๒๑

มากหมอมากความ !

คำกล่าวนี้มีความจริงเพียงไร จะเห็นได้จากสภาพการในบ้านสุขนิวาศ ตั้งแต่ ๑๔ นาฬิกาล่วงแล้ว รถของบ้านสุขนิวาศทั้ง ๓ คันเลี้ยวกลับเข้าบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ละคันผ่านช่องประตูมาได้หวุดหวิดจะสีกรอบประตู หรือมิฉะนั้นก็ตัวรถเองจวนเจียนจะคว่ำ ด้วยวิธีเลี้ยวเต็มแรงและเต็มความเร็ว วี๊ด ! ผ่านถนน อ้อมสนามพรืด ! หยุดตรงมุขปัง ! ผู้ขับขึ้นบันไดมุขไปแล้ว !

ตึ้ก ๆๆๆ แช็บ ๆๆ ๆ เสียงฝีเท้าล้วนแต่แสดงความเร่าร้อนแห่งเจ้าของเท้า ในที่สุดบุรุษหนุ่ม ๓ นาย มาพร้อมกันอยู่ในห้องใหญ่ ความมากหมอมากความจึงเกิดขึ้น

“บ้า ! ไอ้กระถางบ้าใบนี้ทำไมมาตั้งขวางหน้าต่างอยู่นี่” นายสมพงศ์กล่าว โยนหมวกลงบนหลังปีอาโน

นายแสวงผู้กำลังบงการให้คนใช้เลื่อนกระถางปาล์มอยู่ทางมุมห้องหันมาฟังโดยเร็ว แล้วตอบและถามว่า

“ผมเป็นคนสั่งให้ตั้งเอง ทำไมมันเป็นยังไงไป?”

“มันบ้าน่ะซี แขกเป็นกองสองกอง จะเต้นรำกัน เราต้องการอากาศให้พอกับคน กลับเอาต้นไม้ตั้งขวางช่องลมเสียอีก”

“อุบ๊ะ ! ก็สีตรงใต้กรอบหน้าต่างมันกะเทาะ เห็นรอยออกเบ้อเร่อ ไม่หาอะไรปิดยังไง”

สมพงศ์เดินเข้าไปก้มดูตรงที่นั้นแล้วว่า

“ไม่เห็นน่าเกลียดอะไรนักหนา ตึกมันเก่ามันก็ชำรุดบ้างซี มันไม่พอกับการที่ต้องเอากระถางเบ้อเร่อมาขวางหน้าต่างไว้”

แสวงนับช่องหน้าต่างและช่องประตูห้องนั้น

“ฝาห้องสูง ๘ วา” เขาเอ่ยขึ้น “กว้าง ๘ ศอก ยาว ๑๐ ศอก ๖ หน้าต่าง ๕ ประตูคนสักกี่ร้อยถึงกับไม่มีอากาศพอสำหรับหายใจ ? ยังงั้นไอ้ต้นคนอื่น ๆ ก็โยนมันออกไปให้หมดด้วยซี ธรรมชาติของต้นไม้เวลากลางคืนมันแย่งลมหายใจมนุษย์”

“แกพูดอะไรมันเกินเหตุไปเสมอ ห้องนี้จะใช้เป็นห้องเต้นรำ ไม่มีต้นไม้มันจะสวยได้ที่ไหน”

“ก็เพราะจะให้มันสวย ถึงต้องเอาต้นไม้ตั้งตรงนั้นด้วย”

“ตั้งตรงนั้นแหละมันทำให้ไม่สวย ดูทีหรือ ที่อื่นตั้งไว้เป็นคู่ ๆ ถึงที่ตรงนั้นจะเกิดตั้งเดี่ยว มันขวางโลกเหลือทน ดูไม่มีทั้งศิลปะและอนามัย” ก้มมองดูรอยกะเทาะอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าอยากจะปิดรอยนี้ หาอะไรที่มันเตี้ย ๆ ไม่เตะตาก็พอจะทนได้หน่อย เก้าอี้นวมคู่ไปไหนเสียล่ะ?”

