๒๙

นตฺถิสนฺติปรํสุขํ สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี !

บ้านนางศรีวิชัยบริรักษ์ตกอยู่ในภาวะที่เปรียบได้ว่าเป็นนรกอ่อน ๆ มีพิษร้อน เกิดจากประมุขแห่งบ้าน เผาผลาญคนในบังคับบัญชาให้ทุรนทุรายไปตามกัน จำเดิมแต่พระอรรถคดี ฯ ได้เป็นผู้ช่วยให้ชัดทำลายความหวังของคุณนายชื่นในอันจะปลูกฝังลูกตามใจชอบเสียแล้ว คุณนายผู้นี้ก็ดูเหมือนจะได้เปลี่ยนตัวเองจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นางยักขินี มีหน้าตาเหี้ยมเกรียม กิริยากระบึงกระบอนและวาจาก้าวร้าวเป็นที่ระคายหู ทำคนอยู่ไกลไม่อยากเข้าใกล้ และทำคนอยู่ใกล้ให้อยากหนีออกห่าง ไม่ว่าเช้า ไม่ว่าเย็น ไม่ว่ากลางคืน สุดแต่ประมุขแห่งบ้านตื่นอยู่ คนในบ้านก็หายใจไม่คล่อง ด้วยคอยแต่วับ ๆ หวำ ๆ ไม่รู้ว่าตนจะถูกเกรี้ยวกราดขึ้นมาเวลาใด ๆ อยู่ดี ๆ ไม่มีเรื่องท่านทำเรื่องให้มีขึ้น เรื่องมีแต่เพียงเล็กน้อย ท่านทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ตั้งแต่แม่ครัวศีรษะเป็นดอกเลา ตลอดจนกระทั่งเด็กในผ้าอ้อมไม่ได้รับความยกเว้น แม้ไม่ถูกข่มขู่ด้วยคำหนักก็ต้องกระทบกระแทกเปรียบเปรย อย่างน้อยที่สุดให้จุกจิกเป็นที่กวนใจ

ไม่ต้องสงสัยว่าในระยะนี้ วงศ์วานที่ชิดเชื้อกับคุณนายชื่น จะเหินห่างคุณนายอยู่อย่างผิดปกติ ทั้งนี้ก็เป็นธรรมดา เพราะว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามย่อมไม่พอใจในสิ่งที่รกหูรกตา และก็สิ่งที่รกที่สุดนั้นจะมีสิ่งใดยิ่งไปกว่ากิริยาของคนที่มีใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น กับวาจาของคนผู้นั้นที่กล่าวด้วยอารมณ์เพื่อประโยชน์แก่ความแค้นของตัว

หลายวันมาแล้วที่โรคกลืนอาหารไม่ลงคอกลับมาจับช้อยอีก และก็อีกหลายวันเหมือนกันที่โต๊ะอาหารไม่มีผู้บริโภคพร้อมหน้ากันทั้ง ๔ คนแต่สักครั้งเดียว นายร้อยตรีชัดตั้งต้นกลับบ้านจำเพาะเพื่อนอนหลับ นางศรีวิชัย ฯ กับพระอรรถคดีคอยหลบหลีกกันราวพระจันทร์กับราหู ในขั้นต้นวิชัยทำตัวเหมือนไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างมารดากับตัวเขา แม่โกรธตนแสดงโกรธตอบแม่ บุรุษผู้ถือว่าผิดทางธรรม วันที่ ๑ ที่ ๒ เข้าเขาเข้ามาในห้องรับประทานอาหารตามเวลา ทั้ง ๒ วันคุณนายชื่นผู้นั่งอยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นกระทืบเท้าก่อนออกจากห้องไป วันที่ ๓ วิชัยรอให้มารดาบริโภคเสร็จตนจึงเข้ามาบริโภคภายหลัง วันที่ ๔ คุณนายบริโภคเสร็จก็มีความพากเพียรเทอาหารที่เหลืออยู่ลงในกระโถนจนเกลี้ยง ลูกหลานบ่าวไพร่ตกตะลึงไปตามกัน วันที่ ๕ และวันต่อ ๆ มาวิชัยจึงไม่เข้าในห้องรับประทานอาหารอีก กลับบ้านเมื่อพระอาทิตย์ตกนานแล้ว พอถึงก็เข้าห้องปิดประตู และไม่ออกมาอีกจนถึงเวลาไปศาลในวันรุ่งขึ้น

