เที่ยงตรง ! เวลาที่แสงแดดแผดจ้าดังจะเผาสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตและสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตให้ละลายไปด้วยอำนาจแห่งความร้อน ใครจะนึกบ้างว่าจะมีมนุษย์ธรรมดาเช่นปกติชนทั้งหลาย เดินกรายอยู่บนพื้นดินอันปราศจากสิ่งปกคลุม แต่หัวหินเป็นพื้นดินที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถให้ ความเย็นในยามร้อน และให้ความอบอุ่นในยามหนาว !!! ดังนั้นจะประหลาดอะไรเล่าที่ชายหญิงหมู่หนึ่ง พากันโลดเล่นระเริงใจอยู่ตามชายหาด ในตำบลที่ได้กล่าวแล้วนี้

เขาทั้งหมดล้วนอยู่ในวัยคะนอง คะนองรูป คะนองทรัพย์ คะนองยศ คะนองกำลัง และคะนองยิ่งในความสนุก เขาทั้งหมดสวมเครื่องแต่งกายสำหรับอาบน้ำ ถึงผิวหน้าจะคล้ำไปเพราะแสงอาทิตย์รังแก แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขานิยมกันอยู่ และประกายแห่งความสุข เมื่อปรากฏในแววตาคนหนุ่มและคนสาว เมื่อเครื่องตบแต่งอย่างดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาเหล่านี้จึงมีลักษณะควรแก่การดูด้วยประการทั้งปวง

หนุ่มที่สุดในหมู่คนหนุ่มที่กล่าวถึงในบัดนี้คือ นายร้อยตรีชัด วรทบุตต์ ท่าทางประเปรียว หน้าตาคมสันผิวขาว ยังไม่สิ้นสีแดงที่เกิดจากเหตุเพราะได้อยู่ในเมืองหนาวนานปี และสวยที่สุด-แม้ว่าจะไม่สาวที่สุดในจำนวนคนสวยที่รวมอยู่ในหมู่นี้คือ คือ อนงค์ สุนทรพงศ์ หญิงที่ควงแขนกับชัดวิ่งหนีขึ้นมาบนหาด

ชายหนุ่มหยิบเสื้อคลุมขึ้นคลุมให้หล่อน ตัวเขาเองมีผ้าเช็ดตัวขนาดเล็กคล้องคอ เสียงคนที่อยู่ในน้ำตะโกนตามหลังขึ้นมาว่า

“ขึ้นละหรือ? อย่างไรไม่บอกกล่าวกันบ้าง?”

ชัดเช็ดหมวก หันกลับไปดูแล้วก็หัวเราะ อนงค์ถอดหมวกยางออกสะบัด จัดผมทางข้างหน้าให้เข้ารูปแล้วตอบไป

“ต้องไปเก็บของ เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟ”

“อะไร เวลาอีกเป็นกอง” ชายหนุ่มคนหนึ่งค้าน อีกคนหนึ่งปรารภว่า

“ยังไม่ทันเที่ยงเลย”

“เที่ยงเลยแล้ว” ชัดบอก เมื่อมีเสียงคัดค้าน อนงค์จึงอธิบายต่อ

“จริง ๆ พระอาทิตย์อยู่ตรงหัวเรา ไม่เห็นหรือ”

พูดแล้วโดยไม่ฟังเสียงใครอีก ชัดกับอนงค์ก็ออกเดินบ่ายหน้าไปทางโฮเต็ล

ในที่ใดก็ตามที่กำลังสนุกสนาน เพราะมีบุคคลรวมกันอยู่เป็นหมู่ แม้ว่าคนหนึ่งหรือสองคนในหมู่นั้นละไปเสีย อาการที่เรียกกันว่า “บ่อนแตก” ก็เกิดขึ้น อนึ่งมนุษย์โดยมาก มีธรรมชาติชอบเอาอย่างอยู่ในสันดาน การกระทำแม้ใหญ่และน้อย แม้สำคัญและไม่สำคัญ มาตรว่าเผลอตัวก็มักจะกระทำตามอย่างเขา อาศัยเหตุนี้เอง แต่พออนงค์กับชัดไปพ้นแล้ว ก็เกิดมีผู้เห็นพ้องกับหนุ่มสาวทั้งสอง ออกปากชวนเพื่อนกันให้ขึ้นจากทะเลเสียที

