๒๖

ปฐมเหตุที่พาพระอรรถคดี ฯ ไปหานางธุรกิจ ฯ นั้น ยังความประหลาดใจให้เจ้าของบ้านเป็นล้นพ้นถึงกับหลวงธุรกิจ ฯ แสดงความกระวนกระวายออกนอกหน้า และภรรยาก็ถามด้วยเสียงดังและแหลม จนกลายเป็นเสียงหลง

“ขอจันทรให้คุณชัด ! คุณพระขอให้คุณชัด ! นี่ยังไงกั๊น !!!”

พระอรรถคดี ไม่มุ่งหมายจะเข้าใจคำพูดประโยคนี้ รีบยืนยันรับรองอีกครั้งอย่างแข็งแรง

ภรรยามองสามีเป็นเชิงปรึกษา หลวงธุรกิจ ฯ สั่นศีรษะอย่างไม่รับรู้ อุไรก็ทำท่าสิ้นปัญญา ในที่สุดจึงตอบได้แต่เพียงว่า

“ขอให้ดิฉันตรึกตรองก่อน”

ครั้นวิชัยได้นั่งพูดจาอยู่นานพอควรแล้ว เมื่อเขาจะลากลับ อุไรจึงได้พูดแก่เขาว่า

“โปรดบอกคุณช้อยด้วยนะคะ ว่าดิฉันคิดถึงมากหมู่นี้แกหายไปนาน ไม่เยี่ยมกรายมาที่นี่บ้างเลย”

และเมื่อวิชัยกำลังลงบันได หล่อนตะโกนซ้ำตามหลังเขามาอีก

“ดิฉันอยากให้มาเร็ว ๆ จะมาได้เมื่อไรขอให้โทรศัพท์บอก ดิฉันจะส่งรถไปรับ โปรดบอกให้ได้นะคะ”

ในเวลาที่ทำหน้าที่เถ้าแก่ ขอหญิงที่ตนรักให้แก่คนที่ไม่ใช่ตนเอง ความปวดแสบภายในทำให้วิชัยรู้สึกว่าเหมือนตนกำลังเชือดเนื้อของตนยื่นให้คนอื่นทีละชิ้น ๆ ถ้าจะรวมเอาความอดทนทั้งหมดที่เคยใช้ชีวิตก็ยังจะไม่ถึงกะฝีกหนึ่งที่ได้ทนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กล่าวแล้วให้ลุล่วงไปด้วยดี เหตุฉะนั้นเมื่อนั่งรถมาตามลำพังตัว แน่ใจว่าไกลจากการเพ่งดูแห่งสายตามนุษย์ วิชัยให้นึกใคร่ที่จะยืมวิธีแก้กลุ้มของผู้หญิงมาใช้แก้ความละห้อยละเหี่ยท้อแท้ใจของตนเองสักพักหนึ่ง

แต่เขามิทำได้ดังนั้น ตรงกันข้าม แม้เมื่อออกจากบ้านหลวงธุรกิจ ฯ แล้ว วิชัยพายานร่วมใจแล่นไปนอกทางที่กลับบ้าน ประสงค์จะตากลมให้ความหนักอึ้งในสมองน้อยลง เขายังต้องเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนทางใหม่ ภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที ด้วยนึกถึงน้องชายผู้ซึ่งคงจะคอยฟังข่าวจากเขาด้วยความร้อนใจ

จริงดังวิชัยคาด พอเลี้ยวรถเข้าประตูบ้านก็เห็นชัดเดินส่ายอยู่บนถนน และวิ่งมาเกาะรถพี่ชายอย่างรวดเร็ว

“ว่ายังไงครับ สำเร็จไหม”

วิชัยใช้ตวงตาอันแห้งแล้งมองดูน้องนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า

“เขาขอผลัดตรึกตรองดูก่อน”

รถแล่นเข้าโรงแล้ว ดับเครื่องเสร็จ วิชัยทิ้งแขนซ้ายลงข้างตัว มือขวาลูบผมอย่างอ่อนแรง

“เขาขอผลัดกี่วัน?”

“ไม่ได้กำหนดกี่วัน พี่สังเกตดูท่าทางเขาประหลาดใจมากทั้งคู่ ก็เลยไม่กล้าเซ้าซี้ แกต้องทำใจเย็นหน่อยอย่าร้อนรนมากเกินไป เมื่อเด็กรักแกแล้วเชื่อว่าอย่างไรผู้ใหญ่คงไม่ขัดขืน”

“เขาถามถึงเรื่องลูกสาวคุณหญิงรานรอนหรือเปล่า?”