ในระหว่างนี้ ช้อยเป็นผู้กระสับกระส่ายมากกว่าคนอื่น คุณนายชื่นแก้กลุ้มด้วยการเฝ้าบ่นด่า วิชัยสู้ความกลุ้มด้วยการนิ่งอืดไม่พูดจากับใคร ชัดหนีกลุ้มด้วยการเตร็ดเตร่ แต่ช้อยทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กล่าวมาแล้วไม่ได้สักอย่าง การบนเพ้อพร่ำเพรื่อช้อยเกลียด ที่จะทำนิ่งอืดอยู่คนเดียวหล่อนก็ทนทำไม่ได้ การออกนอกบ้านไม่มีเวลาจำกัดก็ผิดวิสัยสตรี จะลบรอยแตกร้าวระหว่างแม่กับลูกโดยวิธีบรรเทาความผิดของวิชัยด้วยเรื่อรักขอนายจำลอง ก็กลัวคุณแม่ ไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยตัวหล่อนเองก็อยู่ในเกณฑ์มัวหมอง เพราะจันทรเป็นน้องของนายสมาน จะประเล้าประโลมพี่ชาย กิริยาของเขาที่คอยหลบหน้าเข้าห้อง ทำให้หล่อนเผยอปากไม่ขึ้น จึงมีทางเหลือสำหรับช้อยที่จะทำได้อยู่ทางเดียวคือปรับทุกข์ พอระบายความอัดอกออกเสียบ้าง แต่นั้นมาคุณแม้นกับคุณเมี้ยนจึงเป็นบุคคลอีก ๒ คน นอกจากอนงค์ที่รู้เรื่องความเป็นไปในบ้านที่ช้อยอยู่โดยละเอียด

วันหนึ่งในเวลาค่ำ นางศักดิ์รณชิตมายังบ้านที่กล่าวนี้ เผอิญประจวบเหมาะพอวิชัยกลับถึงบ้านด้วยเหมือนกัน พี่น้องเดินเคียงกันมา คุณนายชื่นยืนอยู่บนระเบียงเรือน มองไปดูไม่ทันแน่ คิดว่าลูกของตัวเป็นลูกเขย จึงตะโกนทักไปว่า

“แหมวันนี้หมางอกเขา คุณหลวงศักดิ์มาถึงนี่ !”

วิชัยกับช่วงมองดูกัน ฝ่ายผู้เป็นน้องถามว่า

“ท่านดีกับพี่ใหญ่แล้วหรือยัง?”

พระอรรถคดี ฯ สั่นศีรษะ ลดฝีเท้าลง มีอาการลังเลเหมือนจะเลี่ยงไปเสียทางหนึ่ง ช่วงมือไวคว้าแขนเสื้อเขาไว้พลางพูด

“ไปไหนเล่า งอนไปได้ มาเถอะน่า ดูทีหรือท่านจะว่ากระไร”

อีกฝ่ายหนึ่งดึงแขนจากมือน้องโดยละม่อมแล้วเบี่ยงตัวหลบเข้าบังหลังน้อง เดินตามมา

ในเวลานั้นคุณนายชื่นรู้สึกตัวแล้วว่าตาของท่านลวงตัวท่านเอง แต่ฝ่ายผู้ที่ท่านเห็นผิดไปนั้นเผอิญเป็นบุคคลที่ท่านทั้งเคียดแค้นทั้งพะวงถึงอยู่ในใจหลายวันนักหนา แล้วท่านมิได้เห็นหน้าเขาเลย ครั้นเห็นเข้าในบัดนี้ รู้สึกครึ่งยินดีและครึ่งชังน้ำหน้า ด้วยมัวแต่พะวักพะวนอยู่กับความรู้สึกภายใน คุณนายชื่นจึงนิ่งอยู่

ช่วงนั่งลงทำความเคารพมารดาตรงบันได วิชัยนั่งต่ำถัดช่วงลงไปอีก คุณนายชื่นนั่งลงด้วย ปากก็พูดกับลูกสาว แต่ตาจับอยู่ที่ลูกชาย

“ลูกหายเจ็บแล้วหรือแม่ถึงมาเที่ยวได้ หรือมาธุระอะไร?”

