๓๓

เมื่อคนไข้ฟื้นตัวพ้นจากระยะที่ตกอยู่ระหว่างความเป็นความตาย มาถึงระยะที่ค่อยทุเลาขึ้นจนผิดตา ความชื่นบานอันเกิดจากความชื่นใจก็มีอยู่แก่คนในบ้านทั่วหน้า คนไข้นอนหลับได้มาก อาหารตกถึงท้องแล้วไม่ถูกส่งกลับ และเขาก็ตั้งต้นรับประทานได้อย่างออกรส สีหน้าอันเขียวคล้ำของวิชัยค่อยมีสีโลหิต ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส คุยมากเล่ามากยิ้มมากหัวเราะมาก เห็นอะไรเป็นของขันไปเสียทั้งสิ้น ความสนุกสนานร่าเริงของวิชัยในระยะนี้เป็นที่น่าคิดว่าเขาจะกลับเป็นเด็กหนุ่มทรามคะนองอีกครั้งหนึ่ง ทำให้คนข้างเคียงมองดูเขาด้วยความแปลกใจ และพร้อมกันนั้นทุกคนก็เชื่อมั่นว่าวิชัยจะหายเป็นปกติและแข็งแรงดังเก่าในเร็ววัน

แต่การมิได้เป็นไปดังเขาเหล่านั้นคาด อาการที่ค่อยยังชั่วขึ้นในระยะ ๒ สัปดาห์แรกเป็นอย่างใด อีก ๔ สัปดาห์ต่อมาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ซ้ำร้ายที่คนไข้ตั้งต้นจะขรึม จะพูดเล่นก็ดูเหมือนจะเป็นไปโดยฝืน ชอบอยู่คนเดียวในที่มืด ยืนพิงหน้าต่าง ตาลอย หรือมิฉะนั้นก็นั่งหลับตาซึมอยู่บนเก้าอี้

ซึ่งวิชัยกลับมีอาการดังนี้ ความจริงก็มีข้อน่าเห็นใจเพราะเหตุว่าในสมองที่มีปัญญา และมีปกติไม่หลับก่อนถึงเวลานอน มักจะเป็นสมองที่ไม่อยู่นิ่ง เมื่อไม่มีงานหรือที่ถูกงานมีแต่ทำไม่ได้ ด้วยตัวยังอยู่ในขีดทีต้องรักษาตัวอย่างกวดขัน วิชัยนั่งเล่นนอนเล่นอยู่เปล่า ๆ สมองของเขาก็คิดไป ๆ ทั้งเรื่องเป็นสาระและไร้สาระ ทั้งเรื่องที่เป็นแล้วและจะเป็นไป และอาศัยเหตุที่ตนมีเรื่องสำคัญตรึงใจอยู่ เมื่อสมองคิดมาถึงเรื่องนี้ก็มักจะหยุดกึกและเกาะแน่นอยู่กับความในใจไม่เลยไปถึงเรื่องอื่นอีก

หัวใจมีเหตุผลซึ่งตัวเหตุผลเองเข้าใจไม่ได้ นี่เป็นภาษิตบทหนึ่งของชาวตะวันตก ซึ่งวิชัยต้องยกขึ้นสารภาพแก่ตัวเอง ด้วยความเบื่อตัวเองอย่างเอกอุ

หนังสือเป็นเพื่อนที่ดีของวิชัย แต่เขาต้องเลือกอย่างระมัดระวังเรื่องใดอ่านแล้วชวนให้ใช้หัวคิด วิชัยต้องห้ามตัวเองมิให้อ่าน นี่ก็เป็นความผิดของสมองที่มีปัญญาพบสิ่งใดใหม่ ๆ แปลก ๆ ก็อดจำอดค้นอดใคร่ครวญไม่ได้ เหตุนั้นหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กใกล้เตียงนอนเป็นตั้งสูงนั้น จึงเต็มไปด้วยบทกลอนเก่า ๆ ซึ่งเขาอ่านเพื่อหาความเพลิดเพลินจากความไพเราะในเชิงกวีมากกว่าจะอ่านเนื้อเรื่อง ดนตรีเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเพื่อนวิชัยได้ดีในยามเย็นอากาศปรอดโปร่ง หรือมิฉะนั้นยามกลางคืนพระจันทร์แจ่มกลางฟ้า วิชัยเคยชักซอเล่นบ่อย ๆ เพลงนี้ไม่ได้ตลอดตั้งต้นเพลงนั้นใหม่ เพลงหนึ่งเหมาะสำหรับซอชนิดหนึ่งตามความชอบใจของผู้สี วิชัยก็มีความเชี่ยวชาญพอ ที่จะเลือกซอ เลือกเพลงให้เหมาะแก่ใจเล่นไปเรื่อย ๆ พอแก้รำคาญ