“ไม่ได้ถาม ไม่ถามอะไรเลย พี่เองยังนึกแปลกใจ เพราะได้เตรียมคำตอบไว้พร้อมแล้ว แต่ถึงเวลาเข้าจริงกลับผิดคาด”

“ท่าทางเขารังเกียจผมไหม?”

วิชัยสั่นศีรษะ “พี่จับความคิดอะไรของเขาไม่ได้สักอย่าง จับได้แต่ว่าเขาตกใจมากทีเดียว”

ชัดใช้มือเปิดและปิดประตูรถเล่นอยู่พักหนึ่ง ภายหลังเขาถามว่า

“ในระหว่างนี้ผมไปหาจันทรได้บ้างไหม ไม่ได้พบแก ๔ วันเข้าวันนี้ คิดถึงเหลือเกิน”

วิชัยลงจากรถและปิดประตูดังปังใหญ่ เม้มริมฝีปากนิ่งอยู่จนเดินพ้นโรงรถมาแล้วจึงได้ตอบว่า

“ทำตัวให้มีความอดทนหน่อยซี กำลังอยู่ในระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ จะเอาแต่ใจของตัวฝ่ายเดียวยังไม่ได้....นี่คุณแม่ทำอะไรอยู่รู้ไหม?”

“อบน้ำอบครับ พี่ใหญ่พบจันทรหรือเปล่า?”

“ไม่ได้พบ อยากรู้ว่าช้อยอยู่ที่ไหน”

“ผมยังไม่ได้พบพี่ช้อยเลย แต่เมื่อกี้เห็นยายนิดวิ่งเล่นอยู่ทางหลังเรือน บางทีพี่ช้อยจะอยู่ที่นั่นกระมัง--ทำไมเขาถึงตกใจนักนะ เขาเห็นแปลกหรือที่เรารักกัน เขาไม่อยากยกให้หรือครับ พี่ใหญ่เห็นเป็นยังไง?”

วิชัยสาวเท้าเร็วเข้า “บอกแล้วว่าจับความคิดเขาไม่ได้เลย” น้ำเสียงที่ตอบค่อนข้างกระด้าง “ทำใจเย็น ๆ ไว้ก่อนเถอะน่ะ ทางโน้นเขาคงไม่กระไรนักหรอก สำคัญทางเรามากกว่า แกอย่าลืมคำที่สัญญาไว้กับพี่ ต้องทำให้คุณแม่เห็นแกเป็นคนดีกว่าแต่ก่อน ถ้ามิฉะนั้นเรื่องของเราจะลำบากยิ่งขึ้น”

“กลุ้มใจ!” ชัดบ่นพลางหัวเราะปร่า ๆ “อยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แล้วเราจะต้องเดินไม้ไหน ผมรู้ว่าพี่ใหญ่รับแล้วยังไงเรื่องก็คงสำเร็จ แต่ก็อดใจร้อนไม่ได้”

บุรุษทั้ง ๒ เดินพ้นมุมเรือนมาแล้วเมื่อวิชัยตอบแก่น้องว่า

“เรื่องสำคัญอยู่ที่ตรงคุณแม่ ถึงท่านจะไม่ทำอะไรแกก็ขออย่าให้ท่านลุกขึ้นขวางทางของแกเท่านั้น เราต้องช่วยกันระวังดี ๆ หน่อย”

ในที่นั้นหนูนิดอุ้มตุ๊กตาตัวหนึ่งเดินไปมา และร้องเพลงกล่อมเสียงแจ๋วดังก้องไปทั่วบริเวณ วิชัยเรียกชื่อหลานแล้วก็ถามว่า

“แม่เขาอยู่บนเรือนหรือ?”