“มาเยี่ยมคุณแม่ เยี่ยมพี่เยี่ยมน้อง” ช่วงตอบ “ตาศักดาวันนี้ไม่เจ็บไข้ ตัวเย็นเป็นปกติดี” หันมองเข้าไปทางในเรือน “นี่แม่ช้อยเขาไปไหนนะ?”

“ท่าเขาจะไปหาพวกพ้องเขาซี” คุณนายพูดตวัดหางเสียง “พวกเขามาก ทางบ้านโน้นแน่ะ”

ยังไม่ทันขาดคำ ช้อยก็โผล่ออกมาจากช่องทางที่ตัดกับบันได หล่อนเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นวิชัยอยู่ในที่นั้นด้วย ไหว้พี่สาวพลางถามว่า

“ตาศักดาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“หายแล้ว คุณน้าว่าจะไปเยี่ยมไม่เห็นโผล่สักที”

“ก็ฉันค่อยได้ไปไหนกับใครเมื่อไร้ ไปแต่ที่บ้านคุณครูเพราะว่าไปง่าย อยากไปเมื่อไรออกประตูก็ถึง อยู่ว่าง ๆ ไม่มีธุระก็ไปนั่งเล่นแก้รำคาญ”

“ตาชัดยังไม่กลับหรือ?”

“โอ๊ย !” คุณนายเอ่ยขึ้นทันที “เขาจะกลับมาทำไม ที่นี่มันใช่บ้านใช่ช่องของเขาเมื่อไรล่ะ มันที่พักคนเดินทางนี่ยะ เขามาแต่เวลานอนเท่านั้น”

“เขาไปที่บ้านฉันเสมอ” ช่วงพูดวางหน้าเฉย “หมู่นี้ยิ่งไปบ่อยใหญ่ นั่งอยู่จนดึก ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มไม่รู้จักกลับ”

“ยังงั้นรึ?” คุณนายชื่นหลุดปากถามด้วยความประหลาดใจและพอใจระคนกัน

ช้อยมีความยินดีไม่น้อยกว่าคุณนาย จึงถามซ้ำเป็นคำเดียวกัน

“ยังงั้นรึ? ฉันน่ะนึกว่าเขาไปเที่ยวแหลกอยู่ที่ไหน”

ช่วงหัวเราะอย่างมีชัย แล้วตอบว่า

“เดี๋ยวนี้เขาไม่แหลกแล้ว กำลังจะตั้งเนื้อตั้งตัว ไอ้ที่เขาหาย ๆ ไปน่ะเขาไปอยู่ที่บ้านเท่านั้นแหละ”

คุณนายชื่นมองดูช้อยประสงค์จะให้ถามต่อ แต่ช้อยมีความระวังตัวพอที่จะไม่ถาม ท่านอดใจอยู่ไม่ได้จึงต้องถามเอง

“ไปบ้านใคร?”

“บ้านดิฉัน บ้านแม่ชดแม่ชิด แล้วก็บ้านแม่จันทร”

วิชัยกับช้อยชำเลืองดูมารดาพร้อมกัน หญิงอาวุโสนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ในขณะที่ความทิฐิกับความใคร่รู้กำลังต่อสู้กัน ในที่สุดจึงถามออกมาว่า

“แม่จันทรคนนี้น่ะใคร?”

ช่วงหัวเราะอย่างเห็นขัน “คุณแม่ยังไม่รู้จักชื่อลูกสะใภ้ !” หล่อนว่า แล้วพูดต่อเรื่อยโดยไม่พักเอาใจใส่กิริยาของผู้ฟัง “จำได้ไหมคะ ขาว สวย เรียบร้อย พี่ใหญ่ยังติดใจเลย ดีว่าตาชัดเขามาขวางเสียก่อน ไม่ยังงั้นก้อได้เป็นสะใภ้ใหญ่น่ะซี”

“เหลวใหล !” วิชัยขัดเสียงเขียว มองดูน้องตาเขม็ง

ช้อยมีเชาวน์ไวพอ หัวเราะพลางพูดกลบเกลื่อนว่า

“แม่จันทรใครเห็นก็ติดใจ ถึงคุณหลวงของพี่ช่วงก็ออกปากชมเปาะไม่ใช่หรือ”

อาศัยหญิงที่ ๒ แสดงบทซื่อ ทำตัวเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ต่อความบาดหมางระหว่างแม่กับลูกชายได้แนบเนียน คุณนายชื่นถึงจะมีใจอันขุ่นอยู่ด้วยฤทธิ์เคือง ก็ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสำแดงฤทธิ์อย่างเอิกเกริกเช่นวันก่อน ส่วนช้อยก็มีใจตั้งอยู่ในความใคร่จะเรียนปฏิบัติข้อความบางอย่างแก่คุณแม่ เมื่อพี่สาวช่วยทำทางให้แล้ว หล่อนจึงรีบเดินทันที

“คุณแม่ทราบหรือยังคะว่า คุณหญิงมะยมกำลังจะยกแม่สอางให้กับคุณจำลอง น้องชายคุณแสวง?”

