รถดอดจ์เก๋งของนายสมพงศ์ กลับถึงบ้านเมื่อเวลาเที่ยงคืนล่วงแล้ว คนใช้หน้าตาบอกอาการว่าง่วงนอนเต็มทีแต่ท่าทางไม่มีอาการงัวเงียวิ่งลงมาจากตึกใหญ่ตรงเข้าไปเปิดประตูให้ สมพงศ์ก้าวลงจากรถเหยียบขึ้นบันไดหินอ่อนแล้วก็เดินเลยขึ้นไปชั้นบน

ไฟฟ้าในรถเก๋งยังเปิดอยู่ คนใช้มองเห็นประสิทธิ์นั่งคอตกหลับตาอยู่ ก็พึมพำว่า “เอาอีกแล้ว !” พลางเข้าไปเขย่าขาโดยแรง

“คับ คาบ !” ประสิทธิ์พึมพำเบิกตาอันแดงก่ำขึ้นครึ่งหนึ่ง “ผมเฝ้า ผมอยู่ ราช-วงศ์-ดำ-เนิน-รึ?-อย่า-นาน-นัก-ฮี่-ยุงกัด” แล้วก็หลับต่อใหม่

“ท่าจะต้องแบกกันอีก” คนใช้บ่นเกือบเต็มเสียงเขย่าขานายอย่างไม่ปรานี “นี่บ้าน ไม่ใช่ราช-ฮึ่ม ! ความที่เคยจนติดปาก-ลงมา-ลงมา” พูดแล้วก็ก้าวขาขึ้นบนรถข้างหนึ่ง ทั้งฉุดทั้งผลักทั้งลากทั้งเข็นคนที่กำลังหลับเอาตามกำลัง จนในที่สุดร่างอันผอมบางเหมือนไม้ขีดไฟก็สถิตบนบ่าแห่งร่างที่ล่ำสันแข็งแรง ถูกความแข็งแรงแห่งร่างนี้แบกพาหัวฟัดหัวเหวี่ยงขึ้นบันไดรวม ๒๗ ขั้นไปจนได้

ฝ่ายสมพงศ์เมื่อถึงห้องนอนแล้ว ก็ใช้เท้าเขี่ยคนใช้ผู้ชายที่นอนหลับอยู่หน้าเตียงให้ลุกขึ้น หลังจากนั้นเขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ เหยียดเท้าไปข้างหน้าผิวปากพลางมองดูคนใช้ถอดรองเท้าถุงเท้าให้ตน เขาหยุดชะงักกลางจังหวะ แล้วถามขึ้น

“ใครกลับบ้านแล้วบ้าง?”

“กลับหมดแล้วครับ นอกจากคุณแสวง”

“อ้อ คืนนี้ตาจำลองกลับบ้านแต่หัวค่ำ อนงค์กลับมานานแล้วหรือ?”

“เห็นจะไม่นานดอกขอรับ คุณผู้หญิงกลับมาประเดี๋ยวผมก็นอน ผมหลับไปได้หน่อยคุณก็มาถึง”

“เอาเกือกแตะมาให้ข้า” สมพงศ์สั่ง ครั้นสวมรองเท้าแล้วเขาก็ออกจากห้อง เดินเลี้ยวไปตามเฉลียงทั้งสั้นยาวหลายเฉลียง จนถึงห้องหนึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของตึก หยุดยืนอยู่ตรงประตูห้องนั้น สังเกตดูตามช่องลมเห็นแสงไฟสว่างเป็นนวล จึงยกมือขึ้นเคาะประตู ๒ ครั้ง

เสียงฝีเท้าเบา ๆ เข้ามาใกล้ประตู แล้วเสียงผู้หญิงถามออกมาว่า

“พี่คนไหนเอ่ย?”