หนูนิดหันมามองดู เป็นห่วงน้องสมมุติที่อยู่ในวงแขนว่าจะตกใจตื่น จึงสั่นศีรษะและไม่ตอบว่ากระไร

“คุณช้อยไปบ้านโน้นเจ้าค่ะ” พี่เลี้ยงของเด็กตอบแทน

“เอ๊ะ วันนี้วันพระ เจ้าของบ้านมักไม่อยู่บ้าน ช้อยไปหาใครหรือจะหนีลูกไปเข้าฌานตามเคย” หันมาทางน้องชาย วิชัยพูดสืบไป “พี่จะไปบ้านโน้น”

ชัดพยักหน้าแล้วกลับไปทางเก่า

แต่พอก้าวเท้าล้ำเขตรั้วชบา พระอรรถคดี ฯ ก็มีอาการชะงักและบอกแก่ตัวเองว่า “เราผิดเสียแล้ว !” ทั้งนี้เป็นเพราะแทนที่จะพบน้องสาวคนเดียวดังคาด วิชัยมองเห็นอนงค์ซึ่งนั่งหันหน้ามาทางเขาพอดี

หญิงสาวกำลังอยู่ในท่าฟังอย่างตั้งใจ พอแลเห็นพระอรรถคดี ฯ หล่อนก็เอื้อมมือสะกิดขาช้อยและพูดเสียงดังว่า

“เชิญซีคะ ดิฉันกำลังคิดถึงคุณพระอยู่ทีเดียว”

ช้อยเหลียวไปดู และถ้าวิชัยอยู่ในระยะใกล้กว่านั้นสักหน่อย เขาจะเห็นรอยพิรุธในสีหน้าน้องได้ถนัด อย่างไรก็ตามช้อยได้ส่งเสียงออกไปว่า

“แหม พี่ใหญ่กลับเร็วจริง จะมาหาคุณครูหรือคะ เก้อเป็นคุณอนงค์อีกคนหนึ่งแล้ว”

วิชัยเดินมาใกล้จะถึงเสื่อ ก็ลดตัวลงนั่งพับเพียบอยู่

“ถามข่าว อาหารว่างของดิฉันทำให้คุณพระเดือดร้อนอย่างไรหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวพูดเสียงแจ่มใสตามเคย แต่ดวงตาของหล่อนนั้นจับดูวิชัยอย่างพินิจพิเคราะห์

พระอรรถคดี ฯ ทำสีหน้าให้ชื่นใจแล้วตอบว่า

“ของดี ๆ อย่างนั้นจะทำความลำบากให้ใคร รับประทานอร่อยแล้วก็อิ่มสบาย”

“แต่บางคนรับประทานผิดเวลาละก็มักจะเกิดเหตุนี่คะ”

“เคยเสียแล้วจะเป็นไรไป ฉันเองคืนไหนนอนดึกมักจะต้องรับประทานอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เวลาดึกด้วย ไม่ยังงั้นก็หิว”

“เรื่องละครของคุณพระไปได้ถึงไหนแล้วล่ะคะ?”

วิชัยสั่นศีรษะ “ไม่ค่อยคืบออกไปได้เลย”

“แต่ก็คงไปได้ไม่น้อย พี่ช้อยบอกดิฉันว่าคุณพระทำงานอยู่จนดึกทุกคืน”

ฝ่ายชายเลิกคิ้วและหันไปทางน้องสาว “ทำไมถึงรู้?” เขาถาม

“พิโธ่ !” ช้อยอุทาน น้ำเสียงสนิทสนมเช่นเดียวกับอนงค์ “พี่ใหญ่ถ้าจะนึกว่าดิฉันเหมือนยายนิด ลงได้หลับแล้วหลับเรื่อยจนเช้า เวลาดึกดิฉันตื่นขึ้นเสมอ แสงไฟห้องพี่ใหญ่สว่างออกจ้าจะไม่รู้ยังไง”

พระอรรถคดี ฯ ก้มมองดูหญ้า อนงค์กับช้อยมองสบตากัน ช้อยส่ายหน้า อนงค์พูดขึ้นอีก

“คุณพระเมื่อไรจะพาหนูนิดไปบ้านดิฉันล่ะคะ คอยมาเป็นหลายวันแล้ว ต่อว่าพี่ช้อยก็ว่าไม่สะดวก เพราะคุณพระไม่พาไป”

วิชัยเงยหน้าขึ้นมองดูช้อย ฝืนยิ้มเท่าที่กำลังใจอันเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยจะช่วยให้ฝืนได้แล้วก็ถาม

“จะไปเมื่อไหร่ล่ะ หรือรอให้ช็อกโคเล็ตยายหนูหมดเสียก่อน”

อนงค์หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ “อีกสักกี่วันถึงจะหมดล่ะคะ?” หล่อนถาม

“อีกสัก ๗-๘ วันกระมัง”

“ช้าไปหน่อย” หญิงสาวกล่าว “แต่ไม่เป็นไร ไปช้าดีกว่าไม่ไปเสียเลย ดิฉันมีเรื่องอยากจะถามเพื่อเป็นความรู้ ได้เรียนให้ทราบแล้วไม่ใช่หรือคะ”