คุณนายชื่นค้อนลมอย่างว่องไวแล้วตอบว่า

“มันก็แน่ละซี ก็ไอ้ชัดสันดานมันอกตัญญู เห็นคนอื่นดีกว่าแม่ ใครเขาจะอยากได้มันเป็นเขย ถ้ามันเป็นผู้เป็นคนเหมือนลูกเขาทั้งหลาย คุณเทวดาอะไรก็ไม่ได้ชมแม่สอาง”

“แต่ว่าเท่าที่ดิฉันทราบมาดูเหมือนเขาเต็มใจจะให้กันก่อนที่ตาชัดจะเปิดเผยเรื่องแม่จันทร เพราะเรื่องของคุณหญิงมะยมก็ไม่มีอะไร นอกจากอยากจะแต่งงานลูกสาวคนสุดท้องให้แก่คุณแสวง แต่ว่าท่านถือหลักไม่ยอมให้น้องแต่งงานก่อนพี่ ท่านจึงวิ่งหาคู่ให้แม่สอางเสีย ให้พร้อมกับน้อง พอพบนายชัดเป็นคนโสด ซึ่งกำลังหอมท่านก็เลยรีบคว้า ครั้นต่อมาเมื่อคุณแสวงชักน้องชายไปติดต่อกับแม่สอางได้แล้ว ท่านก็เห็นว่าพ่อชัดของเราไม่วิเศษกว่าคนอื่นอย่างไรเลย

“พูดข้างเดียวจะพูดว่ากระไรก็ได้” คุณนายกล่าว “อย่ามาเอาชนะคะคานกับฉันเลย ฉันยอมกลัวพวกหล่อนแล้ว”

“ดิฉันเล่าเพื่อจะให้คุณแม่หายร้อนใจในเรื่องคุณหญิงมะยม”

ผู้เป็นมารดาหัวเราะเสียงกร้าว “ขอบใจละย่ะ เพิ่งจะมาเป็นห่วงกันเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องหรอกจ้า ไม่ต้องห่วงฉันหรอก หล่อนจะขี่คอกันไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญเถอะ ฉันเลี้ยงพวกหล่อนมาโตแล้ว มีบุญมีวาสนาไปตามกัน จะนั่งนึกถึงฉันทำไม ทุกวันนี้ฉันอาศัยอยู่ในบ้าน เท่ากับหมาตัวหนึ่งซานมาเพื่อพึ่งข้าวสุกพวกหล่อนทั้งนั้น” พูดแล้วคุณนายก็ยกชายสไบขึ้นแตะตา ลุกขึ้นเดินเข้าไปเสียในห้อง

พระอรรถคดี ฯ มองตามแม่แล้วก็เหลือบตามองเลยขึ้นไปจับอยู่บนเพดาน ช่วงกระซิบกระซาบว่า

“คุณแม่ท่านอาฆาตแรงจริงนะ”

ช้อยส่ายหน้าอย่างหมดอาลัย ช่วงพึมพำต่อไปอีก

“เรานึกว่าท่านจะค่อยยังชั่วโกรธมั่งแล้ว นีกอยากจะฟังเสียงท่านดูก็เลยเคาะเล่น ที่จริงท่านก็ไม่ปึงปังแล้วนะ ยายช้อยไม่ควรไปแหย่เข้านี่”

ฉันหาโอกาสจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังหลายวันมาแล้ว” ช้อยสารภาพ “แต่ไม่กล้าพูดขึ้นก่อน วันนี้เห็นท่าในตอนต้นดูว่าจะพื้นดีกว่าทุกวันก็เลยพูดขึ้น ฉันอยากจะให้ท่านรู้เรื่องนี้เสียท่านจะได้โกรธเราน้อยลง เพราะท่านบ่นเรื่องลูกชายจะทำให้ท่านเข้าหน้าคุณหญิงมะยมไม่ได้อยู่ทุกวัน”