“ผมให้เขายกไปไว้ที่ห้องสัปเปอร์” จำลองตอบ เขากำลังยืนแหงนหน้ามองดูคนใช้เช็ดโคมระย้าห้อยจากเพดาน

นายแสวงหันขวับมาทางน้องชายทันที แล้วพูดว่า

“นายงานมากเหลือเกิน ไหนว่าไม่มีใครเกี่ยวข้องกับห้องสัปเปอร์ยังไง เราถึงได้รับจะทำเอง”

ยังไม่ทันขาดคำ สมพงศ์ก็พูดซ้อนขึ้น แต่น้ำเสียงเรียบกว่านายแสวง

“ไหนตกลงกันว่าจะนั่งกินในนั้น เอาเก้าอี้เข้าไปตั้งทำไม?”

จำลองเตรียมพร้อมที่จะตอบนายแสวง แต่ครั้นพี่ใหญ่ไม่ให้เวลาเขาจึงย้อนเอาว่า

“ก็ห้องนี้ตกลงกันไว้ว่าจะไม่ตั้งเก้าอึ้ ทำไมเกิดจะเอาเก้าอื้นวมเข้ามาขวางล่ะ?”

“ก็คนหนึ่งเขาจะปิดรอยกะเทาะ เขาอายที่จะแสดงว่าตึกของเราไม่ได้สร้างเมื่อวานซืน”

“แล้วจะปิดโดยเอาเก้าอี้เข้ามาขวาง ไว้ตัวเดียวน่ะเห็นจะเป็นศิลปอย่างสูงแล้วซิ” แสวงพูดสอดขึ้นในทันใด

“เออ ! ไม่มีใครเขาโง่เหมือนแกหรอก ที่มีเป็นกองทำไมถึงจะต้องตั้งแต่ตัวเดียว แต่ถ้าแกเห็นมันไม่เป็นศิลปฉันก็ยอมให้ แต่ก็ต้องปล่อยให้เห็นรอยกะเทาะนั้นด้วย” พูดแล้วสมพงศ์หันมาทางคนใช้คนหนึ่ง “เนียม ยกไอ้ปาล์มบ้านี้ไปให้พ้น”

แสวงหมุนตัวปราดออกมาถึงกลางห้อง ทำให้เนียนผู้กำลังก้าวหน้าชะงักเตรียมจะถอยหลัง ผู้เป็นนายถามว่า

“เอ็งจะเอาของข้าไปไว้ที่ไหน?”

“ยกไป” สมพงศ์สั่งเสียงหนัก “นั่น ที่ตรงฝาห้องระหว่างประตูมองเห็นฝาโล่ง ๆ ดูมันล่อนจ้อนเต็มทีเอาไอ้นี่แหละไปตั้งไว้ จะสวยขึ้นอีกเยอะ”

“นายเนียม” จำลองเอ่ยขึ้น ตรงนั้นฉันจะตั้งขวดลายครามใหญ่ ปักดอกพุทธรักษา”

“จะได้ให้มันมายืนเซ่ออยู่โดด ๆ ยังงั้นหรือ ไหนตกลงกันว่าจะใช้แต่ใบไม้แต่งห้องนี้ ทำไมถึงเกิดจะเอาดอกไม้มาใส่”

“ถ้าไม่ใส่จะเอามันตั้งโด่ไว้ยังไง? แล้วถ้าไม่ตั้งจะเอามันไปซุกไว้ที่ไหน ของสวยที่สุดดีที่สุดมีอยู่ในบ้าน”

“ทำไมไม่เอาไปตั้งไว้ในห้องรับแขก จะได้เข้าชุดกันกับขวดปักดอกไม้อื่น ๆ เอ้า ยกกระถางปาล์มไปไว้ที่โน่น”

คราวนี้นายเนียมยังไม่ทันจะได้ขยับตัว แสวงปราดไปจับกระถางปาล์มที่อยู่ตรงช่องหน้าต่างแล้วตั้งกระทู้ขึ้นเช่นเดียวกับคราวก่อน

“เอ็งจะเอาอะไรมาตั้งปิดรอยกะเทาะ?”