พระอรรถคดี ฯ พยักหน้านิดหนึ่งและว่า “แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะถามเรื่องอะไร ควรจะบอกเสียด้วย ก่อนจะไปได้เปิดตำราหาคำตอบไว้”

อนงค์ยิ้มกับเขาอย่างงดงามที่สุดแล้วก็นิ่งอยู่

แต่พอพระอรรถคดี ฯ หยุดพูด อาการยิ้มหัวในสีหน้าซึ่งมีอยู่น้อยที่สุดแล้วนั้นก็อันตรธานไปจนสิ้น ทำให้อนงค์สำนึกได้ว่าวิชัยต้องพยายามฝืนตัวสักเพียงใดอันที่จะพูดเล่นเจรจากับหล่อน ครั้นสำนึกได้เช่นนั้นแล้วไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะกะเกณฑ์--แม้ว่าจะเป็นโดยทางอ้อม-ให้เขาต้องฝืนต่อไป หล่อนจึงขยับตัวคุกเข่าและพูดว่า

“อนงค์จะกลับบ้านเสียที ถ้าอยู่จนค่ำกว่านี้ คุณอามาพบจะถูกดุว่านั่งรถคนเดียวค่ำ ๆ มืด ๆ อีก พี่ช้อยต้องถือว่าเป็นเจ้าของบ้านนี้ไม่น้อยกว่าอนงค์นะคะ มิฉะนั้นอนงค์จะเป็นคนไม่มีกิริยา”

“โอ๊ย พี่ไม่ถือสาอะไรหรอกค่ะ อย่าเกรงใจเลย”

หญิงสาวทำความเคารพลาพี่น้องทั้ง ๒ ไปแล้ว ก็เดินตัดสนามไปขึ้นรถ

ออกมาพ้นบ้านแล้ว อนงค์ขับรถคันน้อยแล่นฉิวไปประดุจลมพัด หลบหลีกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอย่างว่องไวแต่หวุดหวิดอย่างที่จะทำคนขวัญอ่อนให้เป็นลมได้ บัดเดี๋ยวใจก็มาถึงที่อยู่ มองดูนาฬิการถเห็นเวลายังห่างจากชั่วโมงที่เคยบริโภคอาหารค่ำ หล่อนวิ่งขึ้นบันไดตึกด้วยฝีเท้าถี่ยิบ เข้าห้อง ไขกุญแจลิ้นชักหยิบสมุดรายงานประจำวันออกกางบนโต๊ะ ทันใดนั้นตัวอักษรก็ปรากฏเป็นแถวยาวติดต่อกันไปโดยเร็ว

สงสาร ! สงสารคนเคราะห์ร้าย แต่ดีใจที่ดูคนไม่ผิด คุณพระผู้ชำนะในเชิงอรรถ ! ยอดมนุษย์ ! สวยนอก งามใน ! คนอย่างนี้สิเป็นคนแท้ หน้าที่ก่อนอื่น ฉันเป็นพี่ น้องขอให้ช่วยฉันต้องจัดการให้ ถึงจะเท่ากับเด็ดดวงใจฉันก็ทน ยังงี้พี่ช้อยจะไม่รักยังไง ใคร ๆ ก็ต้องรัก ทำไมไม่มีพี่ชายอย่างนี้สักคนอยากให้เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นอะไรเอาทั้งนั้น ขอให้ทำอะไรให้ได้หรือให้ทำอะไรได้ จะรักจะถนอมจะบูชาจะเอาอะไรจะให้หมด จะไม่ขออะไรเลย แม่จันทรโฉมงาม บัดซบอย่างที่สุด บ้าจัง ชัดกับพี่ใหญ่ใครจะเลือกชัด พอดีกันพี่ใหญ่ก็โง่จัง ค่าที่เขารักก็เลยนึกว่าเขาฉลาดเหมือนตัว จันทรท่าทางแกก็บอกว่าหูหนวกตาบอดรักชัดคนสวยคนโก้ ปากหวานเป็นน้ำตาล เมื่อเร็ว ๆ นี้เองยังมานั่งออด เปลี่ยนใจได้ง่ายจริง เคราะห์ดีไม่หลงลมคุณพระใจพระชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เวลานี้เห็นจะกำลังชนะความรักด้วยความไม่รักท่าจะไม่สำเร็จเสียละกระมัง หน้าตาเหมือนคนจวนตาย ทำให้คนอื่นเขาพลอยใจแห้งไปด้วย อยากร้องไห้ !