“ทายซีเอ่ย” สมพงศ์กระซิบกรอกช่องกุญแจเข้าไป

เสียงฝีเท้าถอยห่างจากประตู เงียบหายไปครู่หนึ่งแล้วจึงกลับมาใหม่ คราวนี้เสียงหัวเราะอย่างผู้มีชัยระคนกับคำพูดว่า

“ทายถูกจะให้อะไรเอ่ย?”

“ช็อกโคเล็ตเอ่ย !”

เสียงหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเสียงถอดกลอนประตู และเสียงพูดว่า “พี่สมพงศ์เอ่ย” แล้วแขนอันขาวและนุ่มก็สวมกอดคอสมพงศ์ไว้

“อนงค์กำลังจะเข้ามุ้งเชียว” หญิงสาวพูดเมื่อจูงมือพี่ชายเข้าในห้องแล้ว “อ้อ นี่เสื้อนอนตัวใหม่ของอนงค์ยังไงล่ะคะ จำแพรนี่ได้ไหม ใครให้เอ่ย”

สมพงศ์ยิ้มอย่างแจ่มใส มองดูน้องทั่วร่างแล้วดึงตัวเข้ามาใกล้ กระซิบอย่างจะบอกความสำคัญ “นี่อะไรเอ่ย?” พร้อมกันนั้นเขาจับผมอนงค์ทางเบื้องหลัง ตรงที่หล่อนใช้คีมเย็นขมวดไว้เป็นก้อน ๆ

“อื้อ ! อย่าน่า !” หญิงสาวร้องและทำท่านิ่วพลางเบนศีรษะหนี “เขายิ่งอายอยู่ ก็อยากมาหาเขาเวลาจะนอนทำไมล่ะ”

สมพงศ์รีบปล่อยมือจากผมน้อง แล้วว่า

“อายทำไม ไม่เห็นจะน่าอายอะไรนี่-หนังสนุกไหม?”

“ไม่เลวค่ะ อนงค์ชอบเจ้าพระเอก เป็นทนายความว่าความดีเหลือเกิน คิดถึงพี่สมพงศ์จัง”

“กลับจากดูหนังแล้วไปไหนอีกหรือเปล่า?”

“ราชวงศ์ตามเคย ไปส่งชัดตามเคย แล้วก็กลับบ้านตามเคย”

“ดีไหม?”

“อะไรคะ?”

“ไปเที่ยวกับตาชัด ๒ คน”

“๒ เมื่อไร คนรถด้วย”

“ก็คล้าย ๆ กันน่ะแหละ ดีไหมล่ะ?”

อนงค์ทำปากยื่น

“ก็ยังงั้นแหละ ชัดไม่ชอบเจ้าทนายความ บอกว่าพูดเสียงไม่ดี เล่นก็ไม่ดี ยังงั้นเสมอแหละ ชัดดูอะไรไม่เห็นเป็น ดีแต่เล่นกอล์ฟเก่งเท่านั้น อนงค์คิดถึงพี่สมพงศ์ถ้าไม่ติดเลี้ยงตาบ้านั่นก็จะได้ไปดูด้วยกัน”

“พี่ก็ได้พบของดี”

“อะไรคะ?” หญิงสาวถาม ความอยากรู้ปรากฏอยู่ในแววตา

“ได้ไปพบและคุยกับหลวงอรรถคดีวิชัย”

“ใครก็ไม่รู้ !”

“พี่ชายตาชัดยังไงล่ะ”

“อ๋อ ! หรือคะ? พี่สมพงศ์ได้พบพี่ใหญ่ของชัด ! ที่ไหน?”

“ที่เง็กฮวยเหลา”

“ท่าทางเป็นอย่างไรคะ?”

“ท่าทาง?” สมพงศ์ทวนคำพลางยิ้ม “ก็เหมาะกับพวกเพื่อนของเขาทั้งหมดที่พี่ไปพบมาวันนี้” เว้นระยะหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดสืบไป “จะเปรียบกับตาชัดของเราหรือกับพวกเรา ๆ น่ะไม่ได้แน่”

“ขุนนางบ้านนอก” อนงค์จีบปากว่า

“น้อยที่สุด แทบจะจับไม่ได้ เกือกไม่ใช่เกือกยางถุงเท้าไม่ย่น ผ้าม่วงไม่กระตุกสั้นข้างยาวข้าง....”