ประมาณ ๑ ชั่วโมงต่อมา เขาก็มารวมกันอีกที่ในห้องรับประทานอาหารในโฮเต็ล

การสนทนาของเขาล้วนแล้วไปด้วยเรื่องงาน ที่ขึ้นเป็นงานเพื่อความสนุกเพลิดเพลินแห่งคนในวัย และฐานะความเป็นอยู่เช่นเขา งานสโมสรทั้งราตรี และสายัณห์ น้ำชา ดินเนอร์ เต้นรำ ภาพยนตร์ และกีฬานานาชนิด และกล่าวขวัญถึงบุคคลในสมาคมเดียวกับเขาในเชิงไม่ใช่นินทา เป็นแต่เพียง-เล่าสู่กันฟังเพื่อความรู้! เพราะคำผู้ใหญ่ก็รับรองอยู่แล้วว่า ฟังมากดูมากเท่ากับเรียนมาก และ “รู้ไว้ไช่ว่าใส่บ่าแบกหาม”

หมดเรื่องผู้อยู่ไกล เรื่องก็เวียนมาหาผู้อยู่ใกล้ ผู้หญิงคนหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น

“แหม! ไม่อยากเชียว เย็นวันนี้พวกเราเหลือกัน ๕ คนเท่านั้น ขาดไปตั้ง ๔ คน”

“ดูเถอะ” อีกคนหนึ่งรับ “ไปทีเดียวตั้ง ๔ คน พวกเราอยู่ทางนี้ก็คิดถึงแย่”

“ฉันยังไม่รู้เลยว่า คุณชัดกับคุณอนงค์ มีความจำเป็นอย่างไร จึงต้องกลับวันนี้” คนที่ ๓ พูดขึ้น “สำหรับ ๒ คนนี่น่ะ” พูดต่อเมื่อหันไปทางชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่ง “ฉันรู้แล้วว่าเมื่อคนหนึ่งหมดวันลาพัก อีกคนหนึ่งก็ต้องตามไปด้วย เปรียบเหมือนเงา แต่คุณชัดน่ะทำไมคะ จะกลับไปทำไม”

“ฉันก็หมดวันลาพักเพียงวันนี้เหมือนกัน” ชัดตอบ

“ลาต่อเถอะน่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น บอกว่าโรคกำเริบ หรือขาแพลงอะไรก็ได้”

“แหม!” อนงค์อุทาน ทำอาการเหมือนจะสำลักเหล้าเชอร์รี่ที่หล่อนกำลังจิบอยู่ “ช่างแนะนำดีเหลือเกิน ชัดจะกล้าเล่นกับราชการทหารอย่างนั้นไหมคะ?”

ชัดหัวเราะแล้วพูด

“มีเหตุจำเป็นอย่างอื่นอีก ที่ผมต้องกลับวันนี้จนได้ เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะไปสงขลา อนงค์เป็นเหตุให้ผมแวะไถลเสียที่นี่ การที่จะไปก็เพราะจะไปรับพี่ชายของผมที่เป็นผู้พิพากษาอยู่ที่โน่น บัดนี้ได้รับคำสั่งให้ย้ายมากรุงเทพ ฯ เราจากกันไปเกือบ ๑๐ ปี ได้พบกันประเดี๋ยวเดียวเมื่อผมกลับจากอังกฤษ เขามาคอยพบที่สถานี วันนี้เขาจะมากับรถด่วน ผมต้องไปพร้อมกับเขาเพื่อมิให้เสียความตั้งใจเดิม”