จบคำสุดท้ายอนงค์ก็ทิ้งดินสอลงมาพร้อมกับถอนใจยาว

ในห้องอันตบแต่งไว้งดงาม มีความมืดครอบงำจัดเข้าทุกที เจ้าตัวแมลงสูบเลือดมนุษย์บินร้องดังหวี่ ๆ ผู้เป็นเจ้าของห้องมิได้เอาใจใส่ หลังพิงพนักเก้าอี้มือกอดอก ตาลอยจับอยู่ที่ขอบฟ้าซึ่งแสงอาทิตย์ยังฉายอยู่สลัว ๆ สมองแล่นกลับไปยังบ้านคุณอา อนงค์นิ่งขรึมอยูในแนวคิดนั้น

วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่สมาคมกันมา ที่ช้อยได้บรรยายสถานการณ์แห่งบ้านที่หล่อนอยู่ให้อนงค์ฟังโดยสิ้นเชิง อุปนิสัยอันแท้จริงของบุคคลสำคัญในบ้านนั้นเป็นอย่างไร อนงค์ก็รู้จบจากคำบรรยายของช้อยรวมกับการวินิจฉัยของหล่อนเอง

“คุณแม่รักชัดเหมือนกับที่พี่รักคุณแม่ และรักพี่เหมือนกับที่ท่านเคยรักคุณพ่อ” นี่เป็นคำตอบของวิชัยที่ให้แก่ช้อยในคราวที่น้องสาวแสดงความเจ็บร้อนแทนเขา และเมื่อช้อยได้ถ่ายทอดคำพูดทั้งประโยคนั้นให้อนงค์ มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า

“พี่ใหญ่รักคุณแม่อย่างทูนหัวทูนเกล้า รักอย่างพระ คุณแม่ทำอะไรไม่ผิด ถึงผิดก็ทำไม่เห็น มีหน้าที่เพียงแต่คอยระวังให้เป็นสุขทั้งกายและใจ ว่าถึงคุณแม่ท่านรักคุณพ่อมาก แต่ท่านไม่เกรงใจคุณพ่อเลย นึกจะเอาอะไรจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ คุณพ่อรักเมียด้วยไม่ชอบเป็นปากเป็นเสียงด้วย ก็เลยเป็นเท้าหลังของเมียอยู่เสมอ ข้างฝ่ายพี่ใหญ่ พอรู้ลักษณะความรักของคุณแม่เสียแล้ว คุณแม่ทำอะไรกับเธอ ๆ ก็ทนได้ ลำเอียงจนคว่ำก็ไม่บ่น เธอถือว่าวาสนาของคนนั้นต่างกัน แข่งอะไรแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ เมื่อเธอถือว่าแม่เหมือนกับพระ หน้าที่ของเธอก็คือเคารพบูชาพระไว้เป็นนิจ คนอื่นใครจะทำอะไรกับเธอหรือกับใครไม่ใช่ธุระของเธอ”

“คุณแม่กับตาชัดมีนิสัยพอ ๆ กัน” คำพูดอีกประโยคหนึ่งที่ออกจากปากช้อย ต่างคนต่างเอาแต่ใจ ต่างคนจึงต่างให้ทุกข์แก่กัน ส่วนพี่ใหญ่เปรียบเหมือนพระพุทธรูป ใครลอกทองจากพระองค์ก็นิ่งให้เขาทำ เพราะฉะนั้นทุกคนต่างก็จะเอาอะไร ๆ จากพี่ใหญ่ แต่ไม่มีใครนึกจะให้อะไรเธอเลย”

พ้นจากนั้นแล้ว ช้อยก็สรรเสริญความดีของพี่ชายต่อไป

ก็ความดีของวิชัยนั้นเป็นอย่างไร?.... แต่พอวิชัยรู้จักพึ่งตัวเอง เขาก็รู้จักทำตัวให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น การบริจาคเป็นกิจสำคัญที่วิชัยไม่เคยท้อถอย กำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังปัญญา กำลังใจ ผู้ใดหวังพึ่งกำลังเหล่านี้ ญาติหรือไม่ใช่ญาติ แม้ว่าออกปากขอและไม่เกินขีดสมควร วิชัยย่อมบริจาคให้โดยไม่ร่ำไร

