๒๕

เช้าวันรุ่งขึ้น วิชัยมิได้มีอาการผิดแผกกว่าที่เคยเป็นโดยอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อดวงตะวันฉายแสงเพียงอ่อน ๆ บุรุษผู้นี้มีบุหรี่ที่จุดแล้วอยู่แล้วอยู่ในมือเดินดูต้นไม้ในบ้าน ครั้นได้เวลาอาหารเขาก็รับประทานร่วมกับมารดาและน้อง เสร็จแล้วก็แต่งตัวไปทำงานตามเวลา

ตรงกันข้ามนายร้อยตรีชัด ทั้งสีหน้าน้ำเสียงและกิริยา ล้วนแต่ผิดปกติ ทั้งชื่นบาน ทั้งตื่นเต้น ทั้งร้อนรี้ร้อนรน เมื่อพี่ชายอยู่ในสวน เขาก็ตามเข้าไปที่ในสวนและดูเหมือนจะได้พูด พูด บูด ให้พี่ชายฟังอยู่ตลอดเวลา ครั้นวิชัยขึ้นรถจะไปศาล ชัดก็ขอตามไปด้วยอีกคน

กิริยาอาการของชัดที่ตามติดพี่ชายอยู่เช่นนั้น คุณนายชื่นเห็นแล้วยิ้มด้วยความพอใจ เพราะว่าเป็นธรรมดาของแม่ เมื่อเห็นความรักที่ลูกต่อลูกแสดงต่อกันเป็นที่ชื่นตา ยิ่งกว่านั้น คุณนายชื่นเคยสังเกตเห็นว่า หมู่ไหนชัดเฝ้าเกาะพี่ชายอยู่ หมู่นั้นชัดจะหยุดเที่ยวไปพักหนึ่งและเวลากลับบ้านของวิชัย ก็เปรียบเหมือนนาฬิกาที่คอยเตือนชัดให้รู้จักเวลาที่ควรถึงบ้านด้วยเหมือนกัน

ในส่วนเหตุผลและกำหนดกฎเกณฑ์ ที่ชัดจะโปไหนมาไหนกับพี่ชายใหญ่นั้น คุณนายชื่นมิได้ตระหนัก ท่านเชื่อเอาเองว่าชัดมีเวลารักพี่ติดพี่แล้วก็มีเวลาเบื่อพี่ห่างจากพี่ ดังที่ท่านเคยเห็นว่าเขาเป็นเช่นนั้น แม้กับตัวท่านเองผู้ซึ่งเป็นแม่ของเขา ทั้งนี้ก็มีส่วนแห่งความจริงอยู่บ้าง เว้นแต่ไม่จริงทุกคราวไป

ในเรื่องเช่นนี้ ช้อยมีอาการสอดส่องดีกว่ามารดาเพราะประการที่หนึ่งอาศัยเหตุตามที่ได้กล่าว ความสังเกตจดจำที่ได้ยินและได้เห็นเป็นคุณสมบัติส่วนหนึ่งของช้อยที่เกิดและเจริญขึ้น ตั้งแต่เมื่อหล่อนเป็นผู้ครองเรือน ประการที่สอง เมื่อสามีของช้อยหาชีวิตไม่แล้วก็มีบุรุษแต่เพียงคนเดียว คือพระอรรถคดีวิชัยที่ช้อยมอบให้ซึ่งความรักและความเชื่อมั่นในน้ำใจ จึงเป็นธรรมดาซึ่งหล่อนย่อมเอาใจใส่ ในความเป็นอยู่และการเกี่ยวข้องของเขาแก่คนอื่นอยู่เป็นนิจ ช้อยมักตั้งคำถามเมื่อเห็นช่องควรถาม ออกปากเตือนเมื่อเห็นควรที่จะเตือน ฝ่ายวิชัยแม้จะชังการกล่าวความดีของตัวกล่าวความชั่วของผู้อื่น แต่ก็ชังการกล่าวเท็จไม่น้อยไปกว่า ดังนั้นเมื่อช้อยเห็นกิริยาของชัดในตอนเช้าแล้ว จึงเกิดปัญหาขึ้นในใจว่า

“ตาชัดตั้งต้นประจบคราวนี้ พี่ใหญ่จะหมดเปลืองเข้าไปอีกสักเท่าใดหนอ?”