“น่าเอ็นดูจัง!” เสียงผู้หญิงกล่าวชมอย่างจริงใจ

“ดูเถอะ” เสียงที่รับก็เป็นเสียงผู้หญิง “รักพี่รักน้องอย่างนี้ดีเหลือเกิน”

อนงค์มีอาการแสดงว่าความคิดลอยไปไกลตัว แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับบ้านที่อยู่ของอนงค์ และรู้จำนวนพี่ชายของอนงค์ด้วย ย่อมจะเข้าใจว่าถึงความคิดจะลอยไปไกลตัว แต่จะพ้นเรื่องส่วนตัวก็หาไม่

มีผู้ถามขึ้นว่า

“อนงค์จะรีบกลับทำไม ราชการอะไรก็ไม่มี”

“กลับไปเป็นเงาคุณชัด” เสียงออกความเห็นครึ่งเล่นครึ่งจริง

สีหน้าอนงค์เปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วที่ได้ตบแต่งไว้แล้วอย่างงดงามตามสมัยขมวดเข้าหากัน แต่ทั้งนี้ไม่ทำให้เพื่อนของหล่อนพรั่นพรึง มีผู้เสริมต่อไปอีกว่า

“อนงค์กลัวว่าไกลครู ฝีมือกอล์ฟจะเลวลง”

“อันที่จริงก็ควรจะเรียนกับครูให้อยู่มือเสียก่อน” อีกคนหนึ่งแสดงความเห็นพ้อง แต่ก็เป็นเชิงแก้ความหมายในคำพูดของผู้ที่ได้พูดก่อนไปในตัว

“ดูเหมือนเธอทุกคนจะลืมเสียแล้วว่า ถ้าคุณชัดไม่เหนี่ยวฉันไว้ ป่านนี้ฉันก็ไปกรุงเทพ ฯ กับพี่สมพงศ์แล้ว”

“จริง ผมเป็นพยาน คุณชัดมีความชอบมากในข้อนี้ มาเรามาดื่มให้คุณชัด และอวยพรให้คนที่จะจากเราไปวันนี้ มีความสุขอยู่ด้วยกันนาน ๆ บ๋อย แชมเปญ”

ผู้ที่ช่างคิดเล็กคิดน้อยหัวเราะในลำคอ ชัดมองดูอนงค์ผู้ทำอาการเป็นทองไม่รู้ร้อน พลางยิ้มด้วยความพอใจ

ครั้นใกล้เวลาที่จะไปสถานี รถยนต์ประจำโฮเต็ลก็มารออยู่ที่หน้าบันได ฝ่ายผู้ที่จะไปกับรถนั้นกำลังแต่งตัวบ้าง ชำระเงินบ้าง และซื้อของกระจุกกระจิกบ้าง สำหรับฝากญาติทางกรุงเทพ ฯ

ในระหว่างนั้น อนงค์กับชัดเป็นผู้ที่พร้อมแล้วในการที่จะขึ้นรถ แต่เมื่อคนอื่น ทั้งผู้ที่จะกลับกรุงเทพ ฯ และผู้ที่จะไปส่งเขายังไม่พร้อม อนงค์จึงนึกอยากเห็นโฉมหน้าของตนเอง ในกระจกเงาเพื่อฆ่าเวลา กระเป๋าหนังบรรจุเครื่องสำอางอยู่ในมือหล่อน อนงค์เปิดออกหวังจะหยิบ ตลับฝุ่น เผอิญพบห่อกระดาษห่อหนึ่งอยู่ภายในนั้น นึกไม่ได้ว่าเป็นห่ออะไร ครั้นแก้ออกดูปรากฏว่าเป็นห่อกระดุมทำด้วยหอยเลี่ยมนาก มีอยู่ด้วยกัน ๓ แผง แผงละ ๔ ดุม หล่อนหยิบแผงเหล่านั้นออกชูให้ชัดเห็นพลางถามว่า

