๑๖

ที่อยู่ใหม่ของคุณเมี้ยนและคุณแม้นนั้นเป็นเรือน ๒ ชั้นหลอก กล่าวคือ ใช้เสาคอนกรีตและฝาไม้สัก ชั้นล่าง ซึ่งตามธรรมดา ควรจะเป็นใต้ถุนนั้นหาเป็นไม่ ปูกระเบื้องหน้าวัวอย่างสะสวยเรียบร้อย เปิดโล่งไม่มีฝากั้น ใช้เป็นที่นั่งเล่นได้สบาย

ข้างบนเรือนกั้นเป็นห้องเล็กห้องน้อยหลายห้อง มีเป็นต้นว่าห้องรับแขก ห้องกินข้าวและ “ห้องรก” คือห้องที่อาจใช้เป็นห้องสำหรับทำอะไรก็ได้ไม่มีเวลาจำกัด เฉพาะวันนี้เจ้าของบ้านได้จัดห้องรกเป็นห้องที่บูชาและอาสน์พระสงฆ์

งานขึ้นบ้านใหม่ในวันนี้เจ้าของงานมิได้มุ่งหมายให้เป็นงานใหญ่หรืองานสนุก หมายไว้แต่เพียงเป็นพิธีเพื่อความสวัสดิ์มงคลแก่บ้าน ครั้นแล้วก็เลี้ยงอาหารญาติและมิตร ๒-๓ คน เป็นหมดงาน

แต่ว่าคุณทั้งสองเป็นผู้ใหญ่ที่ควรแก่การเคารพ ! เป็นเพื่อนที่ควรแก่ความไว้ใจ นอกจากนี้แล้วยังเป็นคนมั่งคั่งที่ไม่มีทายาทโดยตรงอีกด้วย อาศัยเหตุผลสองประการนี้ ใครบ้างที่มีโอกาสแสดงความมีน้ำใจต่อท่านจะเพิกเฉยต่อโอกาสนั้นเสีย ฉะนั้นงานซึ่งได้กะไว้เป็นงานเล็กน้อยจึงขยายตัวกว้างขึ้นกว่าที่กะไว้มาก เพราะคนที่มาช่วยงานเป็นคนที่ไม่ได้เชิญมากกว่าครึ่งจำนวน

ทั้งใน “ห้องรก” และห้องรับแขกมีผู้ฟัง....หรือทำเป็นฟัง....พระสงฆ์สวดพระปริตราว ๓๐ คน ฝ่ายสตรีถนัดในการบีบแข้งบีบขาจึงนั่งอยู่หน้าอาสนะ ฝ่ายบุรุษคร้านต่อการบีบเนื้อบีบตัว มีหลังอันต้องพิงมีขาที่ต้องการห้อยและเหยียด จึงเลี่ยงออกไปนั่งอยู่ห่างพระแต่ให้ใกล้ฝา หรือมิฉะนั้นก็ใกล้บันได

ในจำนวนแขกผู้หญิงของคุณแม้น ฯ มีนางศรีวิชัย ฯ รวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง แขกคนนี้เป็นแขกที่ได้รับเชิญในฐานะเพื่อนบ้านและเป็นแม่ของช้อย ผู้ซึ่งคุณทั้งสองนี้นับประหนึ่งญาติ ส่วนในจำนวนแขกผู้ชายก็มีพระอรรถคดี ฯ และชัดรวมอยู่ด้วย ทั้งสองคนนี้ได้รับเชิญโดยปริยาย กล่าวคือได้ติดต่อกันทาง คนกลาง คือ ช้อยกับอนงค์

วันแรกที่วิชัยได้รู้จักกับคุณแม้น ฯ นั้นเป็นวันที่วิชัยถือวิสาสะพาตัวเองเข้าไปในบ้านของคุณทั้งสองเพื่อจะพบกับน้องและหลาน ผู้ซึ่งกำลังเดินชมต้นไม้และสัตว์เลี้ยงของเจ้าของบ้านอยู่ ในเวลาที่วิชัยเทินหลานไปบนบ่าพาเดินเที่ยวต่อไป คุณแม้นกับคุณเมี้ยนก็มาถึง วิชัยทำความเคารพโดยเรียบร้อยและได้รับคำทักทายต้อนรับเป็นอันดี

คุณทั้งสองเรียกวิชัยว่า “พ่อใหญ่” อย่างสนิทสนมโดยมิได้คำนึงถึงว่าบุรุษผู้นี้อาจจะมียศและบรรดาศักดิ์สูงต่ำเพียงใด ได้บ้างหรือไม่

ครั้นในวันหนึ่ง ท่านได้พบวิชัยในเวลาที่อนงค์อยู่ในที่นั่นด้วย ได้ยินหลานสาวเรียกเขาว่าคุณพระ คุณทั้งสองถึงกับบอกด้วยความประหลาดใจและร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า

“อะไรเป็นถึงคุณพระเทียวหรือนี่ ! ตาย ! ฉันดูรูปร่างท่าทางแกเด็กเหลือเกิน เป็นความสัตย์นึกว่ายังเป็นคุณเสมียนอะไรคนหนึ่งเท่านั้น”

แท้จริง เวลานั้นเป็นเวลาที่วิชัยได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ใหม่ เมื่อได้ฟังความเห็นของคุณแม้น ฯ แล้ววิชัยไม่แน่ใจว่าควรจะภูมิใจหรือรำคาญใจ ในข้อที่ลักษณะของตนช่างเป็นเหตุให้คนทั้งหลายเห็นตนอ่อนอายุ จนไม่เหมาะแก่บรรดาศักดิ์แม้ชั้นหนึ่งชั้นใดเสียเลย

