๑๑
ห้อง ๆ หนึ่งอันเป็นส่วนหนึ่งของตึกในบ้านสุขนิวาศ มีเครื่องแต่งอันประกอบด้วยศิลปอย่างใหม่ กล่าวคือ เก้าอี้เบาะหนังใหญ่และเตี้ย จนบุคคลผู้มีร่างสูงเกิน ๕ ฟิต อาจจักเกรงว่าเข่าของตนจะท่วมศีรษะ ในเมื่อตนนั่งห้อยเท้าอยู่บนเก้าอี้นั้น โต๊ะไม้ ๔ เหลี่ยมตรงไปตรงมา คล้ายกับว่าจะประกอบขึ้นได้ด้วยการไปตัดไม้มา ๔-๕ ท่อน นำมาประสานกันเข้าแล้วเรียกชื่อว่าโต๊ะ ตู้แบน ตึกตักขึงขัง ลักษณะเปรียบได้กับคนเตี้ยค่อมที่มีศีรษะใหญ่เกินช่วงตัว กับมีไฟฟ้าตั้งไฟฟ้าแขวน ขวดปักดอกไม้ รูปภาพและของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่าง นี่คือห้องนั่งเล่นของนางสาวอนงค์ สุนทรพงศ์
เจ้าของห้องนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่ปลายเท้าที่เบื้องซ้ายเบื้องขวา เบื้องหน้าเบื้องหลังล้วนแล้วไปด้วยแบบเสื้อกองซ้อนกันอยู่ระเกะระกะ อนงค์พลิกสมุดที่อยู่ในมือ พลิกดู พลิกด แล้วก็พลิกเลยไปในที่สุดจึงหยุดสายตาเพ่งอยู่ที่ภาพของเสื้อราตรีแบบใหม่และแปลกแบบหนึ่ง
ในเวลานั้น พอได้ยินฝีเท้าคนเดินนอกห้อง อนงค์ก็ทิ้งสมุดลงเสียวิ่งปราดไปที่ประตู
“พี่สมพงศ์ !” หล่อนร้องอย่างดีเนื้อดีใจ “อนงค์กำลังอยากพบอยู่ทีเดียว นี่เพิ่งกลับมาถึงหรือกำลังจะไปอีกคะ?”
“เพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้เอง มีธุระอะไรกับพี่หรือถึงได้อยากพบ” พูดพลางสมพงศ์รวบตัวหล่อนกอดไว้ แล้วจูบที่แก้ม ๒ ข้าง
อนงค์ยิ้มละไม แขนทั้ง ๒ ประสานกันอยู่รอบคอพี่ชาย หล่อนตอบเขาว่า
“อนงค์อยากได้แบบเสื้อ”
“พิโธ่ ! เท่านั้นเอง ! ก็แบบที่ซื้อจากห้างแบดแมนเมื่อวานซืนนี่ใช้ไม่ได้หรือ?”
“ใช้ไม่ได้” หญิงสาวตอบ คลายมือลงจากคอพี่ชาย ย้ายมาจับข้อมือเขา “เข้ามาข้างในเถอะค่ะ มาช่วยกันดู แล้วพี่จะเห็นว่าแบบที่เราซื้อมาน่ะมันบ้าทั้งนั้น” พี่น้องจูงมือกันเข้าประตูมา แต่พอเห็นสมุดแบบเสื้อกระจัดกระจายอยู่เกือบเต็มห้อง สมพงศ์ก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
“แม่เจ้าโว้ย !” เขาอุทาน “นี่อะไรกัน มากมายถึงเพียงนี้แล้วยังจะต้องซื้อใหม่อีกหรือ”
“ก็มันแบบเก่า ๆ ไม่มีใครเขาใช้กันแล้วทั้งนั้นนี่คะ อนงค์นั่งเลือกจนเวียนหัว คิดว่าจะดัดแปลงให้เข้าสมัยได้บ้าง แต่เลือกไม่ได้เลยเสียเวลาเปล่า นี่แน่ค่ะมีค่อยยังชั่วอยู่ตัวหนึ่ง แต่อนงค์ไม่ชอบ คอมันเป็นสี่เหลี่ยม อยากได้คอแหลม”
สมพงศ์นั่งลงบนเก้าอี้ มองดูสมุดที่น้องส่งให้แล้วพลิกต่อไปด้วยอาการที่เห็นว่าอยากจะตามใจน้องมากว่าจะเอาใจใส่จริง ๆ แล้วเขาถามขึ้นว่า
“น้องจะเตรียมตัวไปงานอะไรที่ไหน?”