“แต่?”

สมพงศ์คิดอย่างตั้งใจ แล้วสารภาพ

“ไม่มีแต่”

อนงค์หรี่ตาเล็กน้อย ใจคิดถึงสีหน้าหลวงอรรถคดี ฯ เมื่อนั่งรถไฟมาด้วยกันกับหล่อน แล้วตัดสิน

“แต่หัวคิดครึที่สุด !”

“ตาชัดบอกหรือ?”

“เปล่า !” เปลี่ยนเสียงเป็นเสียงหนักแน่นจริงจัง “ก็อนงค์เห็นแล้วนี่นา ยังมาเล่าให้พี่สมพงศ์ฟังเลย”

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วพูดพลางยิ้ม

“หวังว่าแกจะรู้จักใช้มีดกับส้อม ถ้ามิฉะนั้นจะลำบากแก่อนงค์ เมื่ออนงค์เป็นน้องสะใภ้แกแล้ว พี่คิดว่าจะเชิญแกมาดินเนอร์ที่บ้านเราสักหนหนึ่ง เป็นการสอบความรู้ของแกเชิงสมาคม เผื่อยังไงจะได้จัดการสอนแกเสียแต่ต้นมือ”

อนงค์หัวเราะอย่างขบขันแล้วถามว่า

“ก็ไปกินเลี้ยงมาด้วยกันแล้ววันนี้ ไม่เห็นดอกหรือคะว่าแกกินเท่าไร”

“ใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่วที่สุด พูดน้อยที่สุด หัวเราะเก่งที่สุด กับมีข้อสังเกตอยู่ข้อหนึ่ง” เสริมต่อพลางหัวเราะอย่างขบขัน “เราแวะที่ราชวงศ์แกอุตส่าห์ซื้อลูกพลับ ๔ ลูกหอบไปฝากแม่แก เพราะแม่แกชอบมาก”

อนงค์ยกมือปิดปากหาวแล้วถามเนือย ๆ ว่า

“เท่านี้แหละหรือของดีที่พี่สมพงศ์ไปพบ”

แทนคำตอบสมพงศ์พูดว่า

“พี่จะเชิญหลวงอรรถ ฯ มากินข้าวบ้านในวันสองวันนี้”

น้องสาวของเขาหาวอีก

“ตามใจเถอะค่ะ จะเชิญใครมาก็ อนงค์ง่วงจัง” หาวอีกเป็นครั้งที่ ๓ “อย่าลืมช็อกโคเล็ตนาคะพรุ่งนี้”

สมพงศ์ไม่อิดออดจูบลาน้องสาวก็ออกจากห้องไป

อนงค์ปิดประตูใส่กลอนเสียตามเดิม แล้วเดินไปยังไกไฟฟ้า ยกมือจะกดไกลง แล้วกลับชะงักหันมานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบสมุดจดหมายเหตุประจำวันออกมาเปิด จรดปลายดินสอลงยังบรรทัดสุดท้ายต่อจากตัวอักษรซึ่งรอยดินสอแสดงว่าได้เขียน ไว้ยังไม่ข้ามคืน

“พี่สมพงศ์ไปพบ “พี่ใหญ่” พี่ใหญ่ของชัดในอนาคต ตามความเห็นของพี่สมพงศ์---ใครจะรู้? เมื่อตัวของตัวเองยังไม่รู้”

พลิกหน้ากระดาษย้อนหลังมา ๒-๓ หน้า อนงค์อ่านข้อความต่อไปนี้

“--เสียแรงตั้งใจคอยดู คิดว่าจะเหมือนชัด อันที่จริงควรจะเป็นคนสวยเก๋ แว่นตาดำก็ทำให้ขำขึ้น แต่ไม่ไหว ตื่นเหมือนควาย ช่วยกันหาเรื่องให้พูดแทบตายไม่พูดด้วยสักคำ บ้าจัง ! คนอย่างนี้ไม่--”