วันต่อมาชัดยังเคียงข้างพี่ชายไม่รู้ห่าง ยิ่งเพิ่มความอยากรู้ให้ช้อยเป็นทวีคูณ

วันหนึ่งในหมู่นี้ พระอรรถคดีวิชัยกลับจากที่ทำการตรงเข้าในห้อง ถอดเสื้อชั้นนอก ถอดถุงเท้า รองเท้าเสร็จแล้วก็เอนตัวลงบนเตียงนอน มือก่ายหน้าผากตาลอยจับอยู่ที่เพดานมุ้ง

เสียงฝีเท้าน้อย ๆ ซอยถี่เข้ามาในห้อง วิชัยแลไปดูแต่ยังไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ก็ประคองแก้มเขาทั้ง ๒ ข้าง ส่วนแขนน้อย ๆ เท้าอยู่บนหน้าอกเขา

พระอรรถคดี ฯ ยกแขนจากหน้าผาก เอกเขนกขึ้นและทำท่าจะจูบแก้มแม่หนูที่คลออยู่กับจมูก หนูนิดหัวเราะและหลบอย่างว่องไว แล้วอธิบายกิริยาปฏิเสธของตนโดยเร็ว

“ลุงหน้าดำ !”

เขายิ้มลักษณะเศร้าผิดจากที่แม่หนูเคยเห็น จับมือพลางจูบพลิกศีรษะมาแนบกับขาของเด็กและนิ่งอยู่ในท่านั้น

“แม่แอบดูที่ประตู !” เด็กน้อยตอบ แล้วก้มลงกระซิบที่หู “หนูอยากไปเตี้ยว”

“ไปเที่ยวที่ไหน?” วิชัยกระซิบเช่นเดียวกัน

“ไปไหน ๆ ๆ ๆ นั่งไปตะลุง”

“ลุงไม่สบายอยากอยู่คนเดียว ปิดประตูนอนไม่ให้ใครเห็นหน้า แต่หนูจะอยู่เป็นเพื่อนลุงก็ได้ อย่าเพ่อไปเที่ยวเลยนะชื่นใจของลุง”

มีอะไรอย่างหนึ่งในน้ำเสียงและแววตาของเขา ทำให้เด็กน้อยใจแห้งไปด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้จะประหลาดใจในคำปฏิเสธซึ่งแม่หนูไม่เคยได้รับจากลุงมาก่อน แม่หนูก็มิได้รบเร้าต่อไป พิศดูหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นว่า

“ลุงไม่สบายแล้วตายไหมจ๊ะ?”

คำถามนี้เกือบทำให้วิชัยหัวเราะได้ กอดร่างอันกระจ้อยร่อยไว้แน่นพลางกล่าวตอบ

“คิดว่าไม่ตาย ถ้าลุงตายเวลานี้หลายคนจะลำบากหนูเป็นต้น” พูดแล้วก็ถอนใจ

“พ่อหนูยังตายเลย” หนูนิดเถียง “คุณยายบอกว่าพ่อกินยายาก”

“เพราะว่ากินยายากถึงได้ตายหรือจ๊ะ?” ดีแล้วหนูจำไว้แม่เขาให้กินยาละก็อย่าร้องไห้ ไม่ยังงั้นจะตายเหมือนพ่อ”

มารดาของเด็กแสดงตัวให้ปรากฏอยู่ตรงช่องประตู เห็นพี่ชายนอนอยู่บนเตียง จึงเลยเข้ามาข้างในและถามว่า

“ไม่สบายหรือคะ พอกลับมาถึงก็นอนทีเดียว”

“เมื่อย” เป็นคำตอบสั้น ๆ

“เป็นไข้เส้นละกระมัง หนาวไหมคะ หน้าด๊ำดำ”