ครั้งหนึ่งเมื่อเขาสีซออู้ ตามทำนองเพลงกระบี่ลีลาจบไปได้ ๒ ท่อน เสียงขซอพาเขาไปถึงเพลงนกจากซึ่งได้พลัดเข้ามาในเพลงต้นได้อย่างไรน่าอัศจรรย์ใจ เขารู้สึกตัวเมื่อสีไปได้แล้วครึ่งท่อน นิ้วที่กำลังพรมอยู่ออกพราวก็หยุดสนิท รู้สึกใจหวิววาบ จึงวางซอทิ้งเสียทันที

ลุกจากที่ไปยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ สมุดรูปวางอยู่ในที่เก่าอย่างแต่ไหนแต่ไรมา โดยที่มือแห่งผู้เป็นเจ้าของไม่ได้แตะมานาน ถึงวันนี้ วิชัยมองเห็นแล้วให้นึกอยากแตะเป็นกำลัง เอื้อมมือลากสมุดเข้ามาใกล้ เปิดทีเดียวเผอิญถึงที่สำคัญ วิชัยขมวดคิ้วเม้มริมฝีปาก สายตาแสดงความอัดอั้น ในที่สุดเขาชักรูปเดี่ยวกลางหน้าสมุดออกจากที่ ไขกุญแจลิ้นชักอันเป็นที่เก็บของที่ระลึกทั้งหลาย สอดรูปเข้ากลางตั้งรูปอื่น ๆ ที่เรียงกันอยู่เป็นแถว

ซองขาวแผ่นหนึ่งทิ้งอยู่เดียว ไม่เข้าพวกกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระอรรถคดีฯ หยิบขึ้นดูอย่างฉงนด้วยนึกไม่ได้ว่าซองใส่อะไรกันแน่ แต่ชักกระดาษภายในออกดูแล้วเขาร้องว่า “อ๋อ !” เบา ๆ

มองดูตัวอักษรที่เลอะเทอะเต็มหน้ากระดาษ ล้วนแต่อ่านออกได้ความเป็นอันเดียวกันว่า “อนงค์อรรถคดีวิชัย” รูปทรงของตัวอักษรนั้นต่างกันเกลี้ยง ๆ เรียบ ๆ บ้างหยุก ๆ หยิก ๆ ไปด้วยหางและเส้นขีดบ้าง แสดงถึงความตั้งใจของผู้เขียนที่จะพลิกแพลงให้ดูเก๋ดูงาม กระดาษนี้ที่ประสิทธิ์ฝากช้อยไว้ให้วิชัย และที่ได้ทำความใคร่รู้ให้เกิดแก่ผู้รับฝากเป็นที่สุดแต่จนกระทั่งบัดนี้ ช้อยก็ยังเดาไม่ถูกว่าของที่หล่อนรับฝากไว้นั้นมีคุณค่าสถานใด เพราะว่าพระอรรถคดี ฯ จงใจซ่อนเสียตั้งแต่วันแรกที่ของถึงมือ

กระดาษน้อยถูกสอดกลับเข้าในซอง แล้วก็ลงนอนอยู่ในลิ้นชักดังเก่า พระอรรถคดี ฯ ยิ้มอย่างขรึมและเศร้านั่งอยู่บนเก้าอี้วางแขนสอดประสานกันไว้บนโต๊ะ นัยน์ตาลอยจับนิ่งอยู่ที่ฝาห้อง

วันคืนล่วงไปเป็นลำตับ กำหนดวันวิวาห์ของชัดก็ใกล้เข้ามาถึงทุกที บ้านใหม่ปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือแต่จะตบแต่งให้เป็นที่อยู่ได้ ซึ่งเจ้าของบ้านกำลังจัดการอยู่ทุกวัน ทุกเย็นก่อนถึงเวลาอาหาร ชัดมักจะเข้ามาในห้องพี่ชาย ลากเก้าอี้มาตั้งตรงหน้าเตียง หรือมิฉะนั้นก็นั่งลงบนเตียงข้างตัวพี่ แล้วพี่น้องก็สนทนา ชัดมักจะตั้งต้นด้วยเรื่องธุระ เช่น การจัดบ้าน และพิธีการแต่งงานที่ควรจะจัดอย่างไร และนายทหารหนุ่มมีใจอันลอยเคว้งอยู่ในความรักอันแรงกล้า ซึ่งแรงยิ่งขึ้นเมื่อความรักจะสำเร็จโดยสมบูรณ์กำลังใกล้เข้ามา เขาหรือจะพูดถึงเรื่องอื่นได้นาน ประเดี๋ยว ๆ ก็หันมาลงเรื่องคนที่ตนรักและใจจดจ่ออยู่ทุกเวลา เสน่ห์ของคู่หมั้นตามที่ชัดรำพันนั้นมากหลาย มากจนกระทั่งผู้ฟังต้องใช้ความอดกลั้นอย่างแรงกล้า เพื่อจะฟังอยู่ได้ในกิริยาอาการที่เป็นปกติ

