๓๒

เวลาเย็น ดวงอาทิตย์ลอยต่ำเสมอยอดไม้ รัศมีสีทองสุกฉายจับท้องฟ้า ทอแสงสีนวลเข้าทางหน้าต่างห้องเป็นทางยาวทำส่วนของห้องด้านที่มีเตียงตั้งอยู่ให้สว่างกว่าทางอื่น นอกจากคนไข้ที่นอนนิ่งสนิทยังมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย ๒ คน คือนางศรีวิชัย กับช้อย ขวดและกล้องยานัตถุ์ กระโถน หีบเครื่องเย็บ ฯลฯ ที่วางอยู่รอบข้าง แสดงว่า ๒ แม่ลูกคงจะได้นั่งในห้องนี้นานนับเวลาเป็นชั่วโมง

หญิงอีกคนหนึ่งคลานเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง และพูดกับสตรีในวัยสาวใหญ่ด้วยเสียงกระซิบ ผู้มีอาวุโสกว่ามองดูด้วยความอยากรู้และถามว่า

“นังแจ้งมาว่ากระไร ?”

“มาบอกว่าอนงค์มาค่ะ เวลานี้อยู่ข้างล่าง”

คุณนายชื่นทำท่าพิศวง ช้อยถามท่านว่า

“คุณแม่ยังไม่มีธุระอะไรไม่ใช่หรือคะ ดิฉันจะไปพบกับอนงค์สักประเดี๋ยว ?”

มารดาของหล่อนพยักหน้า ช้อยจึงย่องออกมานอกห้อง ลงบันไดไปชั้นล่างโดยเร็ว

พบอนงค์ยืนอยู่หลังห้องรับประทานอาหาร กำลังมองดูสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างสนใจ เมื่อหล่อนทั้ง ๒ มองเห็นกันก็ตรงเข้าจับมือจับแขนทักทายกันอย่างดีเนื้อดีใจ

“แหมเธอเข้ามาทางหลังบ้านเสียด้วย” ช้อยกล่าว “สกปรกออก อย่างนี้พี่ขายหน้า”

“พิโถ่ ! เห็นอนงค์เป็นคนอื่นไปได้ อนงค์เข้ามาตามทางที่พี่ประสิทธิ์บอกยังไงล่ะคะ”

“อ้อ คุณประสิทธิ์เข้ามาทางนี้ มิน่าล่ะไม่พบใครจนขึ้นไปข้างบน เผอิญไปพบเอาคนบ้าที่สุดเข้าด้วย ไอ้บ๋อยของพี่ใหญ่น่ะ คุณประสิทธิ์โกรธใหญ่ไหม บ่นว่ากระไรหรือเปล่า ?”

อนงค์หัวเราะแล้วบอกตามตรง

“เธอบอกว่า พบเจ้าคนใช้ที่มีกิริยาเลวทรามมาก ใช้คำแทนชื่อทุก ๆ คนว่ามัน”

“จริงของแก สอนเท่าไรก็ไม่จำ เวลาใจดีมันก็รู้จักพูดท่านพูดเธอ แต่พอโมโหขึ้นมามันมันจนกระทั่งนายของมันเอง วันนั้นมันก็เอาหมอให้คุณประสิทธิ์ฟังแล้วมันก็เอาคุณประสิทธิ์เข้าด้วย พี่โมโหจะตายเกือบจะเขกหัวเอาแล้ว แต่ยังเกรงว่าเป็นเวลาต่อหน้าคุณประสิทธิ์”

“คุณแม่ของพี่ช้อยท่านอยู่ไหนค่ะ พาอนงค์ไปหาท่านเสียก่อนเถอะ ?”

“คุณแม่เฝ้าพี่ใหญ่อยู่ในห้องข้างบน”

“อาการคุณพระเป็นอย่างไร ดีขึ้นกว่าเมื่อวานบ้างไหม ?”