เหล่าคนใช้ที่กำลังทำงานรามือลงพร้อมกัน ที่แบกขนก็หยุดแบกหยุดขน ที่ขัดพื้นห้องก็หยุดขัด ที่นั่งอยู่บนม้าสูงกำลังเช็ดโคมก็หยุดเช็ด ที่ยึดขาม้าสูงก็ปล่อยมือจากขาม้า จำลองจึงร้องว่า

“เฮ้ยเจ้าแปลก มัวเหม่อเดี๋ยวเจ้าน้อยคอหักตาย”

แสวงกับสมพงศ์หันหน้าไปพร้อมกัน และเวลาเพียงเล็กน้อยนั้นที่เขาได้ใช้เวลามองดูคนใช้ช่วยให้สมพงศ์ระงับความมุทะลุไว้ทัน ยืนตัวขึ้นตรง แล้วออกคำสั่งช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ยกปาล์มหมากค่อมต้นนี้ไปไว้ที่ฝาโน่น เอาดาวทองมาตั้งปิดรอยกะเทาะ แล้วเอาบิสมาร์คกับปาล์มเล็ก ๆ ไปตั้งตามช่องหน้าต่างทุกช่อง มันจะได้เป็นระเบียบ”

“บิสมาร์คมีกี่ต้น?” แสวงถามเปรย ๆ

“บิสมาร์คมี ๔ ต้น?” สมพงศ์บอกคนใช้ “ไปยกเอามาให้หมด”

“บิสมาร์คอยู่ในห้องสัปเปอร์แล้วทั้ง ๔ ต้น ได้ ๔ มุมพอดี” แสวงกล่าวเลียนแบบเสียงพี่ชาย

“เออ !” สมพงศ์ถอนใจ “อะไร ๆ ก็อยู่ในห้องสัปเปอร์เสียหมด” กะอีแค่ห้องจะเข้าไปแบ่งของกินประเดี๋ยวเดียว ไม่รู้จะแต่งกันทำไมหนักนมหนักหนา”

จำลองรับโป๊ะไฟฟ้าจากมือนายแปลก กำลังพิศดูอย่างละเอียดลออ เขาขัดขึ้นว่า

“ขอโทษ ผมล้างมือ ไม่ยุ่งด้วยอีกแล้ว เดิมทีไม่รู้ว่ามีเจ้าของ”

สมพงศ์พูดสืบไป

“อันที่จริงบิสมาร์คต้นยังเล็กนัก ไม่เหมาะกับส่วนของห้อง ถ้าอยากจะแต่งควรจะใช้ไม้ที่โตกว่านั้น” หันไปมองรอบตัว “อ้าว ! ดู ! ไอ้ปาล์มเจ๊กทำไมถึงขึ้นแท่นอยู่นั่น ตรงนั้นเราจะทำซุ้มไม้สำหรับหมู่นักดนตรีนั่งควรจะใช้ปาล์มที่ใบสลวยถึงจะงาม ยกไอ้ปาล์มเจ็กไปแทนบิสมาร์คที่ห้องสัปเปอร์”

แสวงหัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดังพลางพูดว่า

“ตกลงไอ้คนที่ทำงานนบ้านนี้บัดซบทุกคน มีคนฉลาดอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นเอง”

พูดแล้วเขาลงส้นปัง ๆ ไปยังประตู พอพบกับอนงค์ที่ตรงนั้น

“อุแหม !” หญิงสาวอุทานเสียงใส “ครบองค์สามเทียวนะคะ บอลรูมของเรายังไงเสียก็คงหรูแฟ่”