“แต่งงานผสาน !” เขายังไม่ได้กำหนดวันหรอกค่ะ แต่เตรียมล่วงหน้าไว้ก่อนแหละดี แท้จริงที่เกิดอยากได้แบบเสื้อขึ้นมาวันนี้ เพราะเมื่อเช้าอนงค์เข้าไปหาคุณอา ท่านให้แพรต่วนมาหลากว่า ๆ สีเข้ากับผ้าม่วงหางกระรอกที่อนงค์มีอยู่แล้วก็เลยอยากจะตัดเสียเร็ว ๆ”
สมพงศ์พลิกสมุดไปเรื่อย ๆ พลางถามว่า
“คุณอาน่ะท่านจะไม่กลับมาอยู่ที่นี่อีกละหรือ ย้ายจากบ้านถนนเจริญกรุง ก็จะเลยไปอยู่ที่บ้านใหม่หรืออย่างไร?”
“ท่านไม่มาหรอกค่ะ ท่านบอกว่าหนวกหูหลานผู้ชาย” โดยมิได้เว้นระยะให้เขาตอบหรือแม้แต่คิดที่จะตอบ หล่อนพูดต่อไป “เห็นไหมคะ พลิกเปล่า พลิกเปล่า ไม่มีแบบที่ดีเลย พี่สมพงศ์ไปซื้อให้อนงค์ใหม่”
สมพงศ์วางสมุดลงด้วยความเต็มใจแล้ว
“ได้ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ น้องแต่งตัวเข้าซี”
“แหม มัวแต่อาบน้ำ กว่าจะเสร็จก็พอดีห้างปิด”
“เอ๊ะ ก็น้องเองก็ยังไม่ได้แต่งตัวนี่นา พี่เสียอีกจะแต่งแล้วก่อน”
“แน่ ! ก็อนงค์บอกเมื่อไหร่ว่าจะไปด้วย อนงค์ขอให้พี่สมพงศ์คนดีของน้องไปซื้อให้ต่างหาก”
“โอ้ ! ชายหนุ่มอุทาน ครึ่งขันครึ่งฉิว “พี่กลับจากทำงานเดี๋ยวนี้เองนะ--ไม่เอาน่ะ เอาเปรียบเกินไปนี่”
“แหม ไม่อยากเชียว ว่าเขาเอาเปรียบ” แล้วทำปากยื่นแต่พอน่าเอ็นดู “ก็อนงค์สระผมใหม่ ๆ ยังไม่ได้ดัดให้เข้ารูปเลย จะให้แบบหัวกระเซิงไปได้หรือ ดูซีคะ ออกรุงรังยังงี้” พลางหล่อนปัดผมที่สั้นเพียงคอกระจายไปมา
สมพงศ์มองดูน้องอย่างตรีกตรอง ครั้นแล้วจึงว่า
“พี่ไม่เห็นน่าเกลียดอะไรเลย เอาผ้าคลุมเสียก็แล้วกัน มาเถอะน่าไปด้วยกัน โธ่ พี่นั่งเมื่อยมาทั้งวันแล้วจะเกณฑ์ให้ขับรถไปคนเดียวอีกก็แย่น่ะซี”
น้องสาวของเขาทำหน้านิ่ว ลูบคลำสมุดแบบเสื้ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ปัดทิ้งเสียอย่างไม่ไยดี
“ช่างเถอะค่ะ ไม่ต้องไปหรอกไม่ตัดไม่เติดมันละ ทีหลังใครมาชวนไปไหนเราไม่ไปด้วยหรอกไม่มีเสื้อใส่”
ต่างนิ่งอยู่ในอารมณ์ไม่ดีด้วยกันทั้งคู่ ภายหลังสมพงศ์เป็นผู้ทำลายความเงียบก่อน
“อนงค์อย่าลืมวันอาทิตย์นะ”
“ไม่รู้ไม่ชี้ !” หล่อนตอบทันควัน ครั้นแล้วเกิดความอยากรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะหล่อนลืมเรื่องวันที่เขากล่าวถึงเสียสนิทแล้ว จึงถามต่อ “วันอาทิตย์ทำไม?”