พอได้ยินเสียงรถยนต์หยุดที่หน้าตึกอีกคันหนึ่ง อนงค์ลุกขึ้นไปเยี่ยมหน้าต่าง ครั้นแล้วกลับมาที่โต๊ะเขียนหนังสือเก็บสมุดเข้าลิ้นชักโดยด่วน ใส่กุญแจยังไม่ทันเรียบร้อยดี หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินโดยแรงใกล้เข้ามาทางห้องจึงวิ่งไปปิดไฟฟ้าเสียทันที แต่ช้าไปเสียแล้ว เสียงคนพูดอยู่ตรงประตูห้องว่า

“พอพี่มาก็หนีนอนเทียวนะ”

อนงค์เชิดริมฝีปากขึ้นจนชิดปลายจมูก ค่อย ๆ เปิดไกไฟฟ้าใหม่ ถอดกลอนประตู แล้วโดยไม่พูดว่ากระไรหมด หล่อนจับมือผู้ที่ยืนรออยู่ข้างนอก จูงเข้ามาข้างในปล่อยให้เขายืนอยู่ตรงกลางห้อง ตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วจึงลากเสียงพูดว่า

“เล่าไป”

“สงัดหัวเสียใหญ่” นายแสวงเอ่ยขึ้นโดยเร็วทันใจ “กับข้าวก็อร่อย หนังก็สนุก เสียดายเหลือเกินน้องไม่ได้ดู พ่อสงัดบ่นกลุ้มอยู่ตลอดเวลา บอกว่ามาช้าไป ๑๕ นาทีเท่านั้น”

“มาเร็วเท่าไรอนงค์ไปด้วยไม่ได้ เพราะนัดกับชัดไว้เสียแล้วตั้งแต่บ่าย”

“นั่นน่ะซี แกถึงยิ่งหัวเสียจัด เพราะว่าตอนกลางวันแกถูกไอ้เครื่องโทรศัพท์บ้าทำเหตุเสีย บ่นหน่อยโทรศัพท์มาอีก ไม่มีใครรับ พ่อเจ้าประคุณบ่นไม่รู้จักแล้วจักรอดเลย แกบอกว่าหนังดีอย่างนี้อนงค์ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปเสีย คืนนี้เป็นสุดท้ายที่จะฉายเสียด้วย”

“หนังที่ชัดพาอนงค์ไปดูก็ดีเหมือนกัน”

“ดี พี่ดูแล้วเหมือนกัน แต่สู้เรื่องที่พี่ดูเมื่อคืนไม่ได้ เรื่องที่แกดูมันเหยาะแหยะไป เป็นเรื่องเจ้าหนายความหนุ่มคนหนึ่งเล่นเป็นพระเอกใช่ไหมล่ะ”

“ค่ะ แหมดีจัง อนงค์ชอบน้ำใจพระเอกเสียเหลือเกินเล่นก็ดี แต่ชัดไม่ชอบ”

“เหย ! อย่างเจ้าชัดจะดูอะไรเป็น ไม่ใช่ทหารมันก็ไม่ชอบเท่านั้น พี่เกลียดนัก คนที่เข้ากับตัวเองจนอะไรที่ไม่ใช่พวกตนเป็นใช้ไม่ได้เสียหมด” หยุดพูดหยิบบุหรี่ออกจุดแล้วกล่าวต่อไป “แม่กับพี่สาวสงัดเขาก็ไปดูหนังเหมือนกัน”

อนงค์ยิ้ม รอฟังเขาพูดต่อ ครั้นแสวงไม่ต่อหล่อนจึงถามว่า

“แล้วน้องคุณสงัดล่ะคะ?”