“ทำไมถึง ๓ ล่ะคะ อนงค์ต้องการ ๒ แผงเท่านั้น สำหรับฝากคุณอา ๒ คน”

“ชัดจำไม่ได้ว่าอนงค์สั่งให้ซื้อ ๒ แผง หรือ ๓ แผง ก็เลยซื้อเผื่อขาด” ชัดตอบ

“มันเกินไปแล้วชัดก็รับไว้ซีคะ” พูดพลางหล่อนส่งแผงกระดุมให้

เขาสั่นศีรษะแล้วว่า “เธอเก็บเอาไว้เถอะ เอาไปฝากคนอื่นต่อไปอีกซิ”

“อนงค์ไม่รู้จะฝากใครอีก ชัดเอาไปซีคะ พี่น้องมีเป็นหลายคน เขาจะได้ดีใจ”

เขาหัวเราะความดื้อของหล่อน “ได้เหมือนกันเอาไปฝากคุณแม่” พูดแล้วก็รับแผงกระดุมมาใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างไม่เอาใจใส่ ต่อจากนั้นเขาก็ชวนอนงค์ไปขึ้นรถ

จะเป็นเพราะความโอ้เอ้ หรือเป็นเพราะความตั้งใจมิให้ต้องเสียเวลาคอยก็ตาม อนงค์กับคณะของหล่อนไปถึงสถานีหลังรถไฟ ๕ นาที เป็นเหตุให้เกิดความตื่นเต้นเล็กน้อย และการซื้อตั๋วกับการยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถก็เป็นไปโดยเร่งร้อน มิหนำซ้ำผู้ที่จะจากไปและผู้ที่จะอยู่หลังยังต้องการไว้อาลัยกันด้วยการร่ำลาสั่งเสีย และล้อเลียนไม่รู้แล้ว จึงหนุ่มสาวทั้ง ๙ คน ดูคล้ายกับตัวละครที่แสดงอยู่บนเวที เป็นเป้าที่น่าทึ่งสำหรับสายตาของผู้ที่ได้เห็นเป็นอย่างยิ่ง

ชายหนึ่งแต่งกายอย่างสุภาพบุรุษไทย ในสมัยและเวลาปกติ สวมแว่นตากันแดด ได้ลงจากห้องโดยสารชั้นที่หนึ่ง ตั้งแต่เมื่อรถไฟหยุดนิ่งอยู่ที่ชานชาลาสถานี กิริยาที่เขามองดูบุคคลทั้งหลาย ที่อยู่ในสายตาของเขานั้น แสดงชัดว่าเขามองหาใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อหนุ่มสาวที่มาจากโฮเต็ลย่างเท้าเข้ามาในชานชาลา ดวงตาของผู้ชายนั้นก็เบิกกว้างอยู่ในแว่น เลิกจากการมองสอดส่ายเพ่งดูสตรีทั้ง ๕ นางอย่างพิศวง ครั้นแล้วดูเหมือนสีมัวแห่งกระจกแว่น จะเป็นอุปสรรคแก่สายตาทำให้สีซิ่นแพร และสีกางเกงปียาม่าเพี้ยนไปจากของจริง ชายผู้นั้นจึงถอดแว่นตาออกเสีย และหลบเข้าในบานประตูยืนดูภาพอันแปลกตานั้นต่อไป

“ความพิศวงทวีขึ้นเป็นตรีคูณ เมื่อนายร้อยตรีชัดถลันเข้ามาในหมู่ ชัดมาจากแห่งใดเมื่อไร ชายผู้นั้นไม่ทันเห็น อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขาแสดงความดีใจอย่างเด่นชัด ออกจากที่กำบัง แล้วยืนยิ้มคอยอยู่

ในนาทีเดียวกันนั้น ชัดแลมาเห็นเขา มีอาการชะงักอย่างสงสัยชั่วขณะ ครั้นแล้วก็ยิ้มยกมือ ก้าวเท้าออกมานอกวง ทักขึ้นว่า

“พี่ใหญ่ พิโธ่ ผมเที่ยวมองหาเสียออกแย่ คิดว่าหลับอยู่ในห้อง ที่แท้ยืนป้ออยู่ที่นี่เอง ไม่เห็นผมหรอกหรือ?”

อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีเวลาตอบ ชัดคว้าข้อมือเขามาบีบเขย่า สั่นโดยแรง แล้วดึงมือพี่ติดมือตนมาด้วย พอดีระฆังครั้งที่ ๑ ดังขึ้น ชัดก็ปล่อยมือนั้นเสีย รีบพูดสืบไปโดยเร็ว

“รถจะออกแล้ว ผมไปลาพวกนั้นเขาเสียก่อน”

“พี่ใหญ่” ยังไม่มีโอกาสได้ปริปาก มองตามน้องชายไป เห็นมือของเขาเข้าอยู่ในฝ่ามือชาย หนุ่มหญิงสาวทีละคนเรียงตัว และปากของเขาก็ทำหน้าที่พูดอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส ในที่สุดก็จับแขนหญิงสาวคนหนึ่งประคองตัวไปขึ้นรถ พอสุดเสียงระฆังครั้งที่สอง รถเคลื่อนที่ ชัดยังยืนอยู่บนบันไดอนงค์อยู่เคียงข้าง ทั้งสองโบกมือลาผู้ที่ยืนส่ง และตะโกนตอบคำพูดของเขาเหล่านั้น ส่วนผู้ที่ยืนดูอยู่นั้นปล่อยให้รถคันหน้า ๆ ผ่านพ้นไป แล้วจึงก้าวเท้าเหยียบขั้นบันไดรถคันที่ตนโดยสารมาแต่ต้นทางอย่างใจเย็น

รถคันที่ชัดและเพื่อนโดยสารอยู่นั้น เป็นรถโถงเมื่อได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว แต่เพียงครู่เดียว ชัดก็ผลุดลุกขึ้นยืนหันรีหันขวาง พลางบ่นว่า

“เอ! พี่ใหญ่หายไปไหน ถ้าจะหนีไปเข้าห้องเสียแล้ว”

“คนนั้นหรือคะพี่ใหญ่?” อนงค์ถามขึ้น

“คนนั้นแหละ ทำไมหรือ?” ชัดถาม ทึ่งในน้ำเสียงของอนงค์

“เปล่า” หญิงสาวตอบแกมหัวเราะ “ไม่เห็นเหมือนชัดเลย”

“เขาเหมือนคุณพ่อ” นายทหารหนุ่มตอบ “ชัดไม่เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่”

คำตอบนั้น จะต้องกับความหมายในคำปรารภหรือไม่ก็ตาม อนงค์มิได้โต้แย้ง หล่อนพูดว่า

“ไปพาแกมาที่นี่ซิคะ อ้อ หรือชัดอยากพบกันตามลำพังพี่ ๆ น้อง ๆ จะไปโน่นก็ได้ ไม่ต้องห่วงอนงค์หรอก

นายร้อยตรีมองดูเพื่อนโดยสารอีก ๒ คน ก็เห็นเขาทั้งคู่มีกิริยาอย่างที่เรียกว่า กะจู๋ กะจี๋ กันอยู่ ท่วงทีไม่ต้องการจะให้บุคคลที่ ๓ เข้าแทรกดูแล้วชัดก็พยักหน้าให้อนงค์ดูด้วย ทั้งสองยิ้มอย่างเข้าใจกันแล้ว

ชัดจึงว่า

“ชัดจะไปพาพี่ใหญ่มานี่ อนงค์รอประเดี๋ยวนะ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” พูดแล้วเขาก็จากหล่อนไป

ประมาณครู่ใหญ่เขาจึงกลับมาพร้อมกับ “พี่ใหญ่” ของเขา ผู้ซึ่งบัดนี้ได้สวมแว่นตากันแดดไว้ดังเดิมแล้ว อนงค์แสดงการต้อนรับด้วยสีหน้าและกิริยาที่ขยับเขยื้อนตัวเป็นเชิงชวนให้นั่ง ชัดพูดว่า