เมื่อยังเหลือเวลาอีกเพียง ๑๗ วัน ก่อนที่จะถึงวันงานชัดแสดงความกังวลเป็นอย่างมาก ในข้อที่วิชัยยังเดินได้เพียง ๒ - ๓ ก้าวเท้าที่เดินวนอยู่ในห้อง “เลื่อนวันไปอีกเถอะหรือ ?” เขาปรารภ “แต่งงานผมโดยไม่มีพี่ใหญ่มันจะเป็นงานเป็นการไปได้อย่างไร”

พระอรรถคดี ฯ สั่นศีรษะและตอบอย่างเขร่งขรึม

“ขออย่าให้ต้องเสียเวลาไปเพราะพี่เลย เป็นความจริงพี่เร่งวันคืนอยากให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เสียด้วยซ้ำ”

ชัดยิ้ม สีหน้าไม่แสดงความเสียใจเท่าน้ำคำที่กล่าวแล้วถามว่า

“พี่ใหญ่มีเหตุผลอย่างใดหรือ ให้ผมรู้ได้บ้างไหม ?”

“รู้บ้างได้” วิชัยตอบตรง ๆ ตามโวหาร “พี่อยากให้แกมีเมียเสียเร็ว ๆ จะได้สิ้นห่วง ถ้ายืดเวลาให้นานออกไปกลัวว่าแกจะจับบทเที่ยวอีก”

น้องชายหัวเราะอย่างขบขัน

“ยังไม่ไว้ใจ ?” เขาว่า “ชาติเสือไม่ทิ้งลายยังงั้นหรือ ?”

“ถูกแล้ว พี่ถึงอยากให้มีแม่เสือคอยกำกับ”

“จันทรอยากจะไปฮันนิมูลที่สงขลา” ชัดบอก “ผมเองก็อยากจะพาแกไป แต่กระเป๋าของเราไม่อนุญาตแล้วพี่ช้อยแกยิ่งว่าพี่ใหญ่หมดตัวเพราะผม”

วิชัยยิ้มค่อนข้างเศร้า “ยังไม่หมดทีเดียวหรอก” เขาตอบเพื่อเอาใจ “แต่ว่าเราต้องคิดถึงวันข้างหน้าเหลือไว้บ้างสำหรับถึงคราวจำเป็นจะได้ไม่ต้องวิ่งเป็นไก่ตาแตก”

“นั่นน่ะชี ผมคิดแล้วเหมือนกัน” ชัดตอบอย่างเด็กดี

“แกก็จะได้อยู่ในบ้านตามลำพังผัวเมีย” วิชัยพูดสืบไป “ฮันนิมูลในบ้านก็แล้วกัน ประเพณีเดิมของเราก็มีอยู่ หนุ่มสาวแต่งงานแล้วเขาอยู่แต่ในบ้าน ๓ วันแล้วถึงจะไปไหว้พ่อแม่ ๓ วันไม่พออยู่เสีย ๗ วันหรือมากกว่านั้นก็ได้”

“ผมอยากรู้ว่าคุณแม่จะเอาอะไรรับไหว้ผม รถยนต์สักคันก็จะดีหรอก”

คราวนี้วิชัยไม่ตอบ มองดูน้องแล้วนึกสมเพชอยู่ในใจ

พิธีขึ้นบ้านจะได้ทำรวมไปในพิธีแต่งงานทีเดียว รายจ่ายในการนี้ฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นผู้จ่าย ส่วนรายจ่ายในการเลี้ยงอาหารและมโหรีนั้นทางฝ่ายหลวงธุรกิจ ฯ รับภาระไป

วันที่สุดวันสำคัญนี้ก็มาถึง

ตั้งแต่เช้าตรู่ นางศรีวิชัย ฯ และช้อยแต่งตัวออกจากบ้านไปพร้อมกับชัด เมื่อเขาเหล่านั้นไปพ้นแล้ว วิชัยก็พาตัวมานั่งบนบันได

ข้อศอกทั้ง ๒ เท้าเข่า คางวางอยู่บนฝ่ามือภายหลังมือก็เลื่อนขึ้นปิดส่วนต่าง ๆ ในวงหน้าจนมิด ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มีรอยน้ำใส ๆ ติดอย่ที่มือ