“ก็ดีขึ้นหรอก คือว่านอนนิ่ง ๆ เกือบจะไม่ได้เพ้อเลย หมอว่าหลับสบาย แต่พี่สงสัยว่าเธอซึม คอยดูคืนวันนี้อีกคืนหนึ่ง ถ้าไม่ได้สติเราจะต้องเปลี่ยนหมอใหม่ ไม่ไหวละเธอ ๕ วันเข้าวันนี้แล้ว จะปล่อยให้เธอเป็นคนไม่ได้สติอยู่เรื่อย ๆ ยังไงได้ ความจริงวันนี้ปรอทลดเกือบถึงขีดปกติแล้ว ควรจะรู้สึกตัวบ้างซี นี่อะไรหลับตาเรื่อยตลอดเวลา”

อนงค์ถอนใจเบา ๆ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า

“ให้อนงค์ไปหาคุณนายในห้องคุณพระได้ไหมคะ ?”

ช้อยยังลังเล หญิงสาวจึงพูดต่อตามความจริงใจ มีอาการประหม่าเล็กน้อย

“อนงค์อยากเห็นคุณพระด้วย ชั่วเวลาเข้าไปไหว้คุณนายเท่านั้น”

แทนคำตอบ ช้อยจับมือเพื่อนสาวจูงมายังบันได

ในระหว่างนั้นอนงค์กระซิบถาม

“ชัดอยู่ไหม ?”

“ยังไม่กลับ เมื่อตอนเที่ยงมาถามอาการ แล้วบอกว่าวันนี้กว่าจะได้กลับก็เห็นจะค่ำ ดูเหมือนธุระอะไรพิเศษไม่ทราบ พี่ฟังไม่ถนัด”

ในเวลาที่เดินผ่านประตูห้อง อนงค์เห็นคุณนายชื่นเลิกคิ้วพอมองดูหล่อนด้วยความพิศวงระคนกับความไม่พอไจ แต่การถูกมองเพียงเท่านี้ไม่ทำให้อนงค์สะทกสะเทิ้นได้ ค่อย ๆ คลานอย่างระมัดระวังจนมาใกล้ตัวคุณนาย น้อมตัวทำความเคารพแล้วก็นั่งสำรวมอยู่ในท่าอันงาม

ช้อยรีบให้คำอธิบายแก่มารดาโดยเร็ว

“ดิฉันชวนให้นั่งข้างล่าง แกบอกว่ามาถึงบ้านต้องเคารพผู้ใหญ่ในบ้านก่อน ถ้ามิฉะนั้นยังนั่งไม่ได้”

ผู้ฟังทั้ง ๒ ต่างอมยิ้ม อนงค์ยิ้มเพราะช้อยแปลคำพูดของหล่อนได้งดงามมาก คุณนายชื่นยิ้มด้วยความพอใจ และสายตาที่จับดูหน้าผู้เป็นแขกก็แสดงความเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย แต่ยังนึกคำสำหรับปราศรัยไม่ออก ด้วยเป็นธรรมดาของคนผู้ไม่ชำนาญการแสดงละครนอกเวที จะทักคนแปลกหน้าไม่ได้ง่าย ๆ คุณนายชื่นอึกอักอยู่นานพอที่อนงค์จะมองดูทุก ๆ สิ่งในห้องจนทั่วแล้วท่านพูดขึ้นว่า

“วันนี้เขาค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย”

อนงค์ยิ้มรับคำพูดนั้น อย่างที่เด็กมักยิ้มกับผู้ใหญ่ แล้วก็หันกลับไปดูคนไข้อีก

นางสาวแจ้งต้นห้องของคุณนาย เข้ามาในห้องเป็นครั้งที่ ๓ แล้วบอกว่า

“คุณหลวงวิโรจน์กับคุณชัดมา”

คุณนายมองดูลูกสาวเป็นทีถาม ช้อยจึงตอบสายตาของท่านว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ดิฉันจะพาอนงค์ไปนั่งข้างนอก ให้เจ้าบ๋อยมาอยู่ในนี้ อึกอักอะไรเรียกคำเดียวก็ได้ยิน”