แสวงสั่นศีรษะแล้วถอนใจ

“ไปแต่สำอาง พยอมเผอิญไม่ได้ไป เคราะห์พี่ไม่ดี คุณหญิงรานรอน ฯ ใจดีเหลือเกิน ทักทายพี่อย่างอ่อนหวานที่สุด แรกไปถึงนั่งอยู่ไกลกัน อุตส่าห์เรียกแล้วเรียกอีกให้เข้าไปใกล้ ๆ ถามถึงน้องถึงพี่เราทุกคนว่าทำไมพี่ไม่พาอนงค์ไปเที่ยวบ้านท่านอีก จะได้ไปดูกระต่ายที่เจ้าคุณได้มาใหม่ ๆ หลายตัว ความโอบอ้อมอารีเป็นที่หนึ่ง น่ารัก....”

“เสียแต่ถือธรรมเนียมอย่างแปลก และป่าเถื่อนเกินไป” อนงค์ขัด

“ในข้อที่ไม่ยอมให้น้องแต่งงานก่อนพี่น่ะหรือ?”

“ค่ะ และเผอิญพี่ ๓ คนก็ดูไม่ได้สักคนเสียจริง ๆ ตรงกันข้ามกับน้องคนเล็ก”

“พี่เชื่อว่าแกคงจะเปลี่ยนใจ ละธรรมเนียมนี้สักวันหนึ่ง ในเมื่อแกรู้แน่ว่าถ้าขืนรอจะให้พี่สาวแต่งงานเสียก่อน ลูกสาวคนเล็กจะต้องอยู่เป็นสาวทึมทึกเหมือนพี่สาวอีก ๒ คน ข้อสำคัญจะต้องมีคนเกลี้ยกล่อมให้แกเข้าใจว่าธรรมเนียมที่แกถืออยู่นั้นมันป่าเถื่อน และเกินสมัยเต็มทีแล้ว”

“ก็พี่แสวงทำไมไม่ชี้แจงล่ะคะ”

“พี่ทำไม่ได้ เพราะว่าตัวพี่มีส่วนได้เสียอย่างสำคัญน่ะซี แต่อย่างน้องถ้าเมื่อไรเป็นลูกสะใภ้แกแล้ว พี่เชื่อว่าชี้นกต้องเป็นนก ชี้ไม้ต้องเป็นไม้ทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้ยังรักนักรักหนา คอยชมโน่นชมนี้ ไม่เคยปริปากขอดค่อนเลย คนที่เขาคอยจะรักเราอยู่เช่นนี้ได้เขาเป็นแม่ผัวก็เท่าได้ขึ้นสวรรค์ เป็นที่พึ่งได้เทียวแก ถึงยังจะเกเรหน่อยก็ไม่กล้าทำอะไรเรา เกรงใจแม่ตัวเอง”

อนงค์หัวเราะกิ๊ก แสวงจึงหยุดพูด จ้องดูหล่อนแล้วถาม

“หัวเราะอะไร? ไม่เห็นมีอะไรน่าขันที่ตรงไหน?”

“ก็จะไม่น่าขันอย่างไร !” อนงค์ตอบเสียงเรียบ ๆ ใจนึกถึงพี่ชายใหญ่ยิ่งทำให้อยากหัวเราะมากขึ้น แต่ปากหล่อนนั้นพูดว่า “พี่แสวงคิดไกลเหลือเกิน”

“มันเป็นเรื่องที่น่าคิด” ชายหนุ่มกล่าวแล้วเลยออกเดินกลับไปมาอยู่ในห้องนั้น “ลองนึกดูทีหรือ ผู้หญิงที่แต่งงานไปน่ะ มีสักกี่คนที่เป็นสุขพร้อม บางคนได้ผัวดี แม่ผัวเกะกะ บางคนแม่ผัวดี ผัวระยำเอง แต่อย่างสงัดยังงี้แม่เขาก็ดี ตัวเองก็ดีแสนดี เงินก็มีมากความรู้ก็สูง แล้วก็รักแกจริงจริ๊ง พี่เห็นคนรักผู้หญิงมาหนักแล้ว ดูไม่คลั่งบ้าเหมือนสงัดเลย แกเห็นดีหมดทุกอย่าง ใครขืนติอะไรน้องข้า พ่อเถียงคอเป็นเอ็นทีเดียว นั่งก็สวย ยืนก็สวย เดินก็สวย ทำอะไรก็สวยหมด แม่ของเขาก็รักแกอย่างใจจริง แล้วแกไม่แต่งงานกับสงัดจะคอยหาเทวดาที่ไหนอีก”

