขาไม่สะดุ้งสะเทือน ทำให้ช่วงน้อยใจถึงเกือบจะเกิดเป็นปากเสียงกันขึ้น

ความจริงนั้นหลวงศักดิ์ ฯ ได้พบหลวงเทพเสนารักษ์แล้วแต่กลางวัน ได้ฟังข่าวเจ็บของวิชัยจากนายแพทย์โดยละเอียดลออที่สุด แต่เขามิได้ชี้แจงแก่ภรรยาตามความจริงนั้น เพราะด้วยอุปนิสัยชอบ “ขวาง” ดังกล่าวแล้ว

เมื่อลูกเขยลูกสาวมาถึง คุณนายเข้าใจว่าตัวเองกำลังพยาบาลคนไข้โดยการย่องเข้าไปใกล้เตียงแตะต้องเนื้อตัวลูก เรียกชื่อ แล้วถามว่าจำแม่ได้ไหม ครั้นไม่ได้คำตอบก็ถอยกลับออกมา มีหน้ายู่ยี่ด้วยความโทมนัส อีกสักครู่ก็ย่องกลับเข้าไปอีก ดังนี้ท่านจึงสั่งนายบ๋อยผู้ไม่ยอมนั่งห่างเตียงนายให้เชิญผู้มาเยี่ยมเข้ามาในห้องคนเจ็บทั้งหมด ครั้นแล้วคุณนายก็นั่งลง บรรยายความวิตกให้เขาเหล่านั้นฟัง และเก็บเอาคำเพ้อของวิชัยเท่าที่จับความได้ขึ้นสาธยายซ้ำแล้วซ้ำอีก พลางเช็ดน้ำตาขัดจังหวะไปพลาง

คุณนายกำลังแสดงวิธีที่ท่านพยาบาลคนไข้ให้ลูกเขยลูกสาวดูเป็นคำรบที่ ๓ ชัดนำหลวงเทพเสนารักษ์เข้ามาในห้อง นายแพทย์ทหารบกชะงักเมื่อเห็นมีคนอยู่ในห้องคนไข้รวมทั้งสิ้นถึง ๑๑ คนรวมทั้งตัวเขาเอง และบางคนมีสีหน้าเหมือนมองเห็นความตายอยู่ในที่ใกล้ เมื่อได้ใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาทีถามอาการ ตรวจอาการและตรวจยาเสร็จแล้ว นายแพทย์ก็พยักเรียกชัดเข้ามาใกล้และพูดเบา ๆ ว่า

“ผมไม่อยากให้มีคนอยู่ในห้องคนไข้เกินกว่าจำเป็น คนพยาบาลคนหนึ่งคอยเฝ้า ผู้ช่วยอีกคนหนึ่งเป็นอย่างมากพอแล้ว”

“นั่นพี่น้องทั้งนั้นเขามาเยี่ยมชั่วครู่ยาม แล้วก็จะไป” ชัดตอบเป็นเชิงแก้

“ถ้าอยู่โรงพยาบาล ไข้อย่างนี้เขาห้ามเยี่ยม เพราะคนไข้ต้องการความสงบอย่างที่สุด ถูกรบกวนนิดหนึ่งก็อาจจะทำให้อาการทรุดได้ ขออย่าให้มีใครเข้าไปจุกจิกถามโน่นถามนี่ เขาเพ้อก็ปล่อยให้เพ้อไป ไปถาม ไปปลุก จะทำให้เพ้อมากขึ้น อาการอย่างนี้ ถ้าพยาบาลดีไม่มีอันตราย และการพยาบาลก็ไม่มีอะไรนอกไปจากที่ผมบอกคุณพี่ของคุณไว้แล้ว คือปล่อยให้หลับเรื่อย ๆ ตามสบาย ให้ยาให้อาหารตามเวลา อย่าให้ถูกร้อนจัดหนาวจัด เท่านั้นเอง”

พูดจบนายแพทย์ลุกจากเก้าอี้ แสร้งทำไม่เห็นกิริยาที่คุณนายพยายามหน่วงตัวไว้ซักถาม อะไรต่ออะไรยืดยาวไปอีกเช่นเดียวกับเมื่อตอนเช้า ทำความเคารพแล้วออกจากห้องไปโดยเร็ว