นางศรีวิชัยถือขวดและกล้องยานัดถุ์กับกระโถนติดมือไปด้วย พบนายบ๋อยนั่งอยู่ที่เชิงบันได ท่านไล่เข้ามาในห้อง ช้อยพาอนงค์ออกไปยังเฉลียงเล็ก หยิบเสื่อมาปูและนั่งคุยกันอยู่ ณ ที่นั้น

ในขณะที่อนงค์เล่าถึงคืนเมื่อหล่อนได้สนทนากับพระอรรถคดี ฯ ที่สนามหลวง และทั้งผู้พูดและผู้ฟังต่างก็เพลิดเพลินอยู่ในเรื่องนั้น ช้อยอุทานขึ้นว่า

“เดี๋ยวเธอมัวคุยเพลิน พี่ลืมธุระสำคัญเสียอย่างหนึ่งแล้ว จะให้เขาอุ่นซุบให้พี่ใหญ่ พอตื่นจะได้ให้รับประทานทันที” พูดแล้วหล่อนก็ลุกเข้าไปในห้องเพื่อสั่งให้นายบ๋อยไปจัดการ

หล่อนกลับออกมาพร้อมกับนายคนใช้ผู้นี้ และพูดกับอนงค์ว่า

“เราต้องย้ายที่แล้วเธอ นั่งตรงประตูเธออยู่ข้างนอก พี่อยู่ข้างใน จะได้มองเห็นพี่ใหญ่ พี่ไม่กล้าปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังเลย กลัวจะลุกพรวดพราดลงจากเตียง เห็นฤทธิ์ตั้งแต่เมื่อเป็นลมคราวแรก พอรู้สึกตัวก็จะลุกขึ้นนั่ง”

นั่งลงยังไม่ทันเรียบร้อยดี ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า ดังมาจากเบื้องล่าง ช้อยทำท่าเหมือนจะทึ้งผมตัวเองพลางบ่นพึมพำ

“ยายนิดกวนใจอีกแล้ว ! ฟังซีคุณน้า ฟังเสียงหลานสาว ช่างตะเบ็งขึ้นไปได้ ดูเหมือนแกจะแกล้งแผดขึ้นไปให้มนุษย์หูแตกยังงั้นแหละ”

เป็นความจริงดังนั้น เสียงร้องของแม่หนูดังขึ้นทุกที ช้อยสะบัดตัวด้วยความโมโห นิ่งฟังต่อไปไม่ได้ก็ลุกขึ้นโดยเร็ว ก่อนที่จะลงบันไดหล่อนหันมาพูดกับอนงค์

“ฝากพี่ใหญ่ประเดี๋ยวนะคะ อึดใจเดียวเท่านั้น”

อนงค์ขยับจากที่เก่าเท้าแขนข้ามธรณีประตู เอนตัวเข้าในห้อง เป็นท่าที่หล่อนจะเฝ้ามองคนไข้ได้ถนัด เมื่อหล่อนหันหน้ากลับมาทางบันได เห็นช้อยลับตาไปแล้ว พอเหลียวกลับเข้าในห้องใหม่ความรู้สึกประหลาดก็เกิดขึ้นแก่ใจหล่อนทันที

อนงค์รู้สึกเหมือนทารกเมื่อเห็นของต้องใจ ดูเถอะพระอรรถคดี ฯ กำลังเจ็บ และอนงค์ได้มานั่งเฝ้าเขาแต่ผู้เดียว ผู้เดียวแท้ ๆ ไม่มีใครอีก หัวใจของหล่อนเต้นแรงขึ้นในบัดนั้น ซึ่งอนงค์อธิบายไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุไร มองไปยังร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง มีแพรเพลาะดำคลุมตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงไหล่ แสงสว่างมีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ยังพอทำให้เห็นเส้นผมที่ปลิวไสวเมื่อถูกลมพัด แต่ตัวผู้เป็นเจ้าของผมจะมีสติรู้สึกถึงความร้อนความเย็นก็หาไม่ ยิ่งคิดยิ่งมองยิ่งรู้สึกถึงความสงสารความเป็นห่วงและความซาบซึ้งจับจิตจับใจ อนงค์ผลุดลุกขึ้นจากที่ ย่องไปถึงหน้าเตียงและคุกเข่าชะเง้อพิศดูคนไข้ด้วยดวงตาอันมีน้ำตาคลออยู่