“โอ๊ คงจะแฟ่จริงจ้ะ” จำลองตอบแกมหัวเราะ “ถ้าไม่มีการชกปากกันขึ้นเสียก่อน”

อนงค์ตรวจดูสีหน้าผู้ที่อยู่ในห้องนั้นทั้งหมดด้วยการดูแลเพียงเว็บเดียว ก็คาดการได้ถนัด ดังนั้นหล่อนจึงจับมือพี่ชายคนที่ ๒ ไว้พลางพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใสร่าเริง

“มากคน มากความก็มากเรื่อง เสียเวลาเปล่า ให้อนงค์แบ่งหน้าที่เถอะนะคะ” เว้นระยะเล็กน้อยเมื่อไม่มีเสียงคัดค้านจึงพูดต่อไป “พี่สมพงศ์ชอบการเต้นรำเป็นชีวิต ให้เป็นเจ้าหน้าที่จัดห้องนี้ พี่จำลองเป็นช่างชอบงานจุกจิก ไปจัดห้องรับแขก พี่แสวงรับกับอนงค์ไว้ว่าจะดูแลห้องสัปเปอร์ เพราะฉะนั้นต้องดูตลอดจนถึงอาหาร และถ้วยเหล้าตลอดเครื่องดื่มด้วย”

สมพงศ์แสดงกิริยารับคำสั่งนั้น โดยอาการก้มศีรษะคำนับเป็นเชิงเล่น จำลองยิ้ม หยิบเสื้อชั้นนอกที่ตนแขวนไว้กับหน้าต่างขึ้นพาดบ่า แสวงก็เตรียมตัวจะออกจากห้อง แต่พร้อมกันนั้นเขาพูดว่า

“ไอ้พี่แสวงมันเป็นคนขี้เมา ถูกแล้วมันต้องให้อยู่แผนกเหล้า”

อนงค์กอดแขนเขาไว้ทันที ยิ้มอย่างหวานและพูดเสียงหวานเท่ากับลักษณะยิ้ม “อย่าหาความน้องหญิงคนเดียวของพี่เลยค่ะ อนงค์ต้องการครูจริง ๆ ถ้าไม่มีครูอนงค์เลือกถ้วยเหล้าไม่ถูก มาเถอะค่ะงานอื่น ๆ อนงค์จัดเสร็จหมดแล้ว ยังขาดแต่งานนี้เพราะต้องคอยอาจารย์”

พูดแล้วหล่อนรั้งแขนพี่ให้ตามหล่อนมา แต่พอจะออกประตูหล่อนก็หยุดชะงัก หันไปดูทางหน้าตึกเพราะมีรถยนต์แล่นมาหยุดที่นั่นคันหนึ่ง

มองเห็นผู้ที่มาถึงใหม่ อนงค์จึงปล่อยแขนแสวงวิ่งไปรับพี่ชายคนที่ ๔ พร้อมกับร้องว่า

“ทำไมหายไปนานนักล่ะคะ เจ๊กเย็บเสื้อไม่แล้วหรือ?”

“ฮี่ ๆๆ” ประสิทธิ์ครางเรื่อยตั้งแต่ลงจากรถ “พี่มัวเถียงกับเจ๊ก” แล้วเขาส่งถุงกระดาษให้น้อง

หญิงสาวเปิดปากถุงอย่างเร่งร้อน แต่พอเห็นวัตถุภายในนั้นสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป หยิบวัตถุนั้นคลี่ดูเพื่อให้แน่ มองดูถุงซ้ำ ในที่สุดก็ร้องว่า

“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เสื้อของอนงค์นี่ !”