“แสนงอนไม่เป็นเรื่องน่ะ” สมพงศ์ว่า จับบ่าน้องให้ศีรษะซบกับบ่าตัวแล้วลูบผมหล่อนเบา ๆ “วันอาทิตย์พี่เชิญหลวงอรรถคดีวิชัยกับตาชัดให้มากินข้าวกับเราอย่างไรล่ะ”
อนงค์ยังไม่ละพยศ ศีรษะซบกับบ่าพี่ชาย แต่เมินหน้าไม่มองดูหน้าเขา หล่อนว่า
“เบื่อจะตาย !” เดี๋ยวเชิญคนนั้นเดี๋ยวเชิญคนนี้ อีกหน่อยเราไม่อยู่ที่นี่หรอก ไปอยู่บ้านใหม่กับคุณอาดีกว่า”
สมพงศ์อึ้งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจับหน้าน้องสาวหันมาทางตน ถามด้วยเสียงเป็นงานเป็นการว่า
“เบื่อใคร? เบื่ออะไร?”
หล่อนชำเลืองมองดูหน้าเขาแวบเดียว พอได้เห็นหน้านั้นมีลักษณะยิ้มเหลือน้อย หล่อนจึงยิ้มเสียเองอย่างกระชดกระช้อย แต่ยังเจืออาการงอนไว้บ้าง “เบื่อพี่สมพงศ์ไม่ไปซื้อแบบเสื้อให้” แล้วเสริมต่อโดยเร็วไม่ทันให้เขาได้ตอบ “อนงค์ไม่สบายจริง ๆ ค่ะ รู้สึกหนักศีรษะ เพราะกลับจากบ้านคุณอากำลังเที่ยง นั่งรถผ่านแดดมา จะให้คนรถไปซื้อก็กลัวจะไม่ถูกใจ ถ้าพี่สมพงศ์ไปซื้อเป็นเลือกถูกใจน้องแน่ อนงค์เคยเห็นฝีมือมาแล้ว”
สมพงศ์หัวเราะทั้งที่ยังไม่เต็มใจจะหัวเราะเลย “พูดหาประโยชน์ตัวละเป็นที่หนึ่ง” เขาว่า “เมื่อตะกี้เองอนงค์บอกกับพี่ว่า แบบเสื้อที่พี่ซื้อให้เมื่อวานนี้น่ะ บ้า ๆ ทั้งนั้น”
“มันบ้าเพราะมันเป็นเสื้อแบบกลางวัน และเราไม่ต้องการมันต่างหากล่ะคะ เดี๋ยวนี้พี่สมพงศ์ทราบแล้วว่า อนงค์ต้องการแบบเสื้อกลางคืน แบบที่ไปซื้อใหม่มันก็ต้องไม่บ้าซีคะ”
ก่อนที่สมพงศ์จะตอบ จำลองก็เข้ามาในห้อง มีอาการชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายนั่งอยู่ก่อน แต่ครั้นแล้วก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ ที่อนงค์นั่งอยู่แล้วพูด
“พี่มีเรื่องที่จะกวนน้องเล็กน้อย”
อนงค์ยิ้มรับพี่ชายอย่างหวาน พลางแสดงกิริยาตั้งใจฟัง ก็พอได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังสนั่นมา แล้วร่างกายของนายแสวงปรากฏขึ้นตรงประตูอีกคนหนึ่ง อนงค์จึงต้องยิ้มใหม่อีกครั้งเพื่อรับผู้มาถึงใหม่
นายจำลองพูดต่อไป
“น้องสาวของเพื่อนสนิทของพี่....นายก. น่ะกลับจากอเมริกาจึงกรุงเทพ ฯ วันนี้เอง พี่เชิญเขามากินน้ำชาที่บ้านเราวันอาทิตย์ที่จะมาถึงนี่”
“อ๊ะ !” สมพงศ์กับแสวงอุทานขึ้นพร้อมกัน
จำลองมองดูพี่ชายทั้ง ๒ ทีละคน แล้วถาม
“อะไร?”