ทันใดนั้น พระอรรถคดี ฯ ลืมตาขึ้น ลืมจริง ๆ เหมือนคนที่ตื่นจากหลับอย่างแจ่มใส ทำให้อนงค์สะดุ้งทั้งตัว หันขวับไปทางโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้มือคลำอะไรต่ออะไรโดยไม่เป็นเรื่องง่วนอยู่

เสียงผู้ชาย กังวานใหญ่แต่นุ่มนวล เป็นเสียงที่ชินแก่โสตประสาทของอนงค์ พูดขึ้นว่า

“วันนี้วันที่เท่าไร ?”

หญิงสาวหันมาดูเขา สลดใจเมื่อสำคัญว่า คนเจ็บตั้งต้นเพ้อเสียอีกแล้ว

วิชัยขมวดคิ้ว หลับตา และถามซ้ำอีกว่า

“วันนี้วันที่เท่าไร ?”

น้ำเสียงแสดงความฉิว ของผู้ไม่ได้สิ่งประสงค์ทันใจ ไมใช่คำพูดของคนเพ้อกระมัง อนงค์จึงตอบว่า

“วันที่ ๑๖ ค่ะ”

พระอรรถคดี ฯ ลืมตาขึ้นอีก คิ้วขมวดยังไม่คลาย ครั้นแล้วเขาหายใจยาวครั้งหนึ่ง และพลิกตัวตะแคงหันหน้าเข้าฝา

อนงค์ย่องกลับมายังที่ ใจยังสั่นด้วยความประหม่าและตื่นเต้น พอย่อตัวจะลงนั่งก็เห็นช้อยขึ้นบันไดมา จึงกวักมือให้เข้ามาใกล้โดยเร็วและรีบรายงานว่า

“คุณพระตื่นขึ้นเดี๋ยวนี้เอง ถามว่าวันนี้วันที่เท่าไร ?”

“เพ้ออีกแล้ว ?” ช้อยถาม หน้าสลดไปทันที

“ไม่เพ้อค่ะ พูดเสียงแจ่มใส ชัดถ้อยชัดคำเหมือนเสียงคุณพระเมื่อไม่เจ็บทีเดียว ถามคำแรกอนงค์ไม่ตอบ เธอถามซ้ำมีเสียงโกรธด้วย พออนงค์ตอบแล้วเธอก็หันเข้าฝา”

ช้อยหลีกอนงค์เข้าในห้องทันที เข้าไปจนใกล้คนไข้สังเกตเห็นลมหายใจสั้นยาวเป็นระยะเสมอกัน รู้ได้ว่าเขาหลับอีกแล้ว จึงจัดแจงคลุมแพรเพลาะให้เรียบแล้วกลับมานั่งอยู่ข้างอนงค์

เพื่อนหญิงของช้อยตั้งใจจะคอยดูวิชัยเมื่อเขาตื่นขึ้นอีก แต่ความประสงค์ของหล่อนนั้นไม่สำเร็จ จนท้องฟ้ามืดมิดหมดแสงตะวันวิชัยก็ยังนอนนิ่งอยู่ในท่าเดียว

เขาตื่นขึ้นเมื่ออนงค์ไปแล้วได้ชั่วโมงกว่า ลืมตาเห็นช้อยนั่งปัดยุงอยู่หน้าเตียงก็พูดชัดถ้อยชัดคำ

“ไปนอนเสียไป๊ พี่หายแล้ว”