วันนั้นทั้งวันวิชัยได้หนูนิดเป็นเพื่อนใจ แม่หนูขนเครื่องเล่นสารพัดอย่างเข้ามาในห้องลุง มีเด็กหญิงลูกของแม่ครัวเป็นเพื่อนเล่น และมีนางละมุนเป็นผู้กำกับราวกับว่าเด็กน้อยลดปริมาณความหม่่นหมองของผู้เป็นเจ้าของห้องได้ แม่หนูทำตัวให้เป็นที่น่ารักน่าชมตลอดเวลา การจู้จี้เอาโน่นเอานี่ การร้องไห้ทำอำนาจเมื่อไม่ได้ดังใจเป็นอันว่าไม่มี แม่หนูนั่งเล่นนั่งดู นั่งหัวเราะหรือมิฉะนั้นถ้าเบื่อนั่ง ก็ลุกขึ้นเต้น ๒ – ๓ ครั้งแล้วก็โผถลาเข้ามาที่ลุง มือแม่หนูโอบคอเขาไว้ แก้มแม่หนูเคลียอยู่ที่หน้าเขา ปากแม่หนูฉอเลาะด้วยคำหวาน และจมูกแม่หนูก็จรดลงที่แก้มเขาด้วย เสียดายหนอที่แม่หนูไม่เดียงสาพอที่จะเข้าใจว่าตัวทำความดีให้แก่ลุงเพียงใด ถ้าแม้นแม่หนูเข้าใจได้ คงจะภูมิใจยิ่งนัก และคงจะประเล้าประโลมชายผู้มีหัวใจชอกช้ำเหลือแสนเต็มความสามารถยิ่งกว่านี้

๑๕.๓๐ นาฬิกา นางศรีวิชัยกับช้อยมาแต่งตัวที่บ้าน แล้วก็รีบกลับไปยังถนนบางซื่ออีกเพื่อให้ทันฤกษ์หลั่งน้ำพุทธมนต์ ซึ่งกำหนดไว้เวลา ๑๗ นาฬิกาตรง ใกล้จะถึงเวลานี้ พระอรรถคดี ฯ เวียนมองดูนาฬิกา และนั่งไม่เป็นสุขขึ้นทุกที ผลที่สุดเขาก็ละหนูนิดและคนอื่น ๆ ไว้ในห้องตัวเอง ลงบันได้เรือนและออกนอกบ้านทั้งที่ไม่ได้แต่งตัว

วิชัยออกประตูใหญ่ เลี้ยวซ้ายค่อยๆ เดินมาตามถนนอันสั้น เป็นถนนตัดใหม่และยังไม่อยู่ในความเรียบร้อย จึงหายวดยานที่จะผ่านไปมาได้ยาก ภาพแห่งต้นไม้และบ้านเรือนที่เรียงรายเป็นแถวยาวดึงความเอาใจใส่จากวิชัยได้บ้าง พอคุ้มกับความวิงเวียนที่เกิดขึ้นเล็กน้อยและเพราะเหตุที่ถนนนั้นกว้างใหญ่ และมีด้านที่ลมพัดมาไม่ต้องที่กำบัง ความเย็นรื่นแห่งอากาศในตอนนี้ ก็ช่วยให้วิชัยหายใจปลอดโปร่งขึ้น เลี้ยวซ้ายอีกครั้งมาทางบ้านของเขาเอง ทางทั้งหมดนี้มีระยะไม่เกิน ๕ เส้น แต่ก็ไม่สั้นเกินไปสำหรับคนที่ยังอ่อนกำลังเช่นวิชัย เหตุฉะนั้นเขาจึงเลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงตรอกเล็กข้างบริเวณบ้านคุณแม้น ฯ ฝีเท้าที่ช้าอยู่แล้วยิ่งช้าลงกว่าเก่า เมื่อวิชัยกำลังถามตัวเองว่าจะกลับเข้าบ้านหรือแวะที่บ้านคุณแม้น ฯ ก่อน ด้วยเขานึกขึ้นได้ถึงคุณทั้ง ๒ ว่าเป็นผู้ปกติชอบสนทนาทางธรรม โดยไม่ล้าสมัยเกินไป และในเวลาที่วิชัยรู้สึกตัวหัวใจกำลังหมกมุ่นอยู่ในเรื่องเหลวใหลจนน่าบัดสีเช่นนี้ สิ่งใดเล่าจะเหมาะแก่ใจเขาเท่ากับได้ฟังคำสนทนาที่มีหลักควรแก่การยึดถือ

เขาตัดสินใจได้เมื่อเดินมาถึงช่องรั้วชบาพอดี ก้มตัวลอดเข้าในช่องเดินต่อไปอีก ๒ ก้าว เขาก็ซะงักเช่นเดียวกับที่ชะงักเมื่อประมาณสัก ๔ – ๕ เดือนก่อนหน้าวันนี้

ในที่เดียวกันกับวิชัยเคยมาพบอนงค์นั่งอยู่กับช้อย อนงค์นอนพังพาบกระดกเท้าอยู่ คางของหล่อนเกยอยู่กับมือประสานกัน มีหนังสือวางอยู่ ๒ เล่ม เล่มหนึ่งเปิดแบอยู่ตรงหน้าอนงค์ แต่หล่อนมิได้อ่าน เหตุฉะนั้นหล่อนจึงมองเห็นเขาได้ในทันที

ผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วอนงค์ร้องว่า

“คุณพระ ! อุ๊ยตาย ! มายังไงนี่ ?”