วันต่อมา นายแพทย์มาพบอาการคนไข้ยังทรงอยู่เช่นเดิม จึงให้ยาใหม่เพิ่มเติมและสละเวลา ๒ - ๓ นาทีนั่งพูดด้วยเจ้าของไข้เพื่อเอาใจอีกทั้งสัญญาว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมในตอนเช้า

นายแพทย์ไปแล้วสักครู่ คุณนายชื่นมีลูกสาว ๓ คน เขย ๒ คน เป็นเพื่อนปรารภ นั่งอยู่ด้วยกันทางหน้าเรือน ช้อยเฝ้าพี่ชายอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงห้าว เป็นเสียงผู้ชายทุ่มเถียงกันในที่ใกล้ จึงลุกขึ้นไปดูโดยเร็ว

ด้วยความพิศวงเป็นอย่างยิ่ง ช้อยเห็นหน้านายประสิทธิ์ สุนทรพงศ์ ยืนอยู่ตรงช่องบันได นายบ๋อยยืนจังก้าขวางหน้าอยู่ ทั้ง ๒ ฝ่ายทำท่าดังจะกำหมัดเข้าใส่กัน

ประสิทธิ์เห็นช้อยก่อนนายบ๋อย “ฮี่” ขึ้นทันทีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“ฮี่อะไร เหมือนกะม้า” เจ้าบ๋อยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด พอถูกฝ่ามือช้อยตีลงบนหลังดังเผียะ เห็นว่าเป็นใครก็พูดต่อไปโดยเร็ว “มันจะเข้าไปในห้องบอกว่าหมอมันห้ามก็ไม่ฟัง”

“หลีกไป ไอ้บ้า !” ช้อยเอ็ด “ไม่ต้องดูว่าใครเป็นใคร ขอรับประทานโทษเถอะค่ะคุณประสิทธิ์ เจ้านี่มันบ้ายังงั้นเสมอ มาเยี่ยมพี่ใหญ่หรือค่ะ ?”

“เยี่ยม เยี่ยม ฮี่ฮี่ เอาของมาให้” แล้วประสิทธิ์หิ้วห่อของที่วางอยู่ข้างเท้าขึ้น

“โถ ! อุตส่าห์มีของมาเยี่ยมด้วย ทำไมถึงทราบว่าพี่ใหญ่เจ็บล่ะคะ ?”

“ทราบ ทราบ อนงค์บอก ฮี่ ฮี่ ข---ของนั่นของเขามีจดหมายด้วย ฮี่ๆๆๆ”

ช้อยรับห่อของวางไว้ข้างตัว แก้ผ้าที่ห่อออกแล้วก็พบชามสีขาวมีถาดเงินรอง เปิดฝาชามจึงเห็นมักกะโรนีเส้นละเอียดอยู่ภายใน จดหมายซองเล็กอยู่ในถาดด้วย

“พี่ใหญ่ ตั้งแต่เมื่อเช้าวานจนวันนี้ไม่ได้สติเลย ตัวร้อนจัดแล้วก็เพ้อตลอดเวลา หมอเขาห้ามไม่ให้ใครเยี่ยม แต่ถ้าคุณอยากจะไปดูเธอสักประเดี๋ยวหนึ่งก็เห็นจะไม่เป็นไรนัก จะเข้าไปไหมล่ะคะ ?”

“ข--เข้า ไม่เข้าก็ได้ กลัวหมอ ฮี่ ฮี่ เยี่ยมที่นี่ดีกว่า ช่วยบอกผมมา ฮี่ ฮี่ แล้ว”

“เธอรู้สึกตัวเมื่อไรดิฉันจะบอก ขอบคุณคุณแทนเธอไว้ก่อนแล้วช่วยบอกคุณอนงค์ด้วยนะคะว่าดิฉันขอบคุณแทนพี่ใหญ่ จดหมายยังไม่ได้อ่านเลย รอตอบด้วยไหมคะ ?”