“พี่ใหญ่ !” ช้อยอุทาน เสียงสั่นด้วยความปิติและสงสัย “ตื่นจริง ๆ หรือนี่ หรือพูดโดยไม่รู้สึกตัว”

“รู้สึก” เขาตอบอย่างหนักแน่น “หน้ามืดไปแว็บเดียวเท่านั้น เดี๋ยวนี้หายดีแล้วจริง ๆ ดึกดื่นแล้วอย่ามานั่งทรมานเฝ้าพี่อยู่เลย”

“อะไรพี่ใหญ่ รู้สึกตัวทำไมพูดอย่างนี้ล่ะคะ เวลานี้มันดึกเมื่อไร ยังไม่ ๒ ทุ่มเลย ?”

วิชัยขมวดคิ้ว นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยายามจะใช้ข้อศอกยันตัวขึ้น ช้อยยกมือปะทะหน้าอกไว้ทันที กดบ่าให้นอนลงดังเดิม พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ความตื่นเต้นยังไม่คลาย

“ลุกไม่ได้ค่ะ หมอสั่งให้นอนนิ่ง ๆ พี่ใหญ่ยังไม่มีแรงเลย ปรอทเพิ่งลงวันนี้จะลุกขึ้นไปไหน ?”

วิชัยเสยผมด้วยมือทั้ง ๒ ข้าง พลางถาม

“หมอมารึ ?”

“มาซิคะ มาทุกวัน วันละ ๒ หน พรุ่งนี้เช้าก็จะมาอีก”

“นี่ยังไง !” พระอรรถคดี ฯ พึมพำ สีหน้าไม่แสดงความฉลาดขึ้นกว่าเก่า “พี่รู้สึกตัวว่านั่งคุยกับแม่อนงค์ที่สนามหลวง จริง ๆ แหละถูกแล้ว เมื่อตะกี้ยังเห็นแกอยู่เลย”

“พิโถพี่ใหญ่ !” ช้อยกล่าว เต็มตื้นไปด้วยความสงสารและดีใจ “เมื่อพี่ใหญ่คุยกับอนงค์ที่ท้องสนามหลวงน่ะมัน ๕ คืนมาแล้ว คืนนั้นพี่ใหญ่เป็นลมเวลาดึก ตอนเช้าลุกขึ้นเดินไม่ได้ แต่พอสายรับประทานอาหารแล้วพี่ใหญ่อาเจียนแล้วบอกว่าปวดศีรษะ ยังสั่งให้ชัดไปตามหลวงเทพ ฯ ตั้งแต่วันนั้นก็เป็นไข้ ปรอทตั้ง ๑๐๔ - ๑๐๕ ไม่ได้สติเลย เพ้อตลอดวันตลอดคืน เมื่อตะกี้ที่ว่าเห็นอนงค์ก็เห็นจริง ๆ แต่เห็นที่นี่ ไม่ใช่ที่สนามหลวง อนงค์แกมาเยี่ยมพี่ใหญ่ เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง”

แล้วช้อยก็เล่าถึงคำถาม และคำตอบระหว่างตัวเขากับอนงค์ให้เขาฟังด้วย

พระอรรถคดี ฯ นิ่งอยู่นาน ในที่สุดเขาอุทานขึ้นอย่างตกอกตกใจ

“โอ ! จริงซี วันนี้วันที่เท่าไรนะ ?”

“มีธุระอะไรกับวันที่ ?” ช้อยถามเป็นเสียงตำหนิ “หมอสั่งว่าไม่ให้พี่ใหญ่เกี่ยวข้องกับธุระอะไรทั้งนั้น ต้องนอนนิ่ง ๆ ทำใจให้สบาย พี่ใหญ่ต้องเชื่อหมอ คิดดูทีหรือ อยู่ ๆ ก็เป็นคนไม่มีความรู้สึกไปตั้ง ๕ วัน คนที่เขาดูพี่ใหญ่อยู่น่ะ เขาจะกลุ้มใจสักเพียงไร”

ผู้เป็นพี่นิ่งฟังและมองดูหล่อนอย่างสนใจ ครั้นแล้วเขาถามขึ้นว่า

“พี่เพ้อว่ากระไรบ้าง จำได้ไหม ?”