พูดแล้วหล่อนยืนขึ้นอย่างว่องไว วิ่งตรงมายังพระอรรถคดี ฯ ทำท่าเหมือนจะเข้าไปประคองตัวเขาไว้

วิชัยถอยหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมกับที่อนงค์พูดว่า

“เกาะแขนอนงค์เถอะค่ะ จะไปไหน ดิฉันจะพาไปส่ง” พูดแล้วหล่อนยื่นแขนให้เขา

อีกฝ่ายหนึ่งสั่นศีรษะ แล้วตอบในสีหน้าแสดงความตื่น

“ฉันเดินได้แล้วไปเดินมารอบบ้านแล้วนึกถึงคุณที่นี่จึงแวะเข้ามา”

อนงค์หัวเราะขึ้นทันทีแล้วว่า

“จะหาคุณอาก็ต้องไปหาที่บ้านใหม่ของชัดซีคะ ท่านได้รับเชิญไปรดน้ำคู่บ่าวสาวเหมือนกันนี่”

“โอ๊ะ !” พระอรรถคดี ฯ อุทาน “ฉันนี่หลงเสียแล้ว !”

หญิงสาวมองดูเขาด้วยสายตามีแววประหลาด และพูดด้วยน้ำเสียงมีกังวานประหลาดเช่นเดียวกับแววตา

“คุณพระถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวซีนะคะ ขอให้อนงค์ได้เป็นเพื่อนในยามนี้เถิด ที่นั่น” ชี้ไปทางกรงนก “เย็นสบายและอากาศโปร่งดี เชิญไปนอนเล่นนั่งเล่นเถอะค่ะ หรือคุณพระอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ก็ได้ ดิฉันจะไปนั่งเสียที่อื่น”

อันคำต้อนรับด้วยไมตรีจิต ที่แสดงออกโดยแข็งขันเห็นปานนั้นเห็นจะมีคนน้อยนักปฏิเสธไม่ยอมรับเสียได้ พระอรรถคดี ฯ ลังเลอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งแล้วก็ตอบว่า

“ขอบใจในความกรุณา และถ้าฉันอยากอยู่คนเดียวฉันคงไม่มาที่นี่”

“แต่ดิฉันเกรงว่าจะเป็นเพื่อนคุยที่ไม่ดีพอสำหรับคุณพระ”

เขาพยายามยิ้มอย่างเห็นขันและตอบว่า

“แต่เราก็คุยกันได้นาน ๆ ไม่ใช่หรือ ?”

หญิงสาวยิ้มละไม “อย่างนั้นก็เชิญซีคะ” หล่อนว่า “ยืนนานเดี๋ยวจะเหนื่อย”

เมื่อแขกของหล่อนนั่งลงบนเสื่อแล้ว อนงค์รีบไปถึงริมลานหญ้า เรียกคนใช้มารับคำสั่ง ๒ - ๓ คำแล้วก็กลับมาหาวิชัย

“คุณได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านแต่งด้วยไม่ใช่หรือ?” พระอรรถคดี ฯ ถาม

“ค่ะ เราได้รับเชิญทั้ง ๕ คน อีกประเดี๊ยวพี่ประสิทธิ์จะมารับอนงค์ เวลานี้เธอขอยืมรถไปเที่ยว”

“คุณก็รู้ว่าคุณอาจะไม่อยู่ ทำไมถึงมาที่นี่ หรือมาเปื่อย ๆ ไปยังงั้นเอง”

หล่อนมองดูเขาโดยมีความหมาย แต่วิชัยไม่ได้สังเกต หล่อนไม่ตอบคำถามของเขา เขาก็เลยไม่ถามอีก

คนใช้นำหมอนสำหรับห้องรับแขกมา ๒ ใบ กับถาดที่ชาฝรั่งมีเครื่องพร้อม หญิงสาวรับหมอนส่งให้วิชัยพลางว่า

“นอนซิคะ”

“ขอบใจ นั่งอยู่อย่างนี้ก็สบายแล้ว”