อย่างไรก็ตามนับแต่วันนั้นมา จะเป็นที่คุณทั้งสองสำคัญว่าวิชัยเป็นบุคคลที่มีบรรดาศักดิ์สูงแต่อายุยังน้อย อันเป็นเครื่องแสดงความสามารถเกินวัยหรือจะเอ็นดูในข้อที่เขาอายุสูง แต่สีหน้าและกิริยาไม่ผิดกับเด็กหนุ่ม หรือว่าเมื่อยกบรรดาศักดิ์และวัยไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ท่านนิยมชมชื่นในคุณสมบัติส่วนอื่นของเขาอีก ทั้งที่วิชัยไม่เป็นคนหลงตัวเอง เขาก็ยังอดเสียมิได้ที่จะรู้สึกว่าท่านทั้งสองได้ให้ความชอบพอแก่เขาไม่น้อย จนแทบว่าจะเปลี่ยนคำ “ความชอบพอ” เป็น “ความรักใคร่” ก็ไม่ผิดนัก

ส่วนนายร้อยตรีชัดนั้นคุณแม้น ฯ ไม่ใคร่จะได้พบปะเขาบ่อยครั้งเท่ากับวิชัย ท่านรู้จักเขาโดยทางฟังมากกว่าได้เห็นด้วยตนเอง และมีความเอาใจใส่ในตัวเขา ก็เพราะเขาเป็นน้องของคนที่ท่านชอบอย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งท่านเห็นการติดต่อระหว่างเขากับอนงค์เป็นการที่ควรสังเกตไว้บ้าง

ในวันนี้ชัดเข้ามาในบ้านที่มีงานพร้อมกับมารดาของเขา ส่วนช้อยเป็นผู้มาทำงานโดยแท้จริง ไม่ใช่มาช่วยงานจึงมาตั้งแต่เช้า และกลับไปแต่งตัวใหม่เมื่องานสำคัญสิ้นแล้ว เพิ่งกลับมาอีกเมื่อใกล้พระสงฆ์จะจบพระคาถานี้เอง

หล่อนคลานหลีกหมู่บุรุษเข้าไปในหมู่สตรี อนงค์นั่งอยู่ปลายห้องที่สุด พยักเพยิดเรียกช้อย และหล่อนทั้งสองก็ได้นั่งอยู่เคียงกัน

ในครู่ต่อมาอนงค์ถามขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ ว่า

“พี่ใหญ่ของพี่ช้อยยังไม่มาหรือคะ?”

ช้อยมีอาการอยากหัวเราะจนถึงกับต้องปิดหน้าสะกดความขันอยู่เป็นครู่จึงตอบได้

“แต่งตัวแล้วจะมาพร้อมกับพี่ พอลงจากเรือนถูกน้ำราดทั้งตัว

จนศีรษะ เลยจะต้องสระผมและแต่งตัวใหม่”

“ตาย !” อนงค์อุทานพลางทำหน้านิ่ว “น้ำอะไรนั่นน่ะ?”

“น้าล้างมือพี่ใหญ่เอง เกือบจะมาถูกพี่เข้าด้วย เคราะห์ดีที่เดินมาข้างหน้า ถ้าถูกพี่เข้าละก็เจ้าคนราดหัวโนเป็นแน่”

อนงค์หัวเราะพลางว่า “เป็นอนงค์ก็โกรธตาย คุณพระว่ายังไงบ้างคะ”

“ไม่ว่าอะไรเลย....หัวเราะ” ช้อยตอบ “พูดคำเดียวว่า ‘ซุ่มซ่ามมากไปหน่อย’ แล้วโทษตัวเธอเองว่าไม่รู้จักบุคคล”

“เธอหมายความว่ากระไรคะ” อนงค์ถามอย่างงง

“หมายความว่าเจ้าบ๋อยมันเป็นเจ๊ก และมันซุมซ่ามเสมอ เธอควรจะรู้เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาตั้ง ๒ ปี เพิ่งจากกันมาเมื่อพี่ใหญ่ย้ายจากสงขลามากรุงเทพ ฯ แรกทีเดียวเจ้านั่นเขาไม่ยอมมาเพราะไม่อยากไกลพ่อแม่ก็แล้วยังก็ไม่ทราบ เลยตามมาอีก”

“แล้วเลยมาเทน้ำรดนายงั้นหรือคะ”

ช้อยพยักหน้าและว่า “มันซุ่มซ่ามเสมอหาหัวคิดไม่ได้จนนิดเดียว พี่ใหญ่แต่งตัวแล้วสั่งให้มันเทน้ำล้างมือในอ่าง มันก็เลยเทส่งลงมาจากหน้าต่าง”

อนงค์หัวเราะเบา ๆ “แหม อย่างนี้เป็นพี่ชายอนงค์ก็บ้านแตกเท่านั้น” หล่อนกระซิบ

ช้อยมีอาการตรึกตรองเล็กน้อย ในที่สุดก็ยิ้มขรึม ๆ แล้วว่า “พี่ใหญ่ของพี่เป็นคนพิเศษ อย่าว่าแต่เขาเทน้ำรดศีรษะ ต่อให้เอาอิฐขว้างศีรษะก็คงหัวเราะได้ บางทีเธอจะโกรธตัวเองว่าไม่รู้จักหลบก้อนอิฐก็ได้”

ตามน้ำเสียงของช้อย อนงค์สังเกตไม่ถนัดว่าพูดด้วยความนิยมหรือด้วยความไม่พอใจ แต่เวลาและสถานที่ไม่อนุญาตให้ซักถามยาวความไปอีก เรื่องจึงยุติอยู่แค่นั้นเอง