“ม....ไม่ใช่ ฮี่ ๆๆๆ พี่ซื้อมาให้ กลัวจะไม่มีใส่ ฮี่ ฮี่ เจ๊กมันบอกว่าอนงค์ ม....ไม่....ไม่ได้ไป ฮี่ ฮี่ จ้างมัน”

“ไฮ้ ! อะไรไม่ได้ไปจ้าง ! ดูซี เจ้าเจ็กทำเหลวแล้วลืมเสียได้นี่ ตาย ! นี่จะเอาเสื้อที่ไหนใส่ล่ะทีนี้”

พี่ที่๑ ที่ ๒ ที่๓ เข้ามาห้อมล้อมน้องหญิงเดาเหตุความเหลวแห่งช่างตัดเสื้อไปต่าง ๆ นานา พี่ที่ ๔ ฮี่ หลายครั้ง พลางจับเสื้อที่ตนซื้อมาแล้วในที่สุดจึงพูดได้ความว่า

“ใส่ตัวนี้ก็แล้วกัน สวยดีด้วย”

อนงค์ยิ้มเพื่อขอบคุณความเอื้อเฟื้อของเขา แต่สีหน้าของหล่อนนั้นแสดงความกระวนกระวาย คลี่ออกดูอย่างสมเพช ในที่สุดก็พูดว่า

“พิโธ่เอ๊ยพี่ชาย นี่มันเสื้อสำหรับใส่ไปซื้อของเวลากลางวันแท้ ๆ อุตส่าห์ซื้อมาได้”

“เจ๊กร้านไหนนะมันถึงได้บ้ายังงี้” สมพงศ์บ่น

“ชาตินี้เอาไฟเผาเสียละดีละ” แสวงเสริม

“เจ๊กร้าน ถ-ถ-ถนนสี่พระยา ฮี่ !”

อนงค์สะดุ้ง ถามขึ้นทันใด

“ร้านสี่พระยาหรือคะ? พี่ประสิทธิ์ไปรับเสื้อที่อนงค์ที่ร้านนั้น?”

ประสิทธิ์พยักหน้าหลายครั้งติด ๆ กัน น้องสาวของเขาก็ร้อง “พิโธ่ !” เสียงแหลม โมโหด้วย นึกขันด้วยอดหัวเราะไว้ไม่ได้ หล่อนพูดต่อไปว่า

“ทำไมถึงไปเอาที่ร้านนั้นล่ะ อนงค์บอกให้ไปที่ร้านถนนสุริวงศ์ต่างหากคะ ร้านที่เราเคยไปตัดด้วยกันน่ะค่ะ”

“ชะ ๆ” จำลองกล่าวส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “จะทำเขาเสียฤกษ์แล้ว พิโธ่ ! กะอีถนนก็จำไม่ได้ แล้วเขาก็บอกแล้วว่าร้านที่เคยไปกับเขา”

“ไอ้คำหลังน่ะไม่มีน้ำหนัก” สมพงศ์ขัด “อนงค์ไปตัดเสื้อรู้จักกี่ ๑๐ ร้าน ใครจะไปนั่งจำ”

“ก็ชื่อถนนว่ายังไง?” จำลองถาม

“มันผิดซอยไปนี่นา กลับไปใหม่ไป๊ เร็ว ๆ เข้าสุริวงศ์ สุริวงศ์ ท่องไปให้ดี” พูดแล้วสมพงศ์ผลักหลังน้องเบา ๆ

ประสิทธิไปขึ้นรถ จำลองไปห้องรับแขก แสวงกับอนงค์ไปยังห้องที่เก็บเครื่องใช้อันมีค่า เช่นภาชนะอย่างดี และเครื่องแก้วเจียระไน

พี่น้อง ๒ คนช่วยกันทำงานอยู่พักใหญ่ แล้วอนงค์ละพี่ชายไว้ตามลำพัง ด้วยงานของแม่บ้านบังคับหล่อนมิให้นั่งอยู่ที่เดียวได้ นั้นนิดนี่หน่อยล้วนแต่ต้องการความถี่ถ้วนของคุณผู้หญิง นอกจากนี้แล้ว แม้สมพงศ์กับจำลองผู้มีอำนาจเด็ดขาดในอันจะจัดงานตามอำเภอใจ ก็ยังไม่เว้นเสียทีเดียวซึ่งการเรียกร้องขอพบน้องสาว เพื่อประโยชน์ในการฟังความเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ

ในระหว่างเวลานั้นประสิทธิ์กลับจากร้านตัดเสื้อโดยไม่ได้สิ่งใดมา แต่เขาบอกแก่น้องว่านายช่างนัดให้เขาไปที่ร้านใหม่เวลา ๑๗ นาฬิกา

อนงค์เกิดรู้สึกใจไม่ดี แต่ไม่อยากจะบ่นให้พี่ชายคนหนึ่งคนใดฟัง ด้วยกลัวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นหล่อนจึงไม่ออกปากว่ากระไร บอกให้ประสิทธิ์ไปช่วยงานสมพงศ์ทำ แล้วตัวหล่อนเองไปยังห้องท้ายตึก

ในที่นั้น คุณแม้น คุณเมี้ยน และช้อยพร้อมด้วยหญิงอีกหลายนางทำอาหารว่างอยู่ด้วยกัน พอเห็นอนงค์คุณแม้นก็พูดขึ้นว่า

“หนูจานสำหรับใส่เครื่องว่างยังไงยังไม่ให้เขาขนมา จะได้ล้างเช็ดเสียให้เสร็จไป”

อนงค์นั่งลงข้างตัวช้อย ผู้กำลังล้างใบผักกาดหอมกล่าวตอบผู้เป็นอา

“ให้เขาล้างอยู่ทางห้องโน้นแล้วค่ะ แล้วให้เขาพักไว้ในห้องสัปเปอร์ก่อน เวลาจะจัดถึงจะยกมาจะได้ไม่เกะกะห้องนี้”

“อ้อ ยังงั้นก็ดีเหมือนกัน ห้องนี้ออกจะคับแคบเต็มทีแล้วด้วย”

หญิงสาวมองดูช้อยลูบคลำอยู่กับผัก แล้วบ่นขึ้น

“แหม อนงค์ชักกลุ้มใจนิด ๆ แล้ว เจ๊กเย็บเสื้อไม่เสร็จ”

ช้อยเงยหน้าขึ้นมองดูพูดพลางถาม

“เสื้อที่จะใส่คืนวันนี้น่ะหรือ?”

“ค่ะ เขานัดให้ไปรับกลางวัน พี่ประสิทธิ์ไปเขายังเย็บไม่แล้ว ๕ โมงถึงจะไปรับได้ กลุ้มใจจังเผื่อมันไม่แล้วอีกจะทำยังไง”

“เสื้อตัวอื่นไม่มีอีกแล้วหรือ?” คุณแม้นถาม

“ไม่มี” คุณเมี้ยนตอบแทน “แม่อนงค์จะไปไหนเคยมีเสื้อใส่สักทีเมื่อไร !” ผ่

“หนักมือจริง ๆ นะ” คุณแม้นว่า เสื้อออกเต๊มเต็มตู้ ยังงั้นจะไปไหนทีก็เห็นแต่บ่นไม่มีเสื้อใส่ต้องตัดใหม่ทุกที ช่างเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีแท้ๆ”

หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “คราวนี้ความเป็นเศรษฐีช่วยอะไรไม่ได้” หล่อนว่า “มีเงินไปจ้างเขาตัด เขาไม่ยักตัดให้แล้ว ท่าก็จะต้องใส่เสื้อเก่า ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใส่ตัวไหน”

“ไปเลือกเสียซีเธอ” ช้อยแนะนำ “เลือกเตรียมไว้สักชุด ถ้าได้เสื้อมาใหม่ก็ดีไป ถ้าไม่ได้จะได้หยิบฉวยทัน”