“อีกคนหนึ่งละ” วิชัยกล่าว ซ่อนความหงุดหงิดไว้โดยยาก “แม่ลูกช่างพูดเหมือนกันจริง เมื่อตะกี้จะจูบยายนิดแกไม่ยอมให้จูบ บอกว่าลุงหน้าดำ”

“ก็จริง ๆ นี่คะ หน้าตาพี่ใหญ่ไม่เหมือนทุกวัน เป็นอะไรแน่น่ะ”

วิชัยผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว “อะไรกันนะจะมาช่วยกันเกณฑ์ให้พี่เจ็บหรือนี่ผ่าซี เดี๋ยวก็จะเจ็บเสียจริง ๆ หรอก ยายนิดมีการถามว่าลุงจะตายไหมยังงี้”

ช้อยหัวเราะ แต่พร้อมกันนั้นสีหน้าของหล่อนก็เผือดไป หันไปว่าแก่ลูกว่า

“ถามอะไรอย่างนั้น ลุงตายหนูก็แย่น่ะซี แม่ตายเสียดีกว่า”

พระอรรถคดี ฯ ลุกขึ้นจากเตียงเดินมาที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีขึ้นหวีผม หนูนิดเดินต้วมเตี้ยมไปรอบห้อง เพื่อเสาะหาของต้องใจ ช้อยพิศดูหน้าพี่ชายในกระจก มองเห็นความเคร่งขรึมและเหี่ยวแห้งจนผิดตา ความจริงในระยะ ๒-๓ คืนที่แล้วมานี้ช้อยรู้ว่าวิชัยอดนอนมากเพราะเมื่อหล่อนตื่นขึ้นในตอนดึกแม้ล่วงยาม ๓ แล้ว หล่อนเห็นแสงไฟในห้องของเขายังเปิดสว่างทุกคืน ซึ่งหล่อนคาดว่าเขาคงจะนั่งเขียนเรื่องละครอยู่จึงไม่คิดเป็นการประหลาดแต่อย่างใด แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นแววตาที่เคยร่าเริงสดใสกลายเป็นขุ่นมัว ผิดจากแววตาปกติของวิชัย ช้อยให้รู้สึกสนเท่ห์และเกิดกังวลขึ้นทันที เมื่อได้มองดูเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ช้อยเอ่ยถามขึ้นว่า

“หมู่นี้ตาชัดประจบพี่ใหญ่ตัวเป็นเกลียว เขาจะเอาอะไรที่พี่ใหญ่อีกคะ”

วิชัยสะดุ้งจนช้อยมองเห็นได้ ก้มหน้ามองดูผ้าโต๊ะนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง จึงหันมาทางช้อย ตอบด้วยเสียงอันเบา

“เขารักจันทร”

ถึงคราวช้อยต้องสะดุ้งบ้าง แล้วย้อนถามไปทันที

“จริง ๆ หรือนี่ ที่ใคร ๆ เขาสงสัยน่ะถูกของเขาหรือ?”

“ถูกของเขาถูกของช้อยด้วย” วิชัยตอบหัวเราะในลักษณะฝืนจนช้อยเห็นแล้วให้รู้สึกเสียวปลาบในใจ “วันนั้นเอง พี่ไปพบเขาที่บ้านหลวงธุรกิจ ฯ เขาจูงกันมาหาพี่บอกว่าเขารักกันแล้ว”

“ต๊ายตาย !” ช้อยอุทานเกือบเป็นเสียงคราง “แล้วพี่ใหญ่ว่ายังไงยกให้เขาหรือ?”

วิชัยก้มหน้าลงต่ำ ช้อยไม่อาจเห็นความปวดร้าวในแววตาเขาได้ แต่น้ำเสียงของเขานั้นแสดงความรู้สึกตรงกับหัวใจ ฟังได้ถนัด

“พี่บอกแล้ว เขาจูงกันมาเล่าความจริงให้พี่ฟัง !” เงยหน้าขึ้นในทันที ทันใดขณะที่พูดต่อ “มันน่าประหลาดหรือที่จันทรรู้จักชัดเท่ากับพี่แล้วแกรักชัด ไม่น่าประหลาดเลย เพราะเช่นนั้นใคร ๆ เขาก็ทายถูก”