ชั่วเวลาเพียง ๒ เดือนที่หญิงสองคนนี้รู้จักกัน เป็นการน่าประหลาดที่จะกล่าวว่า หล่อนทั้งคู่ผู้ซึ่งมีความเป็นอยู่แตกต่างกันราวน้ำกับไฟ ได้มีความสบอัธยาศัยในกันและกัน จนถึงกับสนิทกันดุจเพื่อนที่คบกันมานับปี

ทั้งนี้เพราะอนงค์มีนิสัยเป็นคนเปิดเผยที่สุด หล่อนเปรียบหัวใจของหล่อนเหมือนกับหนังสือ ที่ใคร ๆ อาจจะเปิดออกอ่านได้ทุกเวลา เพราะหล่อนถือว่าการคิดการทำของหล่อนนั้นไม่มีสิ่งใดควรอับอาย ส่วนช้อยก็ไม่มีนิสัยชนิดที่เรียกว่า “คอยถามมากกว่าคอยเสี่ยม” แม้ว่าการกระทำบางอย่างของอนงค์จะขัดกับตาและขัดกับอุดมคติของหล่อน ช้อยมิได้ปรักปรำอนงค์ หากนึกสงสารแก่เด็กที่กำพร้ามารดามาแต่น้อย และปรักปรำเหตุการณ์แวดล้อมอนงค์ว่าเป็นต้นเหตุชักพาให้หล่อนเป็นไปเช่นนั้น อนึ่ง อนงค์เป็นหญิงที่แจ่มใสร่าเริงอยู่เป็นนิจ ช่างพูดและช่างออเซาะในบางคราว หล่อนแสดงกิริยาต่อช้อยโดยสนิทสนมอย่างที่ช้อยมีวัยสูงกว่า แต่ไม่สูงเกินกว่าหล่อนจะพูดเล่นด้วยไม่ได้ ส่วนช้อยมีความคิดไกลไปถึงกาลภายหน้าเป็นทุนอยู่ด้วยแล้ว จึงต้อนรับความสนิทสนมของอนงค์โดยเร็วไม่รังเกียจ ทั้งได้แสดงไมตรีจิตตอบแทนอยู่เป็นนิจ มิตรภาพของคนทั้งสองฝ่ายจึงเจริญยิ่งขึ้นทุกวัน

การคบหาติดต่อซึ่งกันและกัน ระหว่างหญิงชายหกคนที่ได้กล่าวมานี้ ได้ถูกคุณนายชื่นมองดูด้วยสายตาไม่พอใจอย่างเอกอุ เพราะท่านถือว่ามันเป็นเหตุที่อาจทำให้ชัดผูกพันในอนงค์ยิ่งขึ้น แต่ความไม่พอใจนี้รู้กันอยู่ระหว่างแม่คนหนึ่งกับลูกสามคน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งหาได้ระแคะระคายไม่ ทั้งช้อยทั้งวิชัยได้วิสาสะกับสามอาหลานที่บ้านใหม่นี้เดือนหนึ่งต่อหลายครั้งโดยที่คุณนายชื่นมิได้มีส่วนในความวิสาสะนี้ด้วยเลย ถ้าสามารถหาเหตุอันพอฟังขึ้นได้ ไม่ต้องสงสัยว่าคุณนายจะไม่สั่งโดยเด็ดขาดมิให้ช้อย วิชัย ติดต่อกับคุณแม้น ฯ แต่เมื่อวิชัยได้ร้องเรียนกับท่านอยู่เสมอว่าไม่มีความเห็นดีเป็นพิเศษกับการที่ชัดจะหมายมั่นอนงค์หรือหญิงอื่นเป็นคู่เคียง ซึ่งนับว่ายังเคราะห์ดีสำหรับวิชัย เพราะน้ำใสใจจริงของคุณนายนั้นย่อมรู้สึกอยู่เสมอว่า ลูกชายใหญ่ของท่านเป็นคนไม่กล่าวเท็จ แม้เพื่อเหตุผลใดๆ ดังนั้นถ้าท่านจะห้ามเขาไม่ให้คบกับอาของอนงค์เสียทีเดียว ก็จะน่าเกลียดเกินไป ส่วนช้อยเล่าเขาสิเป็นศิษย์เป็นครูกัน เมื่อศิษย์รู้คุณครูผู้เป็นแม่จะกลับกั้นกางกระนั้นหรือ คุณนายชื่นย่อมทำไม่ลงอยู่เอง จึงได้คอยกระทบกระแทกเท่าที่จะทำได้ และเท่าที่อารมณ์จะชักชวนให้ทำ

พระอรรถคดี ฯ มาถึงเมื่อพระสงฆ์สวดจบพอดี พอนั่งลงเรียบร้อยก็ได้เห็น “คุณแฝด” สวมเครื่องแต่งกายอย่างเดียวกัน....คือผ้าลายร่วมกุลี เสื้อที่ตัดด้วยแพรร่วมพับ ประดับด้วยลูกไม้ร่วมแผง และแพรห่มร่วมม้วน คลานคู่ออกมาจากหมู่สตรีราวกับนัดกัน ครั้นถึงที่ตะลุ่มใส่เครื่องไทยธรรมตั้งอยู่ราวกับนัดกันอีกนั่นแหละ ท่านเหลียวซ้ายแลขวาหาหลานผู้ชาย เพื่อจะอาศัยแรงเขาช่วยยกของหนัก แต่หลานท่านแต่ละคนกำลังเพลิน อยู่ในการกระซิบกระซาบคุยกัน พอมองไปสบตาวิชัย ท่านจึงเรียกขึ้นพร้อมกันว่า

“คุณพระ !”