อนงค์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นช้า ๆ

“มีสีแดงอยู่ตัวหนึ่ง ใส่ไปดินเน่อร์วันแต่งงานผสาน แล้วไม่ได้ใส่ไปไหนอีก อันที่จริงมันก็สวยดี แต่จะใส่คืนนี้กลัวผสานเขาจะจำได้”

ช้อยยิ้ม ความระแวงชนิดเดียวกันนี้เคยมีแก่ตัวช้อยเองไม่น้อยครั้งในสมัยที่หล่อนยังสาว แต่ช้อยไม่เคยอยู่ในฐานะประสงค์ได้ดังใจเช่นอนงค์ จึงถึงหากจะระแวงก็แก้ไขไม่ได้ทุกที อย่างไรก็ตาม ช้อยเข้าใจอนงค์ดีอยู่จึงไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่านึกขำ

การรำพันเรื่องเครื่องแต่งตัวยังไม่ถึงที่สุด เมื่อคนใช้นำห่อของสองห่อมาให้อนงค์และบอกว่า

“คุณสมพงศ์บอกว่า คุณพระอรรถคดี ฯ เอามาให้คุณช้อย”

“คุณพระมาเองหรือ?” อนงค์ถาม เตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น นายคนใช้เห็นดังนั้นจึงบอกเลยไปว่า

“คุณพระมาเองครับ ท่านกลับไปแล้ว”

“พิโธ่ !” หญิงสาวผู้เป็นนายอุทาน “นึกจะไปเชิญเข้ามาที่นี่เทียว” มองดูห่อของพลางถาม “พี่ช้อยมือเปียก อนงค์แก้ให้เอาไหมคะ”

“ห่อใหญ่ไม่ต้องแก้หรอกค่ะ” ช้อยตอบ ห่อเครื่องแต่งตัวของพี่น่ะ แก้แต่ห่อเล็กเถอะ พี่เข้าใจว่าเป็นของเธอ พี่ใหญ่ว่าจะเอามาให้เธอพร้อมกับที่มาส่งพี่เมื่อเช้านี้ แต่เห็นจะลืมตามเคยถึงเพิ่งเอามา”

“ดีเสียอีกไม่ลืมไว้จนถึงวันพรุ่งนี้” คุณเมี้ยนกล่าวและยิ้มอย่างเห็นขัน

อนงค์ชักบัตรนามพระอรรถคดีวิชัย ที่เสียบอยู่บนหลังห่อนั้นออกก่อน ออกเสียงอ่านตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกมีข้อความสั้น ๆ ว่า “สำหรับคุณอนงค์” แก้เชือกแก้กระดาษที่ห่อ กดสปริงที่ฝาหีบหนังเทียมให้เปิดขึ้นเห็นสีทาปาก ๒ แท่งบรรจุปลอกทอง ๒ ปลอก เรียงแถวอยู่ในหีบนั้น หล่อนก็ร้องขึ้นว่า

“ต๊ายตาย ดู๊ ดู คุณพระอรรถ ฯ เอาลิบสติ๊กสีต่าง ๆ มาให้อนงค์ตั้งครึ่งโหล”

ช้อยจ้องดูวัตถุนั้นอย่างเอาใจใส่ ด้วยหล่อนเองก็ยังมิได้เห็นมาก่อน คุณเมี้ยนและคุณแม้นหัวเราะขึ้นพร้อมกัน คุณหนึ่งพูดว่า

“แกเห็นสีทาปากเรามันจัดนักซี”

“นี่เห็นไหม” อีกคุณหนึ่งว่า “คนเราทำอะไรจุ้นจ้าน มักทำให้คนอื่นเขานึกยังไง ๆ ในใจ คนอย่างพ่อใหญ่แสนที่จะไม่กระนั้นกระนี้ ยังส่งเจ้านั่นมาเป็นของขวัญ”