“โธ่ ก็ผู้หญิงอื่นมีถมไป ทำไมตาชัดถึงต้องแย่งพี่ใหญ่” ช้อยกล่าว น้ำเสียงแสดงความขัดแค้นอย่างที่สุด “อะไร ๆ ก็ให้ทั้งนั้น ยังไม่พออีกหรือ”

วิชัยยิ้มอย่างน่าสมเพช “คนที่เคยให้จะต้องให้ไปจนตาย” เขาพูดเรียบ ๆ

“แล้วคนที่เคยเอาได้ก็เอาร่ำไปยังงั้นซี คนเวร”

“แต่เรื่องนี้โทษตาชัดไม่ได้ เพราะแกไม่รู้ ผู้หญิงคนนี่ทั้งสวยทั้งน่ารัก ใครเข้าใกล้ก็จำเป็นต้องหลง”

“แต่ตาชัดควรจะดูตาม้าตาเรือบ้าง ผู้ชายด้วยกันช่างไม่รู้ท่ากันบ้างหรือ แต่คนที่เขาเห็นที่ใหญ่เผิน ๆ เขายังอ่านออก พี่ใหญ่ก็เหมือนกับคนที่ไม่มีตา ไหนยืนยันกับดิฉันเมื่อวานนี้เองว่า ตาชัดยังไงก็ไม่รักผู้หญิงอย่างจันทร !”

วิชัยถอนใจยาวแล้วพูดอย่างหมดอาลัย

“นั่นแหละ อะไรที่พี่ยืนยันมันไม่จำเป็นจะต้องถูกไปทุกที เพราะฉะนั้นมันถึงต้องเป็นอย่างนี้”

ช้อยนั่งลงกอดเข่าหลังพิงฝาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้นอีก

“ตกลงว่าเขารักกันแล้วพี่ใหญ่จะแก้ไขอย่างไร?”

“แก้อะไร?” น้ำเสียงวิชัยแสดงความพิศวง “แก้คนที่เขารักกันแล้วให้หายรักยังงั้นหรือ พูดเป็นบ้าไปได้”

“ก็พี่ใหญ่ก็รักจันทรเหมือนกันนี่ รักเอามากเสียด้วยซี ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงวันนี้ เพียง ๓ วันเท่านันพีใหญ่ยังทรุดโทรมจนผิดตา ดิฉันนึกสงสัยอยู่แล้วทีเดียว ต้องคิดอ่านแก้ซีคะ พี่ใหญ่เป็นคนรักก่อน จะให้เขามาแย่งไปเสียยังไง”

พระอรรถคดี ฯ สะบัดหน้าอย่างฉุนเฉียว “นี่จะมายุให้พี่เสียคนหรืออย่างไร ชัดแย่งจันทรจากพี่เพราะความไม่รู้ แกก็ไม่มีบาป ส่วนพี่สิรู้แล้วจากปากน้องเอง น้องวิ่งมาขอร้องให้ช่วยเสียด้วยซ้ำ พี่จะกลับไปแย่งน้องอีก มันมิเลวยิ่งกว่าสัตว์หรือ”

“ไม่เลว มีหนทางที่จะทำโดยไม่มีใครจะว่าพี่ใหญ่เลวไม่ได้” ช้อยยืนยันไม่ลดละ แสดงความบึกบึนในนิสัยเต็มตัว “ถ้าเป็นดิฉันจะแย่งจันทรกลับมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คิดดูทีหรือ เวลานี้คุณแม่กำลังจะหมั้นผู้หญิงให้ชัดอยู่แล้ว ชัดกลับไปรักจันทร ใครจะเป็นคนจัดการให้ แล้วถ้าไม่มีใครจัดการชัดจะได้จันทรมาโดยอย่างไร ลงท้ายเรื่องก็จะเหลวไปเอง”

“เรื่องมันอาจจะไม่เหลว แต่มันจะเหลวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีใครจัดการ เด็กรักกัน มันก็จะตามกันมาจะว่ายังไง?”