แสวงเป็นคนใจเร็ว และทำทุกอย่างโดยเร็วตลอดจนพูด เขาจึงเป็นผู้ตอบก่อนสมพงศ์
“วันอาทิตย์ อนงค์ต้องไปดูสงัดแข่งเทนนิสชิงถ้วย”
“คุณสมพงศ์มีอะไร?” จำลองถาม
“พี่เชิญหลวงอรรถ ฯ มากินข้าว ตกลงกับอนงค์ไว้หลายวันแล้ว เมื่อตะกี้ยังพูดกันอยู่”
อนงค์ยกมือขึ้นปิดปาก หัวเราะเสียงแหลม
“เออ ! กรรม ! จำเพาะจะมาจ๊ะเอ๋ในวันเดียวกันหมด ยังขาดพี่ประสิทธิ์อีกคน ไปเชิญใครไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”
อันที่จริงเรื่องของพี่นั้น เราพูดกันไว้นานแล้ว” สมพงศ์กล่าว
“ฉันเองก็ไม่ได้จ๊ะเอ๋กับใคร” แสวงเอ่ยเป็นเชิงออกรับ “อนงค์รับเชิญเขาไว้แล้วก็ลืมเสียเอง”
“เรื่องของพี่สมพงศ์กับของพี่แสวงไม่ขัดกันนี่คะ อนงค์ไปดูเทนนิสแล้วก็กลับมารับประทานข้าวที่บ้าน”
“ฮึ ยังงั้นได้หรือ สงัดจะต้องได้ถ้วยแน่ ๆ แล้วเขากะไว้ว่าจะพาเพื่อนไปเลี้ยงที่เหลาหรือที่โฮเต็ล น้องจะหนีกลับเสียก่อนเจ้าภาพก็หมดสนุกเท่านั้น
อนงค์ลุกจากที่นั่งไปเดินอยู่กลางห้อง สีหน้าแสดงความยุ่งยากใจ ภายหลังหล่อนพูดขึ้นช้า ๆ
“อนงค์สัญญาว่าจะไปดูเทนนิส แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะไปรับประทานอาหารด้วย ส่วนธุระทางบ้านสำคัญกว่า จำเป็นอยู่เองที่จะต้องกลับบ้าน ทีนี้พี่จำลองแน่ะขอเลื่อนไปอีกอาทิตย์หนึ่งไม่ได้หรือคะ?”
จำลองก้าวเท้าเข้าไปชิดน้อง ตอบเบา ๆ ว่า
“อกหักเทียวน้องจ๋า ! ถ้าเลื่อนไป ๗ วันเป็นหักแน่ ๆ งานนี้พี่ไม่ได้เชิญเขาเองดอกหนา เขาเชิญตัวเขาก่อน เพราะอยากจะเข้าใกล้ดอกฟ้าเต็มที เรื่องน้องสาวของเขานั้นเป็นแต่ข้ออ้างอิงดอก”
ดวงตาอนงค์เป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ แล้วพูดเบาเช่นเดียวกับเขา
“ถ้ายังงั้นเลื่อนเข้ามาเป็นวันเสาร์ เสาร์ที่จะมาถึงนี่ละค่ะ เร็วกว่าวันอาทิตย์ไปอีก แต่ขอว่าให้รับประทานอาหารค่ำแทนน้ำชา เพราะบ่ายวันเสาร์น้องก็ไม่ว่าง พอใจไหมล่ะคะ?”