“อนงค์ ฮี่ ฮี่ อยู่ที่บ้านคุณอา เดี๋ยวจะกลับแล้ว- -แล้วพรุ่งนี้มาใหม่ เอาของมาอีก”

“อุ๊ยอย่าลำบากเลยค่ะ พี่ใหญ่รับประทานอะไรไม่ค่อยได้อาเจียนออกหมด เดี๋ยวดิฉันจะส่งจดหมายตอบไปให้คุณอนงค์ บอกให้แกรอหน่อยนะคะ เดี๋ยวเดียวเท่านั้น”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่!” ประสิทธิ์พึมพำพลางถอยหลังลงบันไดพ้นไป ๓ ขั้น เขาจึงเดินไปตามปกติแล้วในทันใดนั้นเองก็หมุนตัวกลับใหม่ สอดมือลงในกระเป๋าเสื้อตอนบน ชักเอากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาคลี่ดู ช้อยสังเกตเห็นรอยยับเหมือนถูกมือขยี้ ประสิทธิ์นิ่งอยู่ในท่าตรึกตรองอย่างงกงันภายหลังจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับช้อย

“ข--ขอซองใบได้ไหม ? ฮี่ ฮี่ ฮี่”

ช้อยมองดูเขาด้วยความฉงน “ได้รอประเดี๋ยวซีคะ” หล่อนตอบ แล้วก็ไปหยิบซองขาวมาให้เขาซองหนึ่ง

ประสิทธิ์บรรจงพับกระดาษแผ่นน้อยลงในซองปิดผนึก และรีดซ้ำหลายหนเพื่อให้สนิท ส่งซองให้ช้อยพลางว่า

“ฝ- ฝ-ฝากให้คุณพระอย่าให้ใคร ฮี่ ฮี่ ฮี่ เห็น” แล้วประสิทธิ์ก็ลาไป

“ช้อยกลับเข้าในห้อง สั่งนายบ๋อยให้จัดการถ่ายของและล้างภาชนะ ตัวหล่อนเองฉีกซองจดหมายอนงค์พลางตามองดูซองอีกชองหนึ่งด้วยความสงสัย ในที่สุดหล่อนนำซองขาวไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือแล้วอ่านจดหมายอนงค์ได้ความดังนี้

“เมื่อเย็นวานพบหนูนิดที่บ้านคุณอา แกบอกว่าลุงเจ็บ ใครๆ ไม่ให้แกหาลุง แล้วแม่ละมุนอธิบายเพิ่มเติมว่าคุณพระเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทหัวใจ แล้วก็อะไรอีกอย่างหนึ่งที่แกจำไม่ได้แน่ แต่เข้าใจว่าเป็นตับหรือไต อนงค์เดาว่าเป็นไตมากกว่าตับ เพราะคนไข้โรคหัวใจมักจะมีโรคไตแทรกด้วย อยากจะมาเองแทบขาดใจแต่ไม่กล้าพอ จึงให้พี่ประสิทธิ์นำของมาให้ ของทำที่บ้านคุณอา แต่อนงค์ได้ลงมือทำด้วย พี่ประสิทธิ์อาสามาเยี่ยมแทนอนงค์ หวังว่าเธอคงจะไม่มาฮี่ให้คนไข้ปวดศีรษะยิ่งขึ้น มีเรื่องที่อยากจะเล่าแต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จะเล่ามาในจดหมายก็ยาวนักพี่ประสิทธิ์ก็เร่งจะไปเร็ว โปรดเล่าอาการคุณพระให้อนงค์ทราบโดยละเอียดสักหน่อย หวังว่าจะไม่หนักหนา ถึงอย่างนั้นก็ไม่สบายใจแทนพี่ช้อยน่ะค่ะ

อ่านจบแล้ว ช้อยรีบเขียนตอบและเรียกคนใช้ให้นำไปส่งพร้อมถาดและชาม เมื่อคนผู้นั้นกลับมาเขานำกระดาษชิ้นน้อยมาส่งให้ช้อยอีก อนงค์เขียนข้อความสั้น ๆ ว่า

หนูนิดมาแล้ว ฟ้องว่าคุณยายไล่เพราะร้องหนวกหูลุง ขออนุญาตให้อนงค์พาแกไปเที่ยวได้ไหมคะ เอาละมุนไปด้วย อนงค์ไม่รอตอบ เพราะรู้ว่าพี่ช้อยต้องอนุญาตแน่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