“อุ๊ ไม่ต๊ามไม่ตาม ตามไม่ได้ จันทรไม่ใช่เด็กหัวแข็ง อ่อนแอปั๊วเปี๊ยออกจะตาย แล้วผู้ใหญ่เขาก็ไม่โง่ ถ้าเขารู้เรื่องเมื่อไร ที่เขาจะยอมให้ติดต่อก้นได้น่ะอย่าหมายเลย”

“ถ้าเช่นนั้นผู้หญิงก็จะมีแต่ตรอมใจ ข้างผู้ชายก็จะเตลิดเปิดเปิงใหญ่ น้ำใจเราจะทนนิ่งดูความทุกข์ของเด็กหรือ”

“โอ๊ย ทุกข์ไม่ทุกข์ ตรอมก็ไม่ตรอม จันทรไม่ใช่ผู้หญิงชนิดที่จะยอมตายเพราะความรัก ตาชัดยิ่งไม่ยอมใหญ่ ถ้าจะเตลิดก็เพราะสันดานมันจะเป็นเอง ดิฉันเอาหัวเป็นสินพนัน ๓ เดือนเท่านั้น ถ้าคน ๒ คนนี่ยังไม่ลืมกันละก็ พี่ใหญ่ตัดเอาหัวดิฉันไปเถอะ พิโธ่ดิฉันรู้จักจันทรดีนี่นา แกก็เหมือนนุ่นหรือสำลีเรานี่เอง ลมพัดไปทางไหนก็ปลิวไปทางนั้น ดิฉันไม่เชื่อสักนิดว่าแกรักชัดมากกว่าพี่ใหญ่ แต่ว่าชัดเป็นคนพูดก่อนแกก็ตกลงกับชัดก่อนเท่านั้นเอง”

ชั่วเวลา ๒-๓ นาทีที่โต้แย้งกันอย สีหน้าวิชัยเปลี่ยนไปหลายครั้ง ในนาทีสุดท้ายหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด แต่ในที่สุดหิริและโอตตัปปะมีอำนาจเหนือความรู้สึกใด ๆ วิชัยจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า

“หยุดพูดกันถึงเรื่องนี้กันเสียทีดีกว่า พูดมากคิดมากบาปแก่ใจเปล่า ๆ พี่ตกลงกับชัดไว้แล้วว่าจะจัดการให้เรียบร้อย”

ช้อยมองดูพี่ชายเขม็ง “รับจะจัดการให้เขาด้วย” หล่อนร้องเสียงดังแล้วนึกต่อในใจ “พ่อคนใจพระยังงั้น มาทำหน้าแห้งเอาแก้วอะไร”

“ตาชัดสัญญากับพี่ด้วยเกียรติของทหารและลูกผู้ชายว่าจะไม่เที่ยวเสเพลและเป็นหนี้ใคร เพราะความเหลวแหลกตั้งแต่นี้ต่อไป พี่สัญญากับเขาว่า จะจัดการเรื่องนี้โดยตลอด วันนี้จะไปพูดกับอุไร คิดว่าจะไม่ลำบากยากเย็นนัก หนักใจอยู่นิดเดียวที่ตรงคุณแม่ ไม่รู้ท่านจะมาท่าไร”

“ฉันจะยุคุณแม่ให้ขนาบใหญ่ อยากทำเป็นคนวิเศษ” ช้อยบอกแก่ตัวเอง แล้วหล่อนนิ่งเสียเหมือนไม่สนใจในคำพูดของเขา

วิชัยยังยืนนิ่งตาลอยอยู่อีกครู่หนึ่ง ครั้นแล้วเขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า และตบศีรษะหนูนิดผู้กำลังใช้กลักไม้ขีดสร้างบ้านอยู่ตรงกลางห้อง แล้วก็ออกประตูไป

ชัดกลับจากกระทรวงก่อนที่วิชัยจะออกจากบ้าน ๒ พี่น้องพูดจากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วผู้เป็นพี่ก็ขึ้นรถไป ส่วนช้อยมีใจอันปราศจากความสงบ จะนั่งนิ่งอยู่กับที่หาได้ไม่ จึงเตรียมตัวจะออกจากบ้านทางประตูหลัง

ประจวบเหมาะพอพบกับเด็กคนใช้ในบ้านคุณแม้น ช้อยจึงถามว่า

“จะไปไหน มาหาฉันหรือ?”