แทนคำตอบ จำลองจับมือน้องขึ้นจูบ
หันกลับมาทางพี่ชายอีก ๒ คน อนงค์เห็นเขากำลังมองดูหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสวงกระแทกส้นเท้าโดยแรง บ่นพึมพำว่า
“ตกลงไอ้เรื่องของเรานะเหลว !” เสริมต่อพร้อมกับหัวเราะห้วน ๆ “ไอ้แสวงน่ะมันหวังดีมากกว่าเพื่อน แต่มันอาภัพมากกว่าเพื่อน” แล้วก็ออกจากห้องไป
สมพงศ์ลุกขึ้นจากที่นั่งช้า ๆ ๒ มือสอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เดินทิ้งน่องไปยังประตู อนงค์กับจำลองยังจูงมือกันอยู่ หญิงสาวเอ่ยขึ้นว่า
“คุณอาท่านบ่นว่าวันนี้ว่าที่บ้านเรานี้อยู่ไม่สมชื่อ”
สมพงศ์หยุดอยู่เพียงหน้าประตู จำลองมองดูผู้พูดเป็นทีถาม
“ชื่อบ้านของเราแปลว่าที่อยู่สุข แต่ว่าความสุขจริงจะมีอยู่ในบ้านนี้ไม่ได้ เพราะขาดสามัคคีธรรมและที่ไหนไม่มีความสามัคคีที่นั่นไม่มีความสุข”
ชายหนุ่ม ๒ พี่น้องหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกัน คือเห็นขันที่น้องสาวกล่าวถึงศีลธรรม ดังนั้น ลักษณะในวงหน้าของเขาจึงดูคล้ายคลึงกันมาก อนงค์วางท่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่พูดต่อไป
“พี่ ๆ มีเรื่องเป็นปากเสียงกันเสมอ”
“พี่เป็นปากเสียงกันเรื่องอะไร” สมพงศ์ถามจำลอง
น้องชายของเขาเลิกคิ้วอย่างสนเท่ห์ แล้วตอบพร้อมกับยิ้ม
“ไม่เห็นจะมีอะไร นอกจากว่าเราต่างคนช่วยกันหาคู่ให้น้อง !”
อนงค์ทำหน้าขรึมยิ่งขึ้น
“ถึงไม่เป็นปากเสียงกัน ไม่มีความพร้อมเพรียงกัน”
“มีแปลกมาอีกแน่ะ ยายแก่ !” สมพงศ์ว่า
“อย่างมีงานที่บ้าน พี่คนหนึ่งเชิญเพื่อนมาบ้าน พี่อีก ๓ คนไม่เคยอยู่ร่วมด้วย”
สมพงศ์กับจำลองมองดูกัน ประหนึ่งจะตรวจดูว่าใครควรจะออกรับแน่ แล้วพี่ชายใหญ่พูดว่า
“พี่ไม่มีความรังเกียจ แต่เจ้าของงานเขานึกไม่ถึง”
อนงค์หันมาจ้องดูจำลองเป็นทีถาม
“พี่ไม่ได้นึกถึงใครทั้งนั้น” จำลองสารภาพ
สมพงศ์ยักไหล่ แบมือทั้ง ๒ ข้างเป็นเชิงจะบอกคนกลางว่า “เห็นไหม”
“แต่พี่ไม่มีความรังเกียจ ถ้าพี่น้องเขาจะอยู่เฮฮาด้วยกับเขา” จำลองต่อ
“อา !” อนงค์กล่าวยิ้มด้วยความพอใจ “วันเสาร์นี้เวลาค่ำพี่สมพงศ์ต้องอยู่บ้าน และวันอาทิตย์ค่ำพี่จำลองต้องไม่ไปไหนเหมือนกัน”
สมพงศ์หัวเราะแล้วเดินออกไปจากห้อง จำลองโค้งตัวคำนับพลางว่า
“แล้วแต่พระเสาวนีย์”