“อันที่จริงในตอนแรก ก็ออกจะกระดากเขาเหมือนกันแหละ แต่เมื่อ ๒-๓ วันมานี้ ไปพบเขาที่โรงละครเขาพูดจาปราศรัยดี ถึงกับคุณแม่ก็คุยกันสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน ชั่วแต่ไม่ได้นัดให้ไปเล่นไพ่อีกเท่านั้น”

“เขารู้เรื่องที่ตาชัดมีคู่รักแล้วหรือยังนะ”

“รู้แล้ว !” ช่วงลงเสียงตอบ “คุณแม่รีบไปบอกโดยเร็วทีเดียว และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไร เพราะถ้าต่อว่าคุณแม่คงอดเล่าให้ฉันฟังไม่ได้”

“อ้าว ลงท้ายเรื่องมันก็สมจริงอย่างที่ฉันว่า ตาชัดหรือจะสู้นายจำลองได้ เรามันจน เขามันมั่งคั่งจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร”

“เออ ! โลกนี้มันยุ่งจัง” ช่วงกล่าว “เบื่อพิลึกเมื่อไหร่จะลงรอยกันเสียทีก็ไม่รู้ ไอ้เราก็คอยแต่ฟังบ่น เดี๋ยวแม่ไปบ่นให้ฟัง เดี๋ยวน้องบ่นให้ฟัง เออพี่ใหญ่คะ คุณหลวงสั่งให้บอกว่าตั้งแต่ได้เงินมาแล้ว ไม่เห็นไปหาอีกเลย หรือหลบกลัวจะทวงดอกเบี้ย”

“บ้า” วิชัยตอบ ครึ่งขันครึ่งฉิว “สัญญาว่า ๓ เดือนถึงจะส่งดอกเบี้ยกันทีหนึ่ง หลบผีอะไร”

“ก็เขาสั่งให้ดิฉันบอกว่าเขาไม่เอาดอกเบี้ย เขาไม่อยากได้ผลประโยชน์จากคนโง่ ๆ บ้า ๆ อย่างพี่ใหญ่”

“สั่งมาอย่างนี้จริง ๆ หรือ?” ช้อยถาม สีหน้าดูพิกล

“ก็จริงน่ะซี” เป็นคำตอบอย่างขึงขัง “เอ ยายช้อยนี่พิลึก ไม่สั่งฉันจะมากล้าว่าพี่ใหญ่รึ”

“ฉันนึกว่าพี่ช่วงขอยืมชื่อคุณหลวงมาว่า” ช้อยตอบตามจริง

ลักษณะยิ้มปรากฏขึ้น ในสีหน้าอันเคร่งเครียดของพระอรรถคดี ฯ แว๊บหนึ่งในขณะที่เขาพูดว่า

“สำนวนเจ้าศักดิ์พี่จำได้ มันเห็นคนในโลกเป็นบ้าหมดทุกคน นอกจากตัวมัน”

“ก็จริงนี่นะ” ช่วงเอยขึ้นโดยเร็ว “พี่ไม่มัวงุ่มง่ามจนเสียท่าชัด มิหนำซ้ำตัวเองกลับถูกหาว่าต้มน้องเพราะหวงเงิน ๒-๓ พันบาท ฮึ ๆ ไอ้เงินนั่นตัวก็ต้องเอาไปปลูกเรือนให้เขาเข้าเลือดทุกอย่างจะไม่ให้เขาว่ายังไง”

คำพูดของช่วงเท้าความถึงคำที่มารดาปรามาสตนแสลงหูเกินที่วิชัยจะถือเป็นเครื่องสนุกสำหรับจะนำมาถกเพื่อฟังกันเล่น ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยเสียงตอบเลย ช้อยทวนถามพี่สาวอย่างทึ่ง

“ใครเป็นคนว่าพี่ใหญ่ต้มตาชัด?”