เด็กนั้นย่อตัวลงส่งกระดาษชิ้นน้อยให้แทนคำตอบ

กระดาษนั้นบรรจุข้อความสั้น ๆ ดังนั้น

“อนงค์คิดถึงพี่ช้อย ให้อนงค์ไปหาได้ไหมคะ หรือจะมาหาอนงค์ที่บ้านคุณอาได้ก็ดี คุณอาท่านไม่อยู่

อ.”

อ่านจบแล้วช้อยยิ้มออกได้ กล่าวคำขอบใจแล้วก็ตอบให้เด็กล่วงหน้าไปก่อน

พอออกจากประตูผ่านตรอกเล็กซึ่งเป็นทางสาธารณะ เข้าในรั้วชบาโดยช่องน้อยที่เจ้าของบ้านทำไว้สำหรับศิษย์เก่าโดยตรง ช้อยก็มองเห็นอนงค์คอยอยู่ที่นั่นแล้ว หญิงสาวนอนอยู่บนเสื่อเหนือพื้นดินอันปกคลุมด้วยหญ้าตรงใกล้ต้นฝรั่งซึ่งมีกิ่งโค้งค้อมลง ปกคลุมหลังคากรงนกไว้กิ่งหนึ่ง เมื่อช้อยเห็นอนงค์ก็ลุกขึ้นนั่ง ประณมมือไหว้พลางพูดว่า

“แหมไม่ได้พบพี่ช้อย ๔ วัน คิดถึงเหลือเกิน”

“ขอบใจค่ะ พี่ก็คิดถึงเธอเหมือนกัน” ผู้มีอาวุโสตอบ นั่งลงข้างตัวอนงค์ “พี่กำลังจะมาที่นี่อยู่แล้ว เมื่อเด็กของเธอไปพบพี่”

“จะมาหาคุณอาหรือคะ เออพี่ช้อยก็จำไม่ได้เหมือนกันหรือคะ ว่าวันนี้วันพระ นึกว่าอนงค์โง่คนเดียวอีก”

“จำได้ แต่พี่อยากหาที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในบ้านอึดอัดหาที่สงัดนั่งคนเดียวไม่ได้”

อนงค์เอนตัวลงนอนศีรษะหนุนแขนมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับสายตา ยิ้มอย่างผาสุกระบายอยู่ทั่ววงหน้า

ทางด้านปลายเท้าที่อนงค์นอนอยู่ กับด้านข้างซ้ายมือ มีลานหญ้าเตียนแผ่ไปจดรั้วบ้าน ต้นไม้เพิ่งสอนเป็นปลูกอยู่ประปรายในระยะห่าง ๆ กัน ทางเบื้องขวาห่างจากขอบเสื่อประมาณ ๒ ศอก เป็นที่ตั้งกรงนกขนาดใหญ่ มีลวดตาข่ายเป็นขอบล้อมต้นไม้เล็ก ๆ ซึ่งสรรค์ไว้เพื่อความสำราญของเจ้าสัตว์มีปีกเปิดหลังคาเป็นช่องจำเพาะ ปลายกิ่งลอดออกได้ นกน้อยต่างพรรณต่างลักษณะโลดเต้นโผผินไปมา ส่งเสียงจุ๊กจิ๊กสลับกับเสียงแกรกกรากแห่งใบไม้ซึ่งต้องลมโบกโบยอยู่ไสว ห่างจากที่กรงนกตั้งอยู่ทางเบื้องศีรษะของอนงค์ ลานหญ้าทอดยาวไปจรดถนน ถนนนั้นล้อมรอบตัวเรือน มีกอแก้วกับกอพุทธชาดปลูกสลับกันไว้ในระยะพองามตาม ๒ ข้างริมถนนนี้