พระอรรถคดี ฯ มองไปทางเบื้องหลังตนทันที ด้วยหวังจะดู “คุณพระ” ที่ถูกเรียกนั้น เสียงคุณทั้งสองเรียกซ้ำว่า “พ่อใหญ่” เขาจึงหันกลับแล้วคลานเข้ามาหาผู้ที่ต้องการเขา ด้วยกิริยาและท่วงทีประดุจญาติผู้น้อยทำงานให้แก่ญาติผู้ใหญ่ วิชัยช่วยเจ้าของงานถวายของพระสงฆ์จนครบทั้งสิบรูป เมื่อพระเจริญพรลาเขาก็เป็นผู้ไปส่งถึงรถ

เสร็จพิธีตอนนี้ คุณนายศรีวิชัยถือว่าตนได้ทำหน้าที่แล้วพอสมควรแก่กาล จึงอำลาเจ้าของบ้าน ถึงแม้คุณแม้น ฯ จะได้เชิญชวนอย่างอ่อนหวานให้อยู่รับประทานอาหารด้วยก็หาประโยชน์อันใดไม่ ดังนั้นเมื่อวิชัยกลับขึ้นมาบนเรือนจึงได้ทราบว่ามารดาของเขากลับบ้านแล้ว

ในนาทีแรกที่ช้อยได้อยู่ใกล้วิชัย หล่อนก็กระซิบถามกับเขาว่า

“คุณแม่คงพื้นเสียใหญ่”

“ทำไม” อีกฝ่ายหนึ่งถามสีหน้าแสดงความห่วงใยขึ้นทันที

“ก็ท่านต้องรับประทานข้าวคนเดียว เรามาอยู่ที่นี่กันเสียหมด”

“อย่างนั้นพี่ไปกินเป็นเพื่อนนะ หาเรื่องแก้ตัวกับ “คุณแฝด” เสียก็แล้วกัน”

ช้อยสั่นศีรษะและตอบอย่างเด็ดขาด

“อย่าเลย” ครั้นพี่ชายมองหล่อนอย่างสงสัยจึงพูดต่อไปว่า “ดิฉันสงสารพี่ใหญ่ จะกลืนข้าวไม่ลง ยังไงเสียท่านก็หาเรื่องพึมไปต่าง ๆ”

เขากลับยิ้มและตอบว่า

“คอหอยพี่ไม่ตีบง่ายๆ เหมือนคอหอยช้อยดอก”

ช้อยตั้งวงค้อนขนานใหญ่ “ดี ! พ่อคนเก่งเหมือนกับหัวหลักหัวตอ”

วิชัยก้มหน้าดูปลายเท้า หยุดยิ้มไปราวครึ่งอึดใจ แต่แล้วก็กลับเงยหน้าขึ้นยิ้มได้มากกว่าเก่า ถามว่า

“ตกลงจะให้พี่ทำอะไรต่อไป”

“ให้ไปนั่งคุยกับใคร ๆ ที่โน่น” หล่อนชี้นิ้วไปทางหมู่คน “อนงค์แกถามถึง คุณประสิทธิ์ก็ถามอยู่เมื่อตะกี้นี้เอง”

แต่พอวิชัยจะออกเดินไปตามสั่ง หล่อนก็ยึดชายเสื้อเขา

“ของที่ให้คุณครูอยู่ที่ไหนเล่าคะ? หรือให้แล้ว”

“ตายจริง” พระอรรถคดี ฯ อุทาน ยกมือเกาศีรษะ “ลืมสนิททิ้งไว้ในห้อง เมื่อย้อนเข้าไปผลัดเสื้อผ้านั่นเอง”

“ตามเคย” ช้อยว่า “ไม่ว่าใครเขาจะทำอะไรกันที่ไหน ถ้ามีพี่ใหญ่ปนด้วยละก้อ เป็นต้องมีเรื่องลืมทีเดียว”

“อย่าบ่นหน่อยเลยน่ะ” ทำหน้าที่เหมือนน้องชายเกรงใจพี่สาว “บ้านอยู่แค่นี้เอง พี่จะไปเอาเดี๋ยวนี้แหละ”

ช้อยจับมือของเขาไว้ทันที “ดิฉันจะไปเอง พี่ใหญ่ไปคุณแม่เห็นเข้าก็จะจับตัวไว้ฟังเทศน์เสียเท่านั้น”

ผู้เป็นพี่หลีกทางให้น้อง กล่าวว่า ขอบใจ แล้วก็หัวเราะตามหลังน้องไปด้วย

ในเวลานั้นเองนายประสิทธิ์ตรงเข้ามาหาวิชัย “ฮี่” ขึ้นก่อนตามวิสัยแล้วจึงว่า

“--มา--มา--นี่แน่ะคุณพระ ฮี่ ฮี่ มีฮี่ ๆ ๆ” ไม่สามารถจะจบคำพูดให้ทันใจ ประสิทธิ์ฉุดมือวิชัยโดยแรง ซึ่งเจ้าของมือไม่ขัดขืนเดินตามไปโดยดี

ประสิทธิ์พาวิชัยเข้าไปทางเฉลียงน้อย หลังห้องเจ้าของบ้าน ล้วงห่อกระดาษห่อเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อนอกอย่างร้อนรี้ร้อนรน และโดยร้อนรี้ร้อนรนเช่นเดียวกัน เขาแก้ห่อกระดาษหยิบภาพถ่ายขนาด ๒ นิ้ว จำนวนสามแผ่นส่งให้วิชัย