แต่พอวิชัยรู้จักว่าสิ่งใดเป็นธรรม ธรรมเครื่องให้งาม ๒ อย่างคือขันติและโสรัจจะ ปรากฏแก่ใจเขาแล้ว วิชัยเป็นทั้งผู้อดทนและอดกลั้น อดทนต่อเหตุภายนอก คือความไม่สบายกาย อดกลั้นต่อเหตุภายใน คือความไม่สบายใจ

เมื่อตัวไม่สบายเพราะความป่วยไข้ก็ดี หรือเพราะเครื่องอุปโภคบริโภคไม่เหมาะสมความต้องการก็ดี วิชัยจักแก้ไขก่อน แม้ว่าหากพ้นความสามารถที่จะแก้ได้ วิชัยย่อมไม่แสดงอาการดิ้นรนเดือดร้อนให้เป็นเครื่องรำคาญแก่ผู้อื่น

เมื่อไม่สบายใจ มีความทะยานอยากเกิดขึ้นแก่วิชัยย่อมปรารภแก่ตัวเองว่า สิ่งนั้นที่เราอยากได้เราจักได้ไหมหนอ เพราะเหตุใด?....อ้อสิ่งนั้นไม่เกินความสามารถของเราที่จักได้ ความพยายามของเราที่จะให้ได้และเราได้แล้วจักไม่เบียดเบียนใครแม้ตัวเราเอง เราจักพยายามให้ได้สิ่งนั้น อีกอย่างหนึ่งสิ่งนั้นที่เราอยากได้เกินความสามารถของเราที่จะได้ ความพยายามของเราที่จะให้ได้เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งครั้นแล้วจักเบียดเบียนถึงตัวเราเอง เราเลิกความอยากอันนี้เสียเถิด

เมื่อไม่สบายใจ มีความโกรธเกิดขึ้น วิชัยย่อมปรารภแก่ตัวเองว่า ทำไมหนอเขาผู้นั้นจึงเบียดเบียนเราด้วยถ้อยคำและกิริยานั้น ๆ ?....อ้อเขาโกรธเราเขาประสงค์ให้เราทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้นคิดอย่างนั้น เราปฏิบัติได้ การปฏิบัติของเราจักไม่เบียดเบียนใครแม้ตัวเราเอง ทำไมเราไม่ปฏิบัติเล่า เพราะเราย่อมอยากให้เขาปฏิบัติตามประสงค์ของเราเหมือนกัน เขาประสงค์ให้เราทำอย่างนั้น คิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ เรามาปฏิบัติตามประสงค์ของเขาเถิด อีกอย่างหนึ่ง เขาโกรธเรา เขาประสงค์ให้เราทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น เราปฏิบัติไม่ได้ การปฏิบัติของเราจักเบียดเบียนคนอื่น ซึ่งครั้นแล้วจักเบียดเบียนถึงตัวเราเอง เขาประสงค์ของเขา แต่เราอย่าถือโกรธตอบเขาเลย เพราะเราย่อมอยากให้เขาปฏิบัติตามประสงค์ของเราเหมือนกัน

เมื่อใจไม่สบายเพราะไม่สมหวัง วิชัยย่อมปรารภแก่ตนเองว่าทำไมหนอ สิ่งนั้น (หรือคนนั้น) จึงไม่เป็นหรือไม่ทำตามที่เราคิดเห็น ว่าควรจะเป็น หรือควรจะทำ?....อ้อ สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกตลอดจนมนุษย์มีกรรมเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นขึ้นและเป็นไป ไม่มีอำนาจอย่างอื่นจักบังคับให้เป็นอยู่ยั่งยืนได้ โลกตั้งอยู่ในกฎแห่งความแปรปรวน ในอดีตเป็นอย่างหนึ่ง ปัจจุบันเป็นอย่างหนึ่ง อนาคตจักเป็นอย่างหนึ่งด้วย ทั้งกายทั้งใจเรายึดถือว่าเป็นของเรายิ่งเสียกว่าสิ่งอื่น เรายังบังคับให้เป็นขึ้นเป็นอยู่และเป็นไปตามที่เราประสงค์ไม่ได้เสมอ สิ่งอื่น (หรือคนอื่น) หรือจักเป็นขึ้นเป็นอยู่เป็นไปตามใจเราประสงค์ เราอย่ายึดเอาสิ่งนั้น (หรือคนนั้น) มาเป็นเครื่องเศร้าหมองแก่ใจของเราเลย