“นี่อนงค์ นั่นคุณเอนกกับคุณผสานคู่หมั้น”

หนุ่มกับสาวที่นั่งคุยกันอยู่ประณมมือไหว้ “พี่ใหญ่” รับและมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงที่อยู่ตรงหน้าอนงค์ ส่วนชัดทิ้งตัวลงข้างเพื่อนสาวของเขา

อนงค์รู้สึกตัวว่า ควรจะปราศัยกับพี่ของชัดสักสองสามคำเป็นอย่างน้อย แต่นึกไม่ออกว่าควรจะขึ้นต้นอย่างไร ข้อสำคัญหล่อนไม่รู้จักนามของเขา จะเรียกเขาอย่างไรถูก ก็พอนายเอนกได้ช่วยตัดความอึดอัดของหล่อนโดยพูดขึ้นว่า

“คุณมาจากสงขลาไม่ใช่หรือครับ ที่นั่นครึกครื้นดีเหมือนกันนะ ผมเคยไปเมื่อ ๒ ปีมาแล้ว”

“เขาว่ามีชายทะเลงามเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ผสานถาม

“ก็ยังงั้นแหละ ไม่เหมือนหัวหิน หาดตื้นมาก แล้วมีอันตรายเสียด้วย ได้ยินว่ามีคนจมน้ำตายหรือหายไปบ่อย ๆ” เอนกตอบ

“ตาย ไม่เอาละ เราไม่ลงอาบน้ำที่นั่นเด็ดขาด” ผสานพูด ทำท่ากลัว คล้ายกับว่าหล่อนกำลังยืนอยู่บนหาด ที่กำลังกล่าวขวัญกันอยู่นั่นเทียว “เวลาไปที่นั่นเธอลงอาบน้ำในทะเลด้วยหรือคะ”

“ก็ลงไปยังงั้น คนที่อยู่ที่นั่นเขาลงอาบกันทั้งนั้น อาบทั้งที่รู้ว่ามีอันตราย” เป็นคำตอบที่เขาตอบแก่คู่หมั้น แต่ได้หันหน้าไปทางอีกคนหนึ่งด้วยเป็นเชิงขอให้รับรู้

“คนที่จมน้ำตายหรือหายไปน่ะ เป็นเพราะอะไร?” อนงค์ถามขึ้น ทอดสายตาไปยังหน้าเอนกแล้วผ่านเลยมาหยุดอยู่บนหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ในที่ตรงข้ามกับหล่อน ถึงเช่นนั้นเขาผู้นั้นก็ยังหาได้ตอบคำถามของหล่อนไม่ เพราะชัดได้ฉวยไปตอบแทนเสียแล้ว

“เห็นจะเป็นเจ้าพวกน้ำหมุน มีความดึงดูดแรงและเร็วมาก”

“ทรายหมุนน่ะคุณ น้ำดูดเจ้าทรายลงไปในบ่อลึก คนที่อยู่ในที่นั้นไม่รู้ตัวก็เลยถูกดูดจมเลย” เอนกอธิบายต่อ

“ที่สงขลามีที่พักดี ๆ ไหมคะ?” อนงค์ถาม ยังไม่ละความพยายาม แต่กระนั้นก็ไร้ผล ด้วยผสานพูดสวนขึ้นทันใด

“เธอจะเลือกสงขลาเป็นที่ฮันนิมูนหรือ?” แล้วหล่อนก็มองตรงไปที่แว่นดำ พร้อมกับยิ้มอย่างมีความหมาย

อนงค์หน้าแดง ส่วนชัดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ พลางก้มดูผู้ที่นั่งอยู่ข้างตน คำถาม ๒ ประโยคก็ลอยเปล่า หาผู้หนึ่งผู้ใดรับเป็นผู้ตอบหรือไม่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