ภาพนั้นเป็นภาพของอนงค์ ในเครื่องแต่งกายเรียบ ๆ อย่างอยู่บ้าน แต่ก็น่าเอ็นดูไม่น้อยกว่าเมื่อหล่อนอยู่ในเครื่องแต่งกายอันวิจิตร เพราะหล่อนมียิ้มที่สดใส มีท่าเป็นธรรมดาอยู่ ทั้งในภาพที่ถ่ายตรงหน้าและภาพหน้า ๒ ส่วนกับ ๓ ส่วน ไม่แสดงเครื่องหน้าที่น่าเกลียดแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

“คุณถ่ายเองหรือ?” วิชัยถามเรื่อย ๆ

ครั้นประสิทธิ์พยักหน้าเขาจึงว่า “เก่ง” ถ่ายได้ดีมากทีเดียว “เล่นมานานแล้วหรือ” พลางเขาส่งรูปคืนให้

ประสิทธิ์ผลักมือเขาโดยแรง “ผมให้ ฮี่ ๆ ให้คุณพระ”

อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มพลางสั่นศีรษะ แต่ประสิทธิ์ยังแสดงกิริยาขะยั้นขะยอ วิชัยหัวเราะพร้อมกับพูดว่า

“เอาไปให้นายชัดเขาแน่ะ”

“ม่าย” ประสิทธิ์พูดเสียงดัง ยกศีรษะวางท่าเป็นผู้ฉลาด “อนงค์ไม่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ๆ ๆ รักชัด ฮี่ ๆ ผม--ผม--ผม--ผมรู้ แก ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ แก--ร ฮี่--ฮี่--รัก--คุณพระฮี่ ๆ ๆ”

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่วิชัยนึกอยากหัวเราะใส่หน้าเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่ความสมเพชต่อเพื่อนมนุษย์ที่ไม่สมประกอบทำให้กลั้นไว้ได้ สอดรูปลงในกระเป๋าเสื้อเจ้าของโดยไม่พูดว่ากระไร แล้วก็เดินหนีไปเสีย

ผ่านหน้า “ห้องรก” เขาเห็นคุณแม้น ฯ อยู่ในห้องนั้นกับคนอื่น ๆ อีก ๒-๓ คน รวมทั้งชัดกับอนงค์ด้วย เขาทั้งหมดกำลังจะแปลงห้องพระสวดมนต์ ให้เป็นห้องเลี้ยงอาหาร ต่างยกโต๊ะเลื่อนพรม ฯลฯ กันขวักไขว่ วิชัยจึงแวะเข้าไปช่วย คุณเมี้ยนเห็นเขาก็ถามว่า “เห็นช้อยไหม? ถ้าจะไปเข้าครัวเสียอีกแล้ว”

พี่ช้อยไปหยิบของที่คุณพระจะให้คุณอาค่ะ แกบอกอนงค์ว่าเดี๋ยวเดียวจะกลับมา

คุณแม้น ฯ ยิ้ม เชื่อในความเป็นกันเองระหว่างพระอรรถคดี ฯ กับตัวท่าน จึงพูดว่า

“ฉันอยากเห็นพ่อใหญ่จะเอาอะไรมาให้ฉัน”

“ฉันกำลังนึกจะถามอยู่ทีเดียว” คุณเมี้ยนเสริม

“ขวดปักดอกไม้” ชัดทาย

คุณแม้น ฯ มองดูวิชัยเป็นทีถาม เขาจึงตอบว่า

“ไม่ถูก”

“ชามเนย หรือพานลูกไม้อะไรก็ตามที่เป็นภาชนะ” สมพงศ์เอ่ยขึ้น

วิชัยหัวเราะ เหลียวไปเห็นประสิทธิ์ยืนอยู่ข้างตัวจึงว่า

“คุณลองทายซิเผื่อจะถูกบ้าง?”

“ฮี่ ฮี่ ทาย ฮี่ ฮี่ ซองบุหรี่”

เสียงหัวเราะหลายเสียงประสานกัน คุณแม้น ฯ พูดว่า

“โธ่ ตาประสิทธิ์แค่นจะทายกับเขาด้วย ใครเขาจะเอาซองบุหรี่มาให้ผู้หญิง”

“ถ้าทายถูกจะให้อะไรเป็นรางวัลคะ” อนงค์ถามขึ้น

“ให้ถอนขนตาหนึ่งเส้น” วิชัยตอบแล้วมองดูคุณแม้น สุภาพสตรีผู้นั้นจึงว่า

“เอ๊ะ ฉันไม่ยอมให้ถอนของฉันนะจ๊ะ ใครบอกให้คนนั้นต้องยอมให้ถอน”

“ให้ครับ” วิชัยรับ “เอ้า ลองทายเผื่อจะเก่งกว่าคนอื่น”

“ดิฉันทายว่าให้ไหมพรม” อนงค์ตอบ

พระอรรถคดีวิชัยทำตาโต ถามอย่างทึ่งว่า

“ทำไมถึงทายว่าฉันจะให้สิ่งนั้น มีเหตุผลอย่างไรหรือ”

“เพราะเวลาคุณอามาดูงานละก็ เอาไหมพรมมาถักด้วยเสมอ คุณพระคงได้เห็นบ่อย ๆ แล้วก็-” หล่อนหยุดพูดมีอาการขวยอายเล็กน้อย “ขอประทานโทษนะคะ ดิฉันคิดว่าคุณพระมีอะไรเป็นพิเศษนิดหน่อย คงไม่อยากให้ของที่จะเหมือนกับคนอื่น”