“ไม่บอก” ช้อยตอบอย่างเด็ดขาด “อย่าถามอะไรอีกเลยค่ะ พอพูดได้ก็พูดเสียใหญ่ ประเดี๋ยวก็จะหมดแรงเท่านั้น”

เขายิ้มนิดหนึ่ง แต่ก็พอที่จะทำให้แสงแห่งชีวิตปรากฏขึ้นในดวงตาจนช้อยชื่นใจ แล้วหล่อนพูดต่ออีก

“ดิฉันจะไปหาของให้รับประทาน...”

“ไม่ละ” เขาขัดขึ้นโดยเร็ว “เดี๋ยวอาเจียนอีก”

“ไม่ ไม่ได้ วันหนึ่ง ๆ ได้อาหารน้อยเหลือเกิน ถึงไม่รู้จักหาย ป้อนให้ปัดมือเสียบ้างถ่มทิ้งเสียบ้าง วันนี้ต้องรับประทาน ไม่มากก็สักนิดหน่อย”

ลุกขึ้นจากที่จะออกไปนอกห้อง แล้วชะงักหันกลับมากำชับว่า

“พี่ใหญ่อย่าลุกจากเตียงไม่ได้เชียวนะ ขืนลุกเป็นได้ขัดใจกันละ”

เขาหัวเราะแทนคำตอบเช่นเดียวกับเมื่อ ๕ เดือนก่อน ช้อยรู้สึกเอ็นดูจนถึงกับต้องค้อนให้ เป็นจริตที่หล่อนไม่เคยทำมาหลายเดือนแล้ว

เมื่อช้อยกลับเข้ามาในห้อง เห็นพี่ชายหลับตามือก่ายหน้าผาก หล่อนจึงลดฝีเท้าให้เบาลง แต่วิชัยลืมตาขึ้นทันทีและถามว่า

“คุณแม่อยู่ไหม ?”

“อยู่ซีคะ ท่านจะมีกะใจไปไหน เป็นทุกข์ออกจะตาย อ้อไปหนหนึ่ง ไปให้พระดูดวงชะตาพี่ใหญ่”

“แล้วท่านว่าอย่างไร ?”

“ชะตายังไม่ถึงฆาต แต่เคราะห์ร้ายมาก”

ผู้ฟังหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดอ่อย ๆ

“พี่ดูตัวเองก็ได้ !”

“ดูเวลานี้ก็ได้น่ะซี ก่อนนี้ อย่างเมื่อคืนไม่พูดอย่างนี้บ้างนี่ ท่านดูอะไรต่ออะไรอีกเยอะ แต่ดิฉันไม่บอก”

“ดูว่าจะเสียของรักด้วยหรือเปล่า ?”

“ไม่เอาค่ะ เลิกพูดกันที พูดมากเดี๋ยวยุ่งใหญ่ นอนนิ่ง ๆ ซีคะ รู้ไหมว่าหมอเขาห้ามไม่ให้ใครเยี่ยม เพราะกลัวจะพูดอะไรให้ตื่นเต้น”

“ตาชัดเป็นยังไง ?”

“ตาชัดก็เป็นตาชัด จะไปถามถึงเขาทำไม....เขาเป็นเด็กดีค่ะ เวลานี้กำลังรับประทานข้าว เดี๋ยวก็คงขึ้นมาหรอก”

“ยายหนูล่ะ เป็นยังไง หลับแล้วหรือ ?”

“เออแนะพี่ใหญ่ ยิ่งห้ามไม่ให้พูดดูเหมือนยิ่งแกล้งพูด ยายหนูสบายดี แต่โหยกเหยกที่สุด ต้องไล้ให้ไปอยู่บ้านคุณครูวันยังค่ำ”

“อ้อ คุณแฝด...”