“โธ่ อย่างเกรงใจเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าคุณพระแข็งแรงอย่างคนธรรมดา นอนเถอะค่ะ ไม่นอนก็เอกเขนกซีคะ ไม่ควรจะดื้อเลย”

วิชัยเอนตัวเท้าข้อศอกลงบนหมอน แต่ขายังพับอยู่โดยเรียบร้อย อนงค์รินน้ำชาและถามจำนวนน้ำตาลกับนมที่เขาต้องการ วิชัยตอบแล้วพูดต่อ

“ดูเหมือนฉันถูกห้ามไม่ให้รับประทานน้ำชา หมอเขาว่าแสลงเส้นประสาท แต่วันนี้ลองขัดคำสั่งหมอดูสักหน่อย เพราะน้ำชาเป็นของโปรดของฉันอยู่ด้วย”

หญิงสาวมองดูเขาอย่างตรึกตรอง ถามว่า “สมควรหรือคะ” ครั้นเขาพยักหน้าอย่างมั่นใจ หล่อนจึงหัวเราะและส่งน้ำชาให้พร้อมกับจานขนมฝรั่ง

อาศัยที่วิชัยมิใช่เป็นคนเจ้ามารยา ประกอบกับท่วงทีที่อนงค์แสดงต่อเขานั้นดูประหนึ่งหล่อนถือว่า เขาเป็นผู้เคยสนิทสนมกับหล่อนแล้วอย่างที่สุด วิชัยจึงรับประทานขนมฝรั่งจนหมด ๒ ชิ้นและดื่มน้ำชาจนเกลี้ยงถ้วย

เมื่อคนใช้ยกถาดน้ำชาไปแล้ว วิชัยเปลี่ยนจากท่าเอกเขนกอย่างระวังกริยาเป็นท่าเอกเขนกอย่างสบาย อากาศโปร่ง ๑ ฤทธิ์น้ำชาที่ปรุงอย่างเหมาะเจาะ ๑ เสียงลมพัดใบไม้ไหว ๑ เสียงนกที่จู๋จี๋อยู่ในกรง ๑ คำหวานของหญิงที่มีลักษณะไม่ขัดตา และมีมารยาทอันควรแก่การพิศดู ๑ ทำให้วิชัยสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ทอดตามองสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีใจจดจ่อถึงเรื่องใด ๆ อนงค์เห็นเขานิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นจึงถามขึ้นว่า

“ดิฉันจะอ่านหนังสือให้ฟังเอาไหมคะ เรื่องมัทนะพาธา แต่คุณพระคงเคยอ่านแล้ว”

“ข้อนั้นน่ะไม่สำคัญหรอก อ่านแล้วฟังอีกก็ได้ แต่ว่าเมื่อมีเพื่อนที่จะคุยกันได้ดี ทำไมถึงจะอ่านหรือฟังหนังสือเสียเล่า หรือคุณกำลังอ่านค้างอยู่เมื่อฉันเข้ามาขวางความสำราญ ?”

“คุณพระเป็นคนทำให้ดิฉันสำราญขึ้น เพราะว่าเมื่อคุณพระเข้ามานั้น ดิฉันหยุดอ่านหนังสือแล้วกำลังลืมตาฝัน”

เขาเหลือบตาขึ้นมองดูหล่อน คำพูดประโยคสุดท้ายชักให้เขาคิดถึงความที่ได้สนทนากับหล่อนบนรถในคืนวันหนึ่ง นิ่งขรึมอยู่ในความคิดนั้นแล้ววิชัยก็ถอนใจ

ต่อมาอีกครู่หนึ่งประสาทในตัวบอกกับวิชัยว่า สายตาคู่หนึ่งจ้องดูเขาไม่วางตา เขาเงยหน้าขึ้นก็สบตาอนงค์อย่างจังที่สุด หญิงสาวมีโลหิตฉีดขึ้นหน้า พระอรรถคดี ฯ อึกอักหนังสือวางอยู่ใกล้ตาและใกล้มือเขาจึงหยิบมาเปิดตรงกลางเล่ม แล้วก็ถามขึ้น

“คุณอ่านถึงตรงไหนแล้ว ?”

อนงค์แลไปเห็นรูปนางมัทนายืนรำพึงถึงท้าวชัยเสนอยู่บนระเบียงอาศรม แล้วหล่อนตอบแก่เขาว่า

“อ่านจบตลอดเล่มแล้วค่ะ แล้วเลือกอ่านใหม่ตรงที่เพราะถูกใจ”

พระอรรถคดี ฯ ยังก้มหน้าอ่านหนังสือ อนงค์พูดขึ้นอีก

“สังเกตไหมค่ะ คนโบราณมักจะชอบพูดคนเดียว ดิฉันเห็นมีในหนังสือหลายเรื่องแล้ว”

เขาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแก้ว่า

“ไม่ใช่นะคุณ รำพันความในใจ”

“ก็รำพันออกมาดัง ๆ จากปากไม่เรียกว่าพูดหรือคะ ?”