หญิงสาวผู้เป็นหลานท่านเจ้าของบ้านพูดขึ้นว่า

“อนงค์คอยพี่ช้อยกับคุณพระอยู่เป็นหลายวัน ไม่เห็นไปสักที ในที่สุดก็นึกว่าคุณพระเห็นจะลืมเสียแล้ว และพี่ช้อยก็คงจะมีงานติดขัด วันนี้พี่จำลองชวนไปบ้านคุณหญิงรานรอน ฯ เผอิญพบพี่แสวงไปป้ออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เลยทิ้งพี่ชาย ๒ คนไว้ด้วยกัน อนงค์เตลิดมานี่ คุณพระลืมเรื่องที่รับว่าจะพาหนูนิดไปหาอนงค์เสียแล้ว จริงไหมคะ พูดถึงบ้างหรือเปล่า?

“พูดในวันรุ่งขึ้นจากคืนที่รับปากกับเธอ”

“แต่กว่าจะวันนี้คงลืมเสียสนิทแล้ว”

ช้อยส่ายหน้าช้า ๆ “ต้องลืมอยู่เองเธอ” หล่อนตอบ “พี่ใหญ่กำลังมีเรื่องยุ่งอย่างร้ายที่สุด”

อนงค์ยันตัวขึ้นเอกเขนก น้ำเสียงของช้อยทำให้หล่อนตกใจและเมื่อมองดูหน้าช้อยเล่า ก็เห็นเคร่งขรึมและสลดผิดธรรมดา เกิดความวิตกราวกับได้ฟังข่าวร้ายเกี่ยวแก่ญาติสนิท จึงถามออกไปโดยเร็วว่า

“เรื่องอะไร?”

“คนที่ใกล้ชิดเธอที่สุด และที่รักเธอที่สุดเป็นคนเบียดเบียนความสุขของเธอ เวลานี้พี่กลุ้มใจเหลือเกิน อยากจะหนีไปไหน ๆ เสีย ไม่อยากเกี่ยวข้องกับใคร เห็นอะไรมันบ้าไปหมด”

คำตอบของช้อยไม่ทำให้อนงค์ฉลาดขึ้น หากเพิ่มกระหายอยากจะรู้และความร้อนใจให้เป็นทวีคูณ แต่ก่อนงค์หาใช่บุคคลชนิดที่จะปล่อยความกระหายให้มีอำนาจเหนือจรรยา หล่อนจึงรอฟังอยู่เงียบ ๆ

ช้อยเอ่ยถามขึ้นว่า

“หมู่นี้เธอเห็นจะไม่ค่อยพบตาชัดกระมัง?”

“ตั้งแต่วันเกิดมาแล้วยังไม่ได้พบเลย”

“ก่อนนั้นล่ะคะ?”

ก่อนนั้นก็ราว ๓-๔ วันได้พบกันที ชัดไปคลับเสมอนี่คะ”

ช้อยนิ่งไปครู่หนึ่ง ภายหลังจึงพูดขึ้นอีก

“พี่อยากจะถามอะไรเธอสักหน่อย แต่เกรงใจเหลือเถิน กลัวเธอจะเข้าใจพี่ผิดไป”

อนงค์ตอบในทันทีว่า

“ถามเถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ อนงค์นับถือพี่ช้อยเหมือนพี่ของอนงค์แท้ ๆ และจะไม่แกล้งเข้าใจอะไรให้ผิดไปจากความจริงไปเลย”

“ขอบใจมาก ถ้ายังงั้นพี่จะถาม ขอโทษนะอย่าว่าพี่ก้าวก่าย อันที่จริงฝ่ายหนึ่งก็เป็นน้องของพี่ ส่วนเธอถึงไม่ใช่ พี่ก็รักเธอเหมือนน้อง นี่พี่พูดจริง ๆ นะ พี่เคยนึกอยากได้เธอเป็นน้องเสียเหลือเกิน....พี่อยากรู้ว่า....เธอกับตาชัดน่ะ....”