ฟังคำคุณทั้งสองแล้ว สีหน้าช้อยแสดงความตกใจรีบค้านโดยเร็ว

“มิได้ค่ะ พี่ใหญ่ไม่ได้นึกอะไรเลยนะคะ เธอตั้งใจอยู่อย่างเดียวแต่หาของที่เหมาะสำหรับผู้หญิงใช้ เผอิญเธอไปพบเจ้าสีนั่นมันแปลกตาและเข้าทีเธอก็เลยซื้อมา” และเพื่อจะสนับสนุนคำพูดให้มีน้ำหนักขึ้นอีก ช้อยจึงเล่าความที่วิชัยเที่ยวไปตามร้านหลายร้าน จนในที่สุดได้พบของต้องใจในร้านดัดผมสตรีแห่งหนึ่ง

สตรีผู้มีอาวุโสทั้ง ๒ ท่านไม่สงสัยในคำบรรยายของช้อย แต่ท่านทั้ง ๒ ก็มิได้แก้ไขซึ่งคำที่ท่านกล่าวแล้ว อันแสดงว่าท่าน ถือการกระทำของวิชัยว่ามีความหมายไปในทางใด ส่วนอนงค์ หล่อนนึ่งขรึมไปครู่หนึ่งภายหลังจึงถามช้อยว่า

“คุณพระแอนตี้ผู้หญิงที่ใช้เครื่องสำอางแต่งหน้านักหรือคะ”

“อุ๊ยตาย !” ช้อยร้องขึ้นทันที “พี่ใหญ่จะรู้จักแอนตี้อะไรกับใคร พี่บอกเธอกี่หนแล้วว่าพี่ใหญ่เห็นคนในโลกดีเท่ากันหมด เชื่อเถอะน่า เธอเอามาให้โดยใจซื่อและหวังดีแท้ ๆ”

อนงค์ไม่ได้ว่าเธอให้โดยคดนี่คะ” หญิงสาวตอบและหัวเราะมีอาการฝืนเล็กน้อย “แต่คุณอาพูดท่านขึ้นก็เลยนึกอยากรู้ว่าคุณพระอรรถคดีฯ มีความเห็นในการแต่งตัวของผู้หญิงเป็นอย่างไร”

ฉันเชื่อในข้อที่พ่อใหญ่ไม่รู้จักแอนตี้ใคร เพราะฉันเห็นนิสัยแกไม่มีโรคใจแคบเกาะอยู่ด้วย” คุณเมี้ยนพูดขึ้นช้า ๆ “แต่คนเราเกิดมาก็ต้องชินกับสิ่งแวดล้อม ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราชินไม่ผิดธรรมดาเราก็ไม่แก้ความเขิน ภายหลังเจ้าสิ่งนั้น ๆ จึงจับนิสัยเรากลายเป็นความนิยมขึ้นทีเดียว คนรุ่นพ่อใหญ่แกเกิดมาก็เห็นแต่ผู้หญิงที่พ่อแม่อบรมให้เรียบร้อย จะแต่งเนื้อแต่งตัวก็สุภาพ ไม่จุ้นจ้านฉูดฉาดบาดตา เมื่อแกเห็นผู้หญิงสมัยเดี๋ยวนี้แกจะชอบได้ลงคอหรือ ที่แกไม่ติฉินนินทานั้นเป็นเพราะแกเป็นคนใจกว้างต่างหาก แต่ว่าขอให้เชื่ออาเถอะ แต่งตัวอย่างหนูยังไงเสีย พระอรรถคดี ฯ ก็ต้องสะดุ้ง”

นางสาวอนงค์ฟังแล้วไม่ปริปากโต้ตอบ แต่ภายในใจของหล่อนนั้นหล่อนกำลังสัญญาแก่ตัวเองว่า ค่ำวันนี้ถึงอย่างไรจักทำให้พี่ชายของช้อยแสดงความเห็นเรื่องการแต่งกายของสตรีให้จงได้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