เมื่อวิชัยใช้อุบายดังกล่าวนี้เป็นปัจจัยให้มีขันติมั่นอยู่ในสันดานได้แล้ว โสรัจจะ คือความประหยัดในการกระทำการพูดการคิดก็เกิดขึ้นในสันดานเขาด้วยพร้อมกัน

แต่พอวิชัยรู้จักสิ่งใดเป็นความผิด เขาก็รู้จักอภัยความผิดของผู้อื่น ให้มีผู้มาเล่าแก่วิชัยว่า หญิงคนหนึ่งคบชู้วางยาพิษสามี ความผิดอุกฤษฎ์ เห็นปานนี้ วิชัยจักหาข้อแก้แทนจนบรรเทาผิดหนักให้เบาลงได้ อย่างน้อยที่สุดให้หญิงนั้นต้องความปรักปรำน้อยลง จริงอยู่สามีถูกวางยาหาใช่ตัวเขาไม่ แต่มนุษย์เป็นส่วนมากถือความผิดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารอันโอชะสำหรับปากที่อยู่ไม่สุข และสำหรับใจที่ประสงค์จะเร้นความชั่วของตัวด้วยความชั่วของผู้อื่น เมตตาจิตที่มีต่อหญิงนั้นจึงเป็นข้อควรสังเกตอยู่ไม่น้อย

ความจริงนั้น พระอรรถคี ฯ มีหลักอยู่ในใจว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามเมื่อดวงจิตยังไม่ขาดจากกิเลสก็ย่อมจะมีเวลาทำผิดทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะเหตุฉะนั้น ถ้าแม้ว่ามนุษย์จะคอยเฝ้าทับถมความผิดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็จักเป็นที่น่าอเน็จอนาถนัก

เมื่อบุรุษหนึ่งมีใจเปี่ยมอยู่ด้วยธรรมตามที่พรรณนามา เขาจักประกอบกรรมอันใดหรือที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เพื่อนมนุษย์ และอาศัยเหตุนี้ ประวัติของวิชัยเท่าที่อนงค์ได้ฟังจากปากช้อยจะไม่เป็นเรื่องที่เร้าใจให้เกิดความเลื่อมใสในตัวเขาอย่างแก่กล้ากระไรได้

อีกตอนหนึ่งช้อยเล่ามีใจความว่า

ในหน้าที่ผู้พิพากษา วิชัยได้ออกรับราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วพระราชอาณาจักร ยังไม่มีหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดที่วิชัยมิได้ตรารอยงานในความเที่ยงธรรมและความโอบอ้อมอารีไว้ให้ เพื่อนฝูงที่คบกับวิชัยแล้วไม่เคยมีใครตีตัวออกห่าง ความ ๒ ข้อนี้ที่ช้อยวินิจฉัยโดยเสียงโจษอันมาจากที่ต่าง ๆ ทั้งที่ใกล้ที่ไกล และเมื่อพิเคราะห์ดูโดยปราศจากฉันทาคติ ช้อยก็ยืนยันซ้ำว่าเสียงเหล่านั้นมิใช่เสียงยอหรือเสียงแห่งความเกรงใจ หากเป็นเสียงแห่งความจริงซึ่งจะคัดค้านมิได้

เนื้อความนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่า ทุก ๆ วาระแห่งการเคลื่อนไหวของพระอรรถคดี ฯ ตั้งแต่ออกนอกบ้านตลอดจนถึงในห้องนอน ย่อมเป็นไปโดยผู้ทำนึกถึงความสุขของผู้อื่นก่อนความสุขของตัวเป็นนิจ

ค่ำวันนั้นอนงค์มีพี่ชายรับประทานอาหารร่วมด้วยเพียง ๒ คนคือสมพงศ์กับประสิทธิ์ เมื่อได้พูดกันถึงเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องนักหนาแล้ว ในที่สุดอนงค์จึงบอกแก่สมพงศ์ว่า

“ชัดเขาหาคู่ได้แล้วยังไงล่ะคะ?”

สมพงศ์เลิกคิ้วมองดูน้องด้วยความพิศวง ประสิทธิ์ “ฮี ขึ้นในทันใดและว่า

“แม่..คนสวยนั่นแหละ คุณสมพงศ์ไม่ฮี่ ๆ ทัน”

“ทายแม่นจริง !” อนงค์กล่าวพลางยิ้ม “ทำไมถึงรู้ล่ะคะ?”