“ตาย ย่าถามถึงใครอีกเลยค่ะ ทุกคนเขาสบาย ทุกคนเป็นห่วงพี่ใหญ่ ขอให้นอนนิ่ง ๆ หน่อยเถอะ”

มีเสียงลั่นจากตัวไม้ที่ได้รับความกระเทือน บอกให้วิชัยรู้ว่ามีคนขึ้นบันได และบอกด้วยว่าผู้ขึ้นมิได้ขึ้นทีละขั้นอย่างคนธรรมดาทั้งหลายหากขึ้นบันได ๘ ขั้นด้วยการก้าวขาเพียง ๔ ครั้ง แล้วนายร้อยตรีชัดก็ยิ้มแป้นเข้ามาในห้อง

ตรงแน่วไปที่เตียง คว้ามือพี่ชายบีบและบีบเขย่าพร้อมกับพูดในระหว่างหายใจยาว

“พี่ใหญ่ !”

คำพูดเพียงเท่านี้ แสดงความรู้สึกกว้างขวางมาก และวิชัยก็รู้แจ้งซึ่งความหมายนั้น จึงบีบมือน้องตอบและมองดูน้องด้วยดวงตาที่มีแสงเป็นประกาย

“หายตายกันทีนะ !” นายทหารหนุ่มพูดต่อ “๕ วัน ๕ คืน ! ให้ตกนรกซี ผมไม่เคยเป็นทุกข์อะไรเท่าคราวนี้เลย อะไรไม่ว่าหรอกนา เดี๋ยวกลัวเสียสติไปจนตายน่ะซี ถ้าเป็นยังงั้นละตายเสียดีกว่าจริงไหม”

วิชัยมิได้ตอบ มองดูหน้าน้องเฉยอยู่ พอดีกับคุณนายชื่นมาถึงพร้อมกับนายบ๋อยผู้ถือถาดอาหารเดินตามมาเบื้องหลัง

คุณนายชื่นตรงไปที่เตียง อ้าแขนร้องว่า “พ่อคุณของแม่” แล้วก็ร้องไห้

“แล้วกันคุณแม่” ชัดพูดในเสียงตำหนิแกมหัวเราะ “หมอเขายิ่งห้ามไม่ให้คนไข้ได้รับความตื่นเต้น”

“แม่ไม่ได้ทำอะไรนี่นา” ผู้เป็นแม่เถียง ยกชายผ้าห่มขึ้นเช็ดหน้า “ดีใจเท่านั้นแหละ”

ช้อยรับถาดอาหารมาตั้ง วิชัยแสดงความประสงค์จะลุกขึ้นนั่งรับประทาน แต่ได้รับเสียงอนุญาตเพียงให้นอนพิงหมอนซึ่งซ้อนขึ้นหลายใบพอตักอาหารใส่ปากเองได้ เมื่อเขาหยิบซ้อนตักน้ำซุบ วิชัยถามคนใช้ตัวโปรดว่า

“นี่ซุบหมาดำใช่ไหม เห็นเจ้าเป็นคนยกเข้ามาข้าไม่ค่อยไว้ใจเลย”

นายบ๋อยหัวเราะ ด้วยรู้ว่าคำถามนั้นเป็นคำปราศรัยและตอบว่า

“ผมไม่รู้ แม่ครัวมันต้ม ผมเป็นแต่คนยกขึ้นมา”

ช้อยงอมือทำท่าจะกระแทกลงบนศีรษะนายคนใช้ แต่ในยามรื่นเริงเช่นในเวลานี้ ใครจะมีกะใจประทุษร้ายร่างกายใครได้ ดังนั้น นายบ๋อยจึงเสียเวลาหลบโดยไม่จำเป็นเลยสักนิด