“เก่งมาก” วิชัยชมอย่างจริงใจ “ฉันยอมให้คุณถอนขนตาฉันได้ ถ้าหากคุณถอนให้หลุดเพียงครึ่งเส้น เพราะว่าคุณทายยังไม่ถูกทีเดียว เป็นแต่เฉียดไป ถึงอย่างนั้นก็ควรยกให้เป็นเอก”

เมื่อช้อยกลับมา พร้อมด้วยของที่วิชัยเตรียมไว้แล้ว ผู้ที่คอยดูจึงได้เห็นหีบไม้ ๔ เหลี่ยม ขนาดยาวและเบนภายในบุกำมะหยี่ มีเข็มสำหรับถักไหมพรมทั้งที่มีขอและไม่มีขอ ทั้งขนาดสั้นและยาวรวมหลายขนาดอย่างละคู่วางเรียงอยู่ในหีบนั้น

การเลี้ยงอาหารแบ่งออกเป็นสองที่ ท่านที่เป็นรุ่นผู้ใหญ่มีเจ้าของบ้านเป็นประธาน รับประทานในห้องกินข้าวซึ่งจัดไว้เป็นระเบียบงดงาม ส่วนใน “ห้องรก” ซึ่งมีการดัดแปลงโดยกระทันหัน จึงไม่สู้เรียบร้อยนักนั้น อนงค์ทำหน้าที่เจ้าของบ้านแทนคุณอา ดูแลเลี้ยงท่านที่เป็นหนุ่มเป็นสาว

กว่าจะหมดเวลาแห่งการเลี้ยงดู ก็พอใกล้เวลาที่แขกของคุณแม้น ฯ นึกถึงการพักผ่อน ดังนั้นแต่พอจะลุกออกจากโต๊ะออกมานั่งที่ระเบียงเรือน ท่านผู้ใหญ่ได้สูบบุหรี่เคี้ยวหมากนัดยาตามสบายเพียงครู่หนึ่งแล้ว ก็ลาเจ้าของบ้านกลับเกือบหมด ในที่นั้นจึงมีเหลือแต่คุณแม้น ฯ คุณเมี้ยนกับช้อยและวิชัย ซึ่งคุณทั้งสองยังชวนคุยไม่ขาดปาก

แต่ที่หน้าระเบียงเรือน บนสนามหนุ่มสาวยังจับกลุ่มชวนคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้นอ่อน ๆ พระแม่เจ้าแห่งราตรีกาลแสดงพระโฉมแต่เพียงบางส่วน ถึงกระนั้นก็มีรัศมีอันฉายไปทั่วฟ้า ส่องให้เห็นก้อนเมฆขาว และบางเป็นใยประดุจปุยสำลีลอยคว้างอยู่กลางสายลม

เมื่อได้ปะปนอยู่ในหมู่คนที่สรวลเสเฮฮาอยู่ตลอดเวลานานพอสมควรแล้ว อนงค์นึกใคร่ในความวิเวกจึงค่อยเลี่ยงออกจากเขาเหล่านั้น ลัดเลาะไปตามพุ่มไม้แล้วหยุดอยู่ในเงามืด แหงนหน้ามองดูท้องฟ้ายิ้มกับพระจันทร์เช่นเดียวกับบุคคลพึงยิ้มให้แก่สิ่งที่ยังใจตนให้เป็นสุข แล้วยืนนิ่งปล่อยให้ดวงจิตล่องลอยไปตามอารมณ์

ยืนอยู่ได้ไม่นานนัก ก็มีผู้มาทำลายความสงัดแห่งสถานที่เสียแล้ว อนงค์มองดูเขาผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ มีความพอใจและไม่พอใจก้ำกึ่งกันอยู่ เพราะเหตุว่าแม้การคุยกับคนหมู่มาก ทำให้ผู้เคยกับชุมนุมชนเช่นอนงค์นึกเบื่อในบางคราว การคุยกับบุรุษผู้ถูกใจแต่เพียงสองต่อสองย่อมไม่ทำให้หล่อนเกิดความรำคาญ ดังนั้นโดยมิได้ออกปากนัดแนะกัน เขาทั้งสองก็ออกเดินช้า ๆ พาตัวออกมาท่ามกลางแสงจันทร์ แล้วกลับเข้าในเงามืดและกลับออกมากลางแจ้งอีกเล่า สุดแต่จะเดินให้ห่างจากเสียงจ๊อกแจ๊กให้มากที่สุดที่จะมากได้

ในครู่หนึ่งชัดมองไปทั่วบริเวณบ้านแล้วถามขึ้นว่า

“ใครเป็นคนทำแปลนบ้านนี้ เหมาะเจาะเข้ากันดีเหลือเกิน”

หล่อนหัวเราะด้วยยินดีในคำชมนั้น และตอบอย่างภูมิใจ

“คุณอาท่านทำของท่านเอง ตลอดจนตัวเรือนท่านก็ออกแบบเองเหมือนกัน หมายความว่าท่านกะว่าห้องไหนควรจะอยู่ทิศใด และเล็กโตเท่าใด ไม่ถึงกับกะตัวเองไม่ได้ดอกนะคะ”

“เก่งมาก” ชัดชมอย่างจริงจัง แล้วพูดต่อพร้อมกับหัวเราะ “บ้านสวย ๆ เช่นนี้ปลูกอยู่ที่นี่ทำให้บ้านชัดซอมซ่อไปอีกมาก”

หญิงสาวยิ้มและตอบว่า

“ของใหม่มักจะข่มของเก่า แต่อนงค์รู้สึกว่าบ้านของชัดน่าสบายเหมือนกัน อนงค์ชอบเรือนโปร่ง ๆ อย่างนั้น”

เงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชัดพูดขึ้นอีก

“คุณอาสองคนเป็นน้องร่วมบิดากับเจ้าคุณพ่อของอนงค์ไม่ใช่หรือ”

“ค่ะ ทำไมคะ”

“เปล่า ออกสงสัยว่าบ้านอนงค์ที่สระปทุมก็ใหญ่โตมาก แล้วเป็นที่เงียบสบายไม่จอแจด้วย อนงค์ก็อยู่ด้วยกัน ๕ คนพี่น้องเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทำไมคุณอาถึงไม่อยู่ที่นั่น กลับมาปลูกบ้านที่นี่อีก”

“มีเหตุอยู่สองประการค่ะ” หญิงสาวตอบช้า ๆ ประการที่หนึ่ง ท่านอยากอยู่ใกล้วัดมงกุฎ เพราะท่านมีหลานห่าง ๆ บวชเป็นพระอยู่ที่วัดนั้น ท่านต้องการจะส่งเสียกับข้าวกับปลาให้บริบูรณ์ อีกประการหนึ่ง ท่านเบื่อพวกเรา เอะอะหนวกหูท่านก็อย่างหนึ่ง นอกนั้นพวกเราทำอะไรหลายอย่างที่คนรุ่นเราเห็นเป็นดี รวมทั้งอนงค์ด้วย แต่ท่านทนดูไม่ได้”

“อะไรเป็นต้น” ชัดถามอย่างสงสัยแกมขัน

“อย่างเวลาเรามีปาร์ตี้ พี่ ๆ ก็กินเหล้ากับเพื่อน อนงค์ก็เต้นรำ บางทีพวกเราสนุกกันมากจนลืมตัว ทั้งผู้หญิงผู้ชายหัวเราะกันอย่างเอ็ดตะโร คุณอาต้องรำคาญทั้งหู รำคาญทั้งตา รำคาญทั้งใจ วันธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ พี่ ๆ ผู้ชายก็โยกันทะเลาะกัน อนงค์ก็ขับรถเองไปเที่ยวกับคนนั้นคนนี้เกือบทุกวัน ท่านจะห้ามเราก็ไม่ถนัด เพราะถูกคุณพ่อตามใจเสียจนเคยตัว ท่านขี้เกียจรกหูรกตา ก็เลยปล่อยเราตามลำพัง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเลย พบกับท่านทักทายปราศรัย ขออะไรถ้าให้ได้เป็นให้ ปรึกษาก็ให้ความเห็น แต่สิ่งไรไม่พูดไม่ถาม ท่านก็ไม่พูดไม่ตอบเหมือนกัน”

“ดีจริง เป็นผู้ใหญ่ที่วิเศษเหลือเกิน” ชัดกล่าว “ทำไมชัดถึงจะหาญาติอย่างนี้ได้สักคนนะ”

“หาได้ยากค่ะ” อนงค์ตอบตรง ๆ ตามความเห็น “เพราะอย่างนั้นเราถึงรักและเคารพท่านมาก จริงอยู่ท่านห้ามอะไรเราไม่ค่อยฟัง เช่น ห้ามไม่ให้อนงค์ขับรถไปเที่ยวคนเดียวเป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กน้อย ถ้าถึงคราวจริงจัง อย่างเราสงสัยว่า เอ๊ะนี่ผิดหรือถูกเราต้องรีบไปปรึกษาคุณอาทันที แล้วท่านว่าอย่างไรถูก เราก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างเดียว”

“คุณอาของอนงค์ เห็นจะไม่เคยยุ่งกับการงานที่หลานชายจะมีลูกมีเมียหรือไม่มี”

“โอ ! ไม่ยุ่งเลยค่ะ แต่สำหรับอนงค์ดูเหมือนท่านเป็นห่วงอยู่มาก นาน ๆ ก็เตือนเสียทีหนึ่งว่าให้เลือกดี ๆ นะหลานนะ”

“ก็สมควรอยู่บ้างที่ท่านจะเป็นห่วง” ชัดพูดแกมหัวเราะ “แต่พูดถึงพี่ชายของอนงค์ ก็แปลกอยู่นะ ยังเป็นโสดอยู่ได้ตั้ง ๔ คน”

หญิงสาวอมยิ้ม “พี่สมพงศ์กับพี่จำลองบอกว่า เนื้อคู่ยังไม่เกิด” หล่อนตอบ “ส่วนพี่แสวงน่ะอยากจะทิ้งความเป็นโสดเต็มที่ กำลังพยายามตัวเป็นเกลียวแต่ยังไม่เห็นสำเร็จ”

“ยังงั้นรึ-เอ ขัดข้องด้วยเรื่องอะไร เงินก็มี รูปก็ไม่เลว ความรู้ก็มี มีสารพัดไม่น่าจะลำบากเลย ถ้าเป็นคนมีแต่ตัวอย่างชัดก็ตามทีเถิด จะต้องใช้ความพยายามและความอดกลั้นอย่างสาหัส”

อนงค์แสร้งทำไม่รู้สึกในน้ำเสียงแสดงความน้อยใจของเขานั้น เล่าต่อไปว่า

“เผอิญเธอรักผู้หญิงที่แม่เขาความคิดวิตถาร ไม่ยอมให้น้องแต่งงานก่อนพี่ เพราะกลัวพี่จะขึ้นคาน”

“โอ้โห! ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนในสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้จะถือธรรมเนียมบ้า ๆ เช่นนี้ เขามีลูกสาวทั้งหมดกี่คน”