ประสิทธิ์โยกตัวบนเก้าอี้หลายครั้งก่อนที่จะ “ฮี่” และตอบว่า

“พี่เห็น”

สมพงศ์ยังไม่ปริปากพูด อนงค์พิศดูหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความกังวลเล็กน้อย

“พี่สมพงศ์เสียดายมากหรือคะ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจาน สายตามองสูงในท่าตรอง เขาตอบว่า

“พี่กำลังใคร่ครวญว่าตาชัดโง่หรือฉลาด กำลังเปรียบเทียบน้องหญิงของพี่กับนางสาวจันทร”

คิ้วอนงค์ขมวดเข้าหากัน หัวเราะห้วน ๆ และว่า

“อย่าให้เราต้องเสียสมองไปเพราะเรื่องนี้เลยค่ะ อนงค์ถามหมายความถึงว่าพี่สมพงศ์เสียดายผู้หญิงคนนั้นมากหรือต่างหาก”

“อ๋อ เปล่า !” ผู้เป็นพี่ตอบโดยเร็ว “พี่คิดว่าอนงค์ถามถึงตาชัด อันที่จริงพี่เสียดายตาชัดอยู่บ้าง พี่ชอบอัธยาศัยแกสนุกกว้างขวางฉลาด สำหรับจันทรพี่จะเสียดายอะไรกับเขา เห็นเขาสวยก็ชมไม่ทันได้นึกรักใคร่อะไรนี่”

อนงค์พับผ้าเช็ดมือใส่ปลอก และพยักชวนพี่ให้ลุกจากโต๊ะ ในระหว่างที่เดินออกจากห้องรับประทานอาหารสมพงศ์ถามขึ้นว่า

“อนงค์รู้มาอย่างไรว่าชัดกับจันทรเขาชอบกันหรือเขารักกันมานานแล้ว !”

“ยังไงก็ไม่ทราบ อนงค์เพิ่งรู้จากพี่ช้อยวันนี้เอง”

เขาอ้าแขนโอบสะเอวหล่อนไว้แล้วถามเบา ๆ

“น้องของพี่รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

ทายความคิดของเขาได้ถนัด อนงค์จึงเบนตัวหนีและผลักแขนเขาโดยแรง

“อนงค์ไม่เคยรักชัดนะคะ” หล่อนว่า “พี่สมพงศ์อย่าคิดอะไรให้มากไป”

สมพงศ์ยิ้ม “พี่เชื่อ” เขาตอบเรียบ ๆ เดินห่างจากน้องไปหยิบบุหรี่สูบ

อีกขณะหนึ่งต่อมาเขาพูดขึ้นว่า

“คนหนุ่มที่โก้ ๆ หลายคนพากันมาหมอบ หรือเตรียมจะหมอบอยู่แทบฝ่าเท้าอนงค์ เป็นที่รู้กันอยู่ละว่าน้องของพี่ไม่มีไมตรีจิตตอบเขาแต่สักคน เดี๋ยวนี้พี่อยากรู้ต่อไปอีกสักหน่อยว่า น้องของพี่จะครองตัวเป็นโสดไปจนตายหรือจะไม่รู้จักรักรู้จักสงสารผู้ชายคนไหนบ้างหรืออย่างไร?”

หญิงสาวใช้ปลายเท้าเขี่ยกระดาน และตอบโดยไม่เงยหน้า

“น้องของพี่เห็นจะรักแต่คนที่เขาไม่รักตัว”

“เอ๊ะ” สมพงศ์ร้อง “อย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นสิน่า พี่ออกตกใจเสียแล้ว”

อนงค์หัวเราะดัง แต่กังวานไม่แจ่มใส “โดยมากเรื่องมักเป็นเช่นนั้นนี่คะ” หล่อนว่า “ใครเขารักเราต้องไม่รักตอบ แล้วไพล่ไปรักคนที่เขาไม่รักตัวถึงจะสนุกไม่ยังงั้นก็ไม่แปลก”

พูดแล้วโดยไม่มีความตั้งใจอะไรพิเศษ หล่อนเดินเฉียดประสิทธิ์ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมและเป็นเงางามอันเป็นที่รองแจกันลายครามอย่างเก่า ชายหนุ่มฉวยข้อมือหล่อนไว้ด้วยมือซ้าย มือขวาชี้ให้ดูรอยที่เขาวาดขึ้นบนโต๊ะนั้นโดยอาศัยความชื้นแห่งปลายนิ้วมือ อนงค์จึงมองเห็นตัวอักษรปรากฏอยู่ ๒ ตัวคือ ว.ช.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