“นอกจากนั้นยังมีน้องสาวสวยที่พี่แสวงอยากได้อีกเล่า” อนงค์คิดดังนั้นนัยน์ตาหล่อนจึงเยิ้มด้วยอาการยิ้มอย่างขบขัน จนแสวงรู้สึกสนเท่ห์ แต่อนงค์มิได้รอให้เขาถาม หล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ดีแล้วค่ะมะรืนนี้อนงค์จะไปเที่ยวกับสงัด ไม่ว่าแกจะพาไปไหนจะไปด้วยทั้งนั้น พี่แสวงบอกแกด้วยซีคะ”

“มะรืนนี้? ทำไมพรุ่งนี้แล้ว?”

“พรุ่งนี้อนงค์เล่นกอล์ฟตอนบ่าย แล้วคงง่วงนอนแต่หัวคำขี้เกียจจะต้องตาปรืออวดคนที่เขาพาเราไป”

“ตกลง พี่จะบอกเขา อย่าเหลวนะ” เว้นระยะนิดหนึ่ง “ยังไงให้ได้ใส่แหวนหมั้นมาอวดพี่ได้ยิ่งดี”

“แหม ! อย่าให้เร็วนักเลยค่ะ” เริ่มหาว “ช้า ๆ ได้พร้า ๒ เล่มงาม”

แสวงหัวเราะในลำคอ “แกจะให้ช้าไปถึงไหน?” เขาว่า ๓ เดือนแล้วยังไม่พออีกหรือ พิโธ่ ไม่เห็นอกผู้ชายมั่งเลย ยังงี้ก็ตายน่ะซี เห็นเขารักมากยิ่งเล่นตัว”

อนงค์หาวครั้งที่ ๒ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ให้ผู้ชายเห็นอกผู้หญิงบ้างซี” หล่อนพูดออด ๆ “หลายคนนักไม่รู้จะเลือกคนไหน”

“เชื่อพี่เถอะน่า อย่าโง่ไปหน่อยเลย ไอ้คนที่เป็นทหารน่ะใช้ไม่ได้ มันไม่รู้เรื่องอะไรนอกจากเรื่องรบ”

เห็นน้องหาวเป็นคำรบ ๓ แสวงจึงว่า

“เอ๊ะอะไรหาวเอา หาวเอา ง่วงจริง ๆ หรือ”

“โธ่ ถามได้ อนงค์ว่าแล้วยิ้ม” เกือบตี ๒ แล้วนะคะ”

“ยังงั้นเชียวหรือ? พี่ไปละ เอ้านี่ของฝาก” พูดพลางหยิบห่อช็อกโคเล็ต ๓ เหลี่ยมขนาดใหญ่จากกระเป๋าเสื้อ

“ของพี่แสวงหรือของคุณสงัดคะ?” อนงค์ถาม

“ของพี่ ตาสงัดแกจะรู้อะไร แกเข้าใจว่าถ้าจะให้อะไรน้องจะต้องซื้อจากห้างหรู ๆ เป็นของงาม ๆ ราคาแพงถึงจะสม”

“ถ้าเช่นนั้นคุณสงัดก็ยังดีสู้พี่แสวงของน้องไม่ได้” อนงค์พูดแกมหัวเราะ แล้วหล่อนเขย่งตัวขึ้นจูบเขาที่แก้มครั้งหนึ่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