“พูดเหมือนกันแหละ แต่ไม่ใช่พูดอย่างธรรมดาที่คน ๆ หนึ่งพูดกับอีกคนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละครถ้าไม่พูดดัง ๆ คนดูทำไมถึงจะรู้เรื่องล่ะ”

“ก็ถูกแล้ว แต่ดิฉันก็ขันจนได้ อันที่จริงการพูดคนเดียวนั้นก็ให้ความสะดวกอย่างสำคัญเทียวนะคะ ถ้าดิฉันแน่ใจว่าเวลาพูดคนเดียวคนที่แผอิญมาได้ยิน จะเป็นคนที่ดิฉันอยากให้ฟังละก็ดิฉันจะพูดเหมือนกัน”

พระอรรถคดี ฯ มองดูหญิงสาวอย่างนึกสนุก

“คุณสังเกตด้วยหรือเปล่าว่า ข้อความที่ตัวละครรำพันดัง ๆ นั้น ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากความรัก เพราะฉะนั้นถ้าโรคพูดคนเดียวระบาดมาถึงผู้หญิงสมัยนี้ ผู้ชายก็จะสบายขึ้นอีกมาก”

“ว่าง ๆ ดิฉันจะลองดูสักวัน” อนงค์ตอบวางหน้าเฉย “เผื่อจะเคราะห์ดีได้เข้าหูคนที่ดิฉันต้องการให้ได้ยิน....” หล่อนหยุดชะงักกลางคำ ดวงตาเป็นประกายรุ่งโรจน์ และในขณะที่วิชัยเริ่มพิศวงในสีหน้าของหล่อนซึ่งมีโลหิตฉีดขึ้นจนแก้มแดงเป็นสาย อนงค์ก็เอ่ยขึ้นอีก

“ดิฉันติดใจในความดีอย่างประเสริฐของคน ๆ หนึ่ง เธอเป็นคนดีอย่างประหลาด ซื่อสัตย์ เที่ยงตรง มีศีลธรรมอย่างสูงและมีศรัทธาในการเสียสละอย่างแรงกล้า ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดที่ใครเขาขอแล้วเธอไม่ให้แต่คน ๆ นี้มีเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือทั้งขาดความระแวงและความระวัง เพราะเช่นนั้นเมื่อเธอรักผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกคนรักซ้อน เมื่อเธอรู้ความจริงนั้นเธอมีทางที่จะขัดขวางต่อสู้เพื่อความรักของเธอได้ง่าย แต่เธอไม่ทำกลับสละหญิงนั้นให้เขาไป”

อนงค์หยุดพูดแลดูผู้ฟัง จึงประสานกับสายตาที่จ้องดูหล่อนเคร่งอยู่แต่อนงค์ไม่มีนิสัยทำอะไรแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ จึงจ้องตอบเขาอย่างอาจหาญ และพูดด้วยเสียงมีกังวานซึ้ง แต่ว่าสั่นเล็กน้อย

“ถ้าอนงค์แน่ใจว่าเมื่อพูดคนเดียว จะเผอิญให้เธอผู้นั้นเป็นผู้ได้ยิน อนงค์จะรำพันว่าท่านผู้มีความดีเป็นยอดแห่งความดีทั้งหลาย ถ้าในโลกนี้มีความยุติธรรมอยู่บ้างก็จะต้องมีคนเห็นความดีของท่าน เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเขาเห็นก่อน และเขาถือว่าเป็นลาภประเสริฐแก่เขา เขาถือว่าท่านเป็นยอดชายจะหาใครเหมือนไม่มีแล้ว เขารักความดีของท่านด้วยใจบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นตัวของเขาใจของเขา ๆ ขอยกบูชาความดีของท่านโดยไม่ขออะไรตอบแทนเลยนอกจากความกรุณาเพียงเล็กน้อย”

พระอรรถคดี ฯ เบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วหันกลับมาทางอนงค์ใหม่ ถามขึ้นด้วยเสียงห้าวเกือบเป็นเสียงดุ

“คุณรู้สึกตัวบ้างไหมว่า คุณชอบทำและชอบพูดอะไรที่อาจจะทำให้คนหัวหมุนไปด้วยความเข้าใจผิดได้ ?”