“๔ คนค่ะ” เดี๋ยวนี้พี่สาวสองคนนั้นอายุมากเสียแล้ว เป็นอันว่าขึ้นคานแน่ ๆ เพราะฉะนั้นคุณแม่ก็ล้มความคิดที่จะหาคู่ให้ เดี๋ยวนี้ยังอยู่คนที่สาม พี่แสวงกำลังหาสัมพันธมิตรให้ไปช่วยรักแม่คนนั้น เธอจะได้แม่น้องสุดท้องสมใจ”

“เออ !” ชัดอุทานแกมหัวเราะ “แม่สาวผู้เคราะห์ร้ายต้องรับบาปของพี่ นี่เป็นใครนะ อยากรู้จริง ออกนึกสงสารแก”

“ถ้าอนงค์บอกชัดจะร้องอ๋อทันที”

“บอกซิแม่คุณเถอะ”

หญิงสาวรั้งรออยู่อึดใจหนึ่ง แต่ครั้นแล้วก็บอกว่า

“น้องสาวสงัดไงล่ะคะ”

“โอ๊ย” ชัดอุทาน “ลูกสาวคุณหญิงมะยม พิโธ่นึกว่าใครที่ไหน” พูดแล้วเขาก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง

อนงค์มองดูเขาด้วยความพิศวง “ทำไมคะ” หล่อนถาม “มีเรื่องอะไรแปลกหรือ”

“ก็ไม่แปลกอย่างไร คุณหญิงมะยมกำลังพยายามอย่างที่สุด ที่จะให้ชัดเป็นลูกเขยแก คุณแม่กำลังเคี่ยวเข็ญชัดอยู่ทุกวัน ชัดก็คิดอยู่ทุกวันเหมือนกัน มิน่าเล่าใคร ๆ เขาสงสัยว่า คุณหญิงมะยมเคยตั้งราคาลูกสาวไว้สูงลิบ คราวนี้ทำไมถึงจะมายกให้เจ้าชัด คนจนไม่มีอะไรติดตัว เรื่องของแกน่ะจะเอาแม่ลูกสาวคนที่สามยกให้ชัดเสียก่อน แล้วจะได้ยกคนที่ ๔ ให้คุณแสวงนั่นเอง ส่วนใคร ๆ ที่เขาลือกันว่าแกโก่งราคาลูกสาวจนไม่มีใครจดนั้น เห็นจะเป็นที่แกห่วงหน้าพะวงหลังหรอก ไม่ใช่นึกถึงเงินอย่างเดียว”

ชัดหยุดพูดแล้ว อนงค์ยังนิ่งอยู่ในท่าค่อนข้างขรึม ภายหลังหล่อนจึงพูดว่า

“ชัดช่วยพี่แสวงหน่อยซิคะ เท่ากับช่วยตัวชัดเองแล้วก็ช่วยให้คุณแม่ของชัดสบายใจด้วย”

นายทหารหนุ่มจ้องดูหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนใจยาว

“หัวใจของชัดไม่เป็นอิสระ อนงค์ก็รู้อยู่แล้ว” เขาพูดเสียงต่ำและจับมืออนงค์มากุมไว้

หญิงสาวถอนใจด้วย ปล่อยมือหล่อนไว้ในมือเขา และพูดเป็นเชิงปรารภคล้ายพูดกับตัวเอง

“หัวใจของอนงค์ยังเป็นอิสระ แต่ก็ช่วยพี่แสวงไม่ได้ ข้างเธอก็รบเร้าอยู่ทุกวัน”

“เขาจะให้อนงค์ทำอะไร ?”

“ให้รักตอบสงัด แต่ให้อ้างว่าจะไม่แต่งงานด้วยจนกว่าคุณหญิงจะยกลูกสาวให้เป็นพี่สะใภ้อนงค์”

“แล้วเขานึกว่าคุณหญิงจะยอมหรือ ในเมื่อสงัดเป็นแต่เพียงลูกเลี้ยง ไม่ใช่ลูกของอกในไส้”

“ไฮ้ อะไรคะ คุณสงัดเป็นลูกคุณหญิงค่ะ” อนงค์ค้านและตอบอย่างขึงขัง

ชัดยิ้มด้วยความมั่นใจ และตอบมีอาการวางท่าเล็กน้อย

“นั่นเป็นการเข้าใจผิดของคนทั่วไป คุณหญิงมะยมไม่มีลูกชายเลย แกบอกกับคุณแม่ของชัดเช่นนั้น เมื่อ ๒ เดือนก่อนมานี่เอง”

“แม้ นี่เป็นความรู้ใหม่ แปลกมากอนงค์เกือบไม่เชื่อเทียวค่ะ” พูดได้เท่านั้นแล้วสีหน้าของอนงค์ก็ดูขรึมไปเล็กน้อย ความใฝ่ใจในอันจะเรียนอุปนิสัยของคนที่ตนติดต่ออยู่ด้วย พาให้อนงค์นึกทึ่งในตัวคุณหญิงมะยมและนายสงัดมากขึ้นอีก แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงมีกิริยารักใคร่สนิทสนมกันดังคู่ที่หล่อนนึกถึงอยู่นี้ ทั้ง ๒ คนหรือคนหนึ่งใน ๒ คนนี้ คงจะต้องมีความดีเป็นพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ในสันดานเป็นแท้ ถ้าความดีพิเศษนั้นสงัดเป็นฝ่ายที่มีอยู่ ก็จัดว่าเขาเป็นบุรุษที่ไม่ไร้เสียทีเดียวซึ่งความน่าคบและน่ายกย่องว่าเป็นคนดี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