“คุณแม่น่ะซี ท่านใช้คำว่าต้มทีเดียว เวลานั้นเราก็ไม่รู้เรื่องที่ตาชัดจะต้องปลูกเรือนหอ จะออกรับก็ไม่รู้จะออกว่ากระไร จนกระทั่งฉันเล่าให้ตาชัดฟัง ตาชัดบอกเรื่องบ้านถึงได้รู้ คุณหลวงเดือดใหญ่ แล้วเดี๋ยวนี้คุณแม่ก็ยังไม่รู้หรือคะ?” ประโยคสุดท้ายหล่อนหันมาทางพี่ชาย

ผู้ถูกถามไม่ปรารถนาที่จะตอบ ช้อยจึงตอบแทน

“จะรู้ได้ยังไง ในเมื่อท่านไม่พูดกับพี่ใหญ่เสียเลย ถึงกับฉันท่านก็ตึง ๆ อยู่เสมอ ดูอย่างเมื่อตะกี้ พูดกับท่าน ๒ คำท่านก็ลุกขึ้นหนี จะทำยังไง”

นิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อทุกคนรู้สึกว่าจนปัญญา ในที่สุดนางศักดิ์รณชิตนิ่งอยู่ไม่ได้นาน จึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง

“นี่เมื่อไหร่จะกินข้าวกันนี่ ทุ่มครึ่งแล้วหิวจะตาย”

“ไปเรียนถามคุณแม่ในห้องไป๊” ช้อยกระซิบ

พี่สาวใหญ่ลังเล “ด่าเอาก็ไม่รู้” หล่อนว่า แต่แล้วก็ลุกขึ้น “ฮึ ! คนหิวนี่นา ไม่ให้กินก็ให้รู้ไปเราจะได้กลับบ้าน”

วิชัยลุกขึ้นยืนยืดตัวอยู่บนบันได ช้อยจึงถาม

“พี่ใหญ่จะเข้าไปทานไหมคะ?”

“พี่ทานแล้ว” วิชัยตอบ “เคราะห์ดีไป ถ้ามิฉะนั้นจะมีเรื่องให้ยายช่วงกินข้าวไม่เข้าไปด้วย ช่วยเรียนท่านเสียด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่กินเพราะโกรธ”

ช้อยรับคำ ครั้นวิชัยก้าวขึ้นมาพ้นบันได หล่อนจึงถามอีก

“จะไปไหนคะ?”

“ไปไหน ! ไปอาบน้ำน่ะซี”

หล่อนมองดูเขาด้วยสายตาแสดงความกังวลและเกรงใจ ในที่สุดจึงออกวาจา

“อาบน้ำแล้วกลับลงมานะคะ” อิดเอื้อนก่อนที่จะพูดให้จบ “พี่ช่วงเขาอยู่ คุยอะไรกันเรื่อย ๆ บางทีคุณแม่ท่านจะเพลินพลอยคุยกับเราด้วย แล้วจะได้--ง่าไม่ต้องคอยหลบกันไปหลบกันมาอีกต่อไป”

พระอรรถคดี ฯ ยิ้มขรึม ๆ และไม่ตอบว่ากระไร

ในครู่หนึ่งต่อมา หญิง ๓ คนก็นั่งลงด้วยกันที่โต๊ะอาหาร ชั่วเวลาที่ช้อยตักข้าวใส่จานให้แม่ให้พี่ละให้ตัวเองเสร็จ คุณนายชื่นมองดูประตูถึง ๒ ครั้ง แล้วช่วงเป็นผู้ถามขึ้น

“พี่ใหญ่ไม่กินข้าวหรือยังไง?”

“เธอรับประทานแล้ว” ช้อยรีบตอบทันที “เวลานี้ไปอาบน้ำเดี๋ยวจะกลับลงมาอีก”

เมื่อส่งจานให้ช้อยตักข้าวเป็นครั้งที่ ๒ ช่วงพูดขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นจากความครุ่นคิดในใจ

“ที่ดินที่หลวงธุรกิจ ฯ เขายกให้น้องเมียเขาน่ะโตสักเท่าไร?”

ช้อยชำเลืองดูมารดาแล้วจึงตอบ

“ไร่กว่า ๆ”

ช่วงตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวช้า ๆ แล้วพูดเชิงปรารภ

“๕,๐๐๐ บาทอย่างต่ำ ตาชัดจะเอาเงินที่ไหนมาใช้พี่ใหญ่ เงินเดือน ๒ อัฐฬส แค่ใช้จ่ายประจำวันก็หวุดหวิดเต็มทีแล้ว”

ช้อยมองดูอย่างสงสัย ช่วงพยักหน้าแล้วขยิบตาซ้ำ หล่อนจึงไหวทันและตอบว่า

“จะต้องใช้อะไร พี่ใหญ่ปลูกให้ ตกลงกันตั้งแต่วันแรกที่ไปทาบทามขอเขาทีเดียว”