“รักกันหรือเปล่า?” อนงค์ต่อโดยเร็วพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ “ถ้ารักกันอนงค์จะเป็นน้องพี่ช้อยสมใจ ยังงั้นหรือคะ? แหม ! อนงค์เสียใจเหลือเกิน ความจริงชัดกับอนงค์ก็ชอบกัน หากเกือบ ๆ จะรักกัน แต่ยังไม่ได้รัก แต่เดี๋ยวนี้อนงค์ไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเราจะไม่รักกันอย่างที่อนงค์จะเป็นน้องพี่ช้อยเสียแล้ว ให้อนงค์ได้เป็นน้องโดยไม่ต้องรักกับชัดไม่ได้หรือคะ?”

อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มนิดหนึ่งและตอบว่า

“เป็นน้องด้วยใจเรารักกันนั้น เดี๋ยวนี้เธอก็เป็นอยู่แล้ว แต่พี่ขอถามอีกสักคำเถอะ เมื่อเกือบจะรักกันอยู่แล้วทำไมจึงกลายเป็นอย่างอื่นไปเล่า”

อนงค์นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง หล่อนควรจะให้คำตอบแก่ช้อยผู้พี่ของชัดดังที่ได้ให้แล้วแก่พี่ชายของหล่อนเองหรือ? เห็นจะไม่สู้เหมาะนัก คิดดังนั้นแล้วอนงค์จึงหัวเราะพลางกล่าวว่า

“ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ เห็นจะเป็นเพราะในเดือน ๒ เดือนนี้ อนงค์เกิดเป็นโรคแก่ขึ้นมาอย่างมากหรือยังไงแหละค่ะ”

“เธอหมายความว่ากระไร?”

หญิงสาวหัวเราะอีก “หมายความว่าตัวอนงค์เป็นผู้ใหญ่เกินไปที่จะแต่งงานกับเด็กน่าเอ็นดูอย่างชัดน่ะซีคะ”

ช้อยมีอาการงงยิ่งขึ้น ในที่สุดจึงตั้งคำถามใหม่

“ชัดเขารักเธอหรือเปล่า?”

อนงค์อึ้งเป็นครั้งที่ ๒ ก่อนที่จะตอบว่า

“ก็....ก็เห็นจะเป็นบ้างค่ะ เพราะว่า....คนหนุ่ม ๆ ที่คบกับอนงค์เขามักจะบอกว่าเขารัก เขาจะรักจริงหรือรักแต่ปากก็ไม่ทราบเขานะคะ แต่ตัวอนงค์เองยังไม่เคยรับรักของใครเลย”

สีหน้าช้อยแสดงความยุ่งใจยิ่งขึ้น “ลงท้ายใครเคราะห์ร้ายมากกว่าเพื่อน?” หล่อนพึมพำ

อนงค์ลุกขึ้นนั่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย แต่หล่อนหัวเราะพร้อมกับพูดว่า

“อนงค์ซีคะ เพราะว่าฟังพี่ช้อยพูดอยู่นานแล้วยังไม่เข้าใจสักทีว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแก่ใคร?”

“พี่จะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ ประมาณ ๒-๓ เดือนมานี่ คุณแม่ชอบใจผู้หญิงคนหนึ่งจะขอให้ตาชัด พวกเรามีพี่ใหญ่เป็นต้นไม่เห็นด้วยเลย เพราะตาชัดเขาไม่ชอบเราก็เห็นใจเขา พี่ใหญ่ผิดใจกับคุณแม่เพราะเรื่องนี้นับหนไม่ถ้วน แต่ลงท้ายพ่อชัดทำพี่ใหญ่เสียเจ็บ พี่ใหญ่รักแม่จันทรใคร ๆ เขารู้กันทั้งนั้น มีแต่พ่อชัดคนเดียวไม่รู้ เกิดรักแม่จันทรขึ้นบ้าง พี่ใหญ่เลยสิ้นท่า เวลานี้เหมือนคนจวนจะตาย เห็นแล้วทุเรศเหลือกำลัง”

ช้อยพูดจบแล้วก็ชำเลืองดูอนงค์ แต่เพื่อนสาวของหล่อนนั้นนั่งก้มหน้ามือแกะเสื่อง่วนอยู่ ราวกับเพลินในการเล่นนั้นเสียเต็มที

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