“ถ้าคนฟังเข้าใจตามที่อนงค์พูด เขาก็ไม่เข้าใจผิดซีคะ” อนงค์ตอบอย่างมั่นคง “คำพูดของอนงค์ฟังยากนักหรือ จะมีคนอยู่คนเดียวคือคนที่ไม่มีความระแวงและความระวัง จนปล่อยให้เขาแย่งคนรักไปเสียนั่นแหละที่ที่จะฟังไม่เข้าใจ และคน ๆ นั้นก็คือคุณพระนั่นเอง”

พระอรรถคดี ฯ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ออกสงสัยว่าหูของตัวฟังผิด หรือมิฉะนั้นก็ตัวกำลังจะบ้า นัยน์ตาเบิกกว้างจับอยู่ที่ใบหน้าหญิงสาว อึ้งอั้นอยู่ในความประหลาดใจเป็นล้นพ้น

“ในคืนที่เรานั่งพูดกันที่ทุ่งพระเมรุ” อนงค์พูดต่อไปด้วยเสียงค่อยและอ่อนหวานนุ่มนวล “อนงค์รู้ใจคุณพระดีว่าคุณพระคิดว่าอนงค์รักอยู่กับชัด ถึงได้ให้คำแนะนำสั่งสอนอย่างอ่อนโยนที่สุด แต่ความจริงนั้นอะไร ๆ ที่อนงค์ถาม ไม่ได้ถามสำหรับตัวอนงค์ ถามสำหรับตัวคุณพระเอง เพราะได้รู้และได้เห็นว่าคุณพระเศร้าโศกนัก ให้นึกสงสัยว่าคุณพระจะยอมแพ้แก่ตัวเองง่าย ๆ อย่างนั้นแหละหรือ ขอรับประทานโทษอย่าหาว่าอวดดี อนงค์อยากจะให้คำพูดของคุณพระเองเตือนสติคุณพระด้วย ซึ่งคงจะไม่เป็นผล เพราะคืนนั้นเองโรคหัวใจของคุณพระกำเริบหนักขึ้น คนอย่างอนงค์น่ะหรือคะ ถ้าได้มีคู่รักแล้ว ไม่มีวันยอมให้คนอื่นแย่งไปได้หรอก แต่นี่อนงค์ไม่ได้ชอบชัดยิ่งกว่าเพื่อนธรรมดา ตัวบุคคลไม่ชนะใจอนงค์ได้ง่าย ๆ หรอกค่ะ แต่ความดีในตัวบุคคลนั่นแหละอนงค์เห็นแล้วก็รักจับจิตจับใจ และเพื่อที่จะได้ความดีนั้นมาคุ้มครองตัวอนงค์เพื่อความสุขใจภายหน้า อนงค์ขออุทิศทุก ๆ สิ่งให้แก่บุคคลที่เป็นเจ้าของความดีเมื่อท่านได้ให้อะไรใคร ๆ เขามากแล้ว ท่านจะไม่ยอมรับสิ่งที่เขาให้ท่านด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงหรือคะ”

ในขณะที่นิ่งฟัง สีหน้าอันซีดเซียวของวิชัยมีสีมากขึ้นทุกที ความพิศวง ความปิติด้วยความภาคภูมิใจ ความปรานี ความสงสาร เกิดเป็นความรู้สึกขึ้นพร้อมกัน ทำให้แววตาของเขาอ่อนโยน พิศดูหน้าอันงามอยู่ด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า แล้วพึมพำเบา ๆ

“โธ่ เด็กเอ๋ยเด็กศรัทธาแก่กล้านัก !” เว้นระยะพูดเสียงกระชับขึ้น “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นคนมีแผลในใจ หรือที่ถูกใจของฉันเป็นแผลเสียแล้ว ฉันจะยกสิ่งใดให้ตอบแทนความปรารถนาของคุณได้”

“เพราะรู้อยู่ว่าใจของคุณพระเป็นแผล มีแผลที่เกิดจากความดีของคุณพระเอง อนงค์จึงรักแผลนั้นอยากจะได้เป็นคนรักษา จะชำระแผลและใส่ยาถอนพิษแต่เบา ๆ ทีละเล็กละน้อย ไม่ให้แผลกระเทือนแล้วกลับเป็นพิษขึ้นได้ คำพูดของคุณพระเอง ทุก ๆ สิ่งมีเกิดต้องมีดับ ถ้าอนงค์ตั้งใจรักษาแผลโดยไม่ใจเร็วด่วนได้ แผลจะไม่มีวันหายทีเดียวหรือคะ”

ในยามที่กำลังกายยังอ่อนนัก กำลังสติจึงไม่แข็งพอที่จะต่อต้านอำนาจสายตาอันแวววาวอยู่ด้วยความอ่อนหวานเชิงชวน ความเป็นผู้ชายของหัวใจที่ว้าเหว่พลุ่งขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน วิชัยก็อ้าแขนโอบตัวอนงค์มากอดไว้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