วันต่อ ๆ มา วิชัยไม่มีอาการซึมหรือเพ้ออีก แต่อาการคลื่นไส้ มึนศีรษะ ตัวร้อนจัดหรือมิฉะนั้นก็เย็นชืด ยังเป็นเรื่องที่นายแพทย์จะต้องแก้ให้ตก ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกนานวัน

ในระหว่างนั้น แผ่นดินในบ้านนางศรีวิชัย ฯ ต้องรองรับรอยฝ่าเท้าแขกหน้าใหม่บ่อยครั้ง ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งทหารทั้งพลเรือน โดยเหตุที่วิชัยเมื่อเป็นหนุ่มเต็มที่แล้วไม่มีเวลาไปอยู่ใกล้วงศ์ญาติกี่มากน้อย ญาติของเขาแม้ที่ใกล้ชิดที่สุดจึงมิได้รู้ว่าเขาเป็นคนกว้างขวาง และมีเพื่อนที่เอาใจใส่ในตัวเขาโดยแท้จริงมากมายเพียงใด แต่ในระยะที่เขากำลังเจ็บนี้ เพราะเหตุที่มีคนนิยมมากหน้าหลายตา นอกจากนั้นยังมีจดหมายส่งจากหัวเมืองต่างๆ บ้าง สั่งเยี่ยมต่อ ๆ กันมาตามเพื่อนฝูงบ้าง ญาติที่สนิทของวิชัยเมื่อได้เห็นและได้ยินความจริงเหล่านี้ จึงออกปากปรารภแก่กันว่า “คนๆ นี้มีเพื่อนมากจริง !”

คนไข้มีเวลาแย้มหัวพูดเล่นกับผู้ที่มาเยี่ยมแต่เพียงวันละเล็กวันละน้อยเพราะนายแพทย์กวดขัน มิยอมให้เขาเสียกำลังไปในทางหนึ่งทางใดทั้งสิ้น ความสงบเป็นยาสำคัญเหนือยาทั้งหลายที่จะบำบัดโรคของวิชัย

เมื่อกระเพาะอาหารค่อยหายเป็นพิษ วิชัยได้รับการพะเน้าพะนอจากผู้หญิงเพื่อนบ้านมากที่สุด ทุก ๆ วัน ไม่มื้อเช้าก็มื้อกลางวัน ไม่มื้อกลางวันก็มื้อเย็น จะมีอาหารอย่างอ่อนทำโดยประณีต ใส่ภาชนะงามและสะอาดส่งมาจากบ้านคุณแม้น ฯ บางทีและก็ค่อนข้างจะบ่อย จะมีกระเช้าใส่องุ่นและชมพู่ผลงาม ๆ มีช่อกล้วยไม้หรือดอกกุหลาบหรือมะลิสอดแซมอยู่ตามปากกระเช้า ส่งมาพร้อมกับอาหารด้วย ผู้ที่นำของมาไม่เคยบอกว่าอาหารหรือกระเช้าผลไม้นั้นมาจากใคร แต่ช้อยทายได้แม่นยำว่า อนงค์เป็นผู้จัดสรรค์และจัดผลไม้นั้น

วันหนึ่งเมื่อได้รับของเหล่านี้ และเป็นวันที่วิชัยมีอาการแช่มชื่นมากกว่าทุกวัน ช้อยจึงเล่าเรื่องที่ประสิทธิ์มาประจันหน้ากับนายบ๋อย และนำซองขาวที่หล่อนรับฝากไว้ส่งให้วิชัยด้วย

พระอรรถคดี ฯ หัวเราะชอบใจในเรื่องที่ช้อยเล่าเป็นอันมาก แต่เมื่อเขาฉีกซองและคลี่กระดาษออกดูแล้ว อาการหัวเราะก็ละลายไปทันทีทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถือกระดาษมองนิ่งอยู่นาน เวลานั้นช้อยนั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อหล่อนเข้ามาใกล้ประสงค์จะขอดูวิชัยก็รวบกระดาษกำไว้ในมือโดยเร็ว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