“อ้าว ฉันไม่รู้นี่ ไหนได้ยินว่าผู้หญิงเขาไม่เรียกอะไรเลยยังไงล่ะ”

“เขาไม่เรียกแต่เขาให้ที่น้องเขาแปลงหนึ่ง พี่ใหญ่ไม่ยอมให้ตาชัดน้อยหน้า จึงให้บ้านน้องของเธอเสียบ้าง ความเห็นของพี่ใหญ่มีอยู่ว่า เมื่อมีที่แล้วก็ควรจะมีบ้านในที่นั้นด้วย ถ้าหากเจ้าของบ้านเขาจะอยู่ ก็เหมาะดีเพราะใกล้ที่ทำงาน ถ้าเขาไม่อยู่ก็ให้เช่า จะได้ผลประโยชน์มาเจือจานในครอบครัวเพราะรายได้ของชัดก็สองอัฐฬสจริงอย่างพี่ช่วงพูด”

นางศักดิ์รณชิตลอบมองดูมารดา เห็นท่านก้มหน้ารับประทานโดยไม่พูดจา ยิ่งเกิดความคะนองจึงพูดยั่วสืบไป

“พี่ใหญ่นะลำเอียง น้องผู้หญิงแต่งงานไม่เห็นให้อะไรมาก ๆ อย่างนั้น ถึงทีน้องผู้ชายละก็ให้ได้”

“อ๊าว !” ช้อยสนองด้วยความรู้สึกสมใจ “ให้เราเสียแล้ว ป่านนี้จะมีอะไรเหลือไว้ให้ตาชัดก็อย่างเดียวกันกับเวลานี้ ให้ตาชัดเสียแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือสำหรับตัวเอง”

ไม่มีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใดออกจากปากคุณนายและช่วงก็ได้พูดเรื่องที่ต้องการพูด พอควรแก่การแล้วจึงชักชวนสนทนาให้เป็นเรื่องอื่น ๆ ต่อไป

เมื่อแม่ลูกออกจากห้องรับประทานอาหาร ทั้ง ๓ คนมองเห็นแสงไฟเป็นจุดน้อยเคลื่อนไหวอยู่กลางสนามคือแสงบุหรี่ในมือวิชัย สตรี ๓ นางนั่งลงในที่สำราญ คือริมบันได วิชัยจึงมานั่งร่วมด้วย

ช่วงกับช้อยตั้งต้นคุยกันต่อไป ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะให้มารดากับพี่ชายใหญ่ต่อปากต่อคำกัน ซึ่งในที่สุดก็สำเร็จดังประสงค์ เพราะเหตุว่าถึงแม้คุณนายชื่นยังทำใจมั่นในการที่จะวางท่าแค้นใส่ลูกชาย แต่เมื่อฝ่ายเขาทำกิริยาเหมือนไม่รู้เท่า พูด ๆ อยู่กับน้องแล้วก็หันมองให้สบตาเป็นเชิงขอความเห็นโดยเคารพ และเรื่องที่พูดเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างวงศ์ญาติ ต่างฝ่ายก็มีความสนใจปาน ๆ กัน ในที่สุดคุณนายชื่นจึงอดเสียมิได้ที่จะหลุดปากค้านคำพูดของวิชัยบ้าง หรือมิฉะนั้นก็เอออวยด้วยสีหน้า

คืนนั้นช้อยเข้านอนด้วยความรู้สึกคล้ายกับว่า มีผู้ยกศิลาแท่งใหญ่จากอก ทำให้หล่อนหายใจสะดวกขึ้นมาก ตามความคาดคะเนของหล่อนนั้น หล่อนเชื่อว่า ข่าวใหม่ที่คุณนายได้ฟังในวันนี้ ได้ทำให้คุณนายพื้นดีขึ้น ต่อแต่นี้ไปแม่ลูกคงจะค่อยเข้าหน้ากันได้ทีละเล็กละน้อย จนถึงขีดสนิท ความกลัดกลุ้มของวิชัยที่ในปัจจุบันนี้มีเหตุเป็นสอง ก็จะลดลงเหลือแต่เพียงหนึ่ง ซึ่งคงจะทรมานเขาน้อยลง คิดถึงความเหล่านี้แล้ว ช้อยก็หลับไปโดยง่ายกว่าทุก ๆ คืนที่แล้วมา....

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