๑๕

เย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม อากาศค่อนข้างเย็น เพราะฤดูหนาวได้ย่างเข้ามาใกล้แล้ว ลูกหญิงคนสุดท้องของนางศรีวิชัย ฯ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในบริเวณหลังบ้าน ห่างจากตัวหล่อนไปเล็กน้อย หนูนิดเด็กหญิงผู้มีร่างเล็กและแบบบางนั่งหั่นใบไม้เล่นง่วนอยู่คนเดียว

๒ เดือนผ่านพ้นไปแล้ว นับแต่วันที่สามีของช้อยได้ละร่างไปสู่ปรโลก แต่วันเวลาที่ล่วงพ้นไปนั้นมิได้ปัดเป่าความโศกของหญิงหม้ายให้ล่วงไปตาม ช้อยยังมีสีหน้าอันเศร้าซีด มีท่าเบื่อชีวิตและบางคราวก็มีอาการดิ้นรนฮึดฮัดมาแทรกแซงเป็นพิเศษด้วย

ความโศกที่ไม่สิ้นนี้ หาใช่ความโศกอันเกิดจากความดิ้นรนเรียกร้องผู้ตายให้กลับคืนมาใหม่ ความโศกที่เกิดจากการดิ้นรน มีอยู่อย่างรุนแรงสุดขีดในระยะ ๑๐ วันแรก แต่ได้เสื่อมสิ้นไปในไม่ช้า ส่วนความโศกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีมูลเดิมจากความเสียดาย สิ่งแวดล้อมที่เคยมีในสมัยที่ตนครองชีพอยู่กับบุรุษผู้เป็นสุดที่รัก และให้หมดสิ้นไปในเวลาเดียวกับชีวิตของเขาดับลง ถ้าจะกล่าวว่าช้อยยังโศกนัก เพราะเสียดายสามี ดังนี้ก็ไม่แต่ความเสียดายในคนที่ตายไปแล้ว วิญญูชนย่อมระงับเสียได้ แม้ไม่สูญก็พอเสื่อม เพราะตระหนักอยู่แก่ใจว่า ถึงอย่างไรคนตายไปแล้วจักไม่ฟื้นคืนมา แต่ความเสียดายในสิ่งแวดล้อมนั้นยากที่จะหักให้หาย ด้วยภาวะความมีความเป็นที่ช้อยได้เคยผ่านมานั้นไม่เป็นภาวะอันเหลือความสามารถที่บคคลในฐานะเช่นช้อยจะทรงไว้ได้ ถ้าแม้ว่าอำนาจแห่งความทรงไว้นั้นขึ้นอยู่กับหล่อนโดยตรง

สิ่งแวดล้อมที่กล่าวนี้มีความสำคัญอยู่ที่ความสงบสุขในเคหะแห่งตน ความสงบสุขมีความสำคัญอยู่ที่ความอิสระในการคิดทำ สามีของช้อยเป็นชายที่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติหลายประการ มีศีล มีความละอายต่อบาป มีความกรุณา และมีสัจจะ คือความจริง เป็นองค์คุณสำคัญประจำใจคอยกำกับควบคุมคุณสมบัติเหล่านั้นให้คงที่อยู่เสมอ อันชายที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ เมื่อได้มอบความเป็นอยู่แห่งชีวิตไว้กับหญิงใด มาตรว่าหญิงนั้นไม่มีกรรมชั่วติดตัวจนเหลือขนาด ก็เป็นธรรมดาที่จะได้รับความสุขใจเต็มเปี่ยม จนสามารถก้มหน้าต่อต้านสรรพอุปสรรคแห่งชีวิตได้โดยปราศจากความกระวนกระวาย เพราะเหตุฉะนี้ ช้อยจึงมีความรักความบูชาในสามีอย่างสูงสุด จนถึงกับน้อมนำใจตนให้เข้ารวมอยู่ในการคิดการทำของเขาจนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งเมื่อสรุปความแล้วก็เท่ากับช้อยมีอิสระในการคิดการทำตามใจตนทุกเวลา

อนึ่งช้อยแต่งงานเมื่ออายุ ๒๒ ปี ได้อยู่ร่วมกับนายสมานมาตลอด ๔ ปีกว่า คุณสมบัติของสมานได้กล่อมเกลาอุปนิสัยของหล่อนจนโอนเอียงตามอุปนิสัยของเขาไปได้มาก นอกจากนี้แล้วบุคคลผู้ครองเรือนมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้อยู่ในปกครอง ถ้าแม้ว่าตนรู้สึกในความรับผิดชอบนี้ ก็ย่อมต้องมีความคิดความระวัง และรู้คิดรู้สังเกตจนมีความรอบรู้เพิ่มพูนขึ้นในตัว อาศัยเหตุ ๒ ประการ คืออิทธิพลของสามีรวมกับความรอบรู้ที่เกิดจากต้องรับผิดชอบ ช้อยจึงมีความคิดแตกฉาน มีไหวพริบในเชิงสังเกตสิ่งที่ผ่านหูผ่านตา และมีคุณสมบัติอันเกิดแล้วและเจริญขึ้นยิ่งกว่ากาลก่อนเป็นอันมาก

เมื่อสิ้นสามีเสียแล้ว สิ่งเดียวที่เหมาะและสมควรที่จะปฏิบัติ ก็คือกลับมาอยู่กับมารดา ซึ่งช้อยก็ได้ปฏิบัติแล้วโดยไม่ลังเล พร้อมกับหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะได้รับความประเล้าประโลมจากบ้าน อันเป็นที่เกิดนี้และความสงบสุขก็จะกลับเกิดแก่ใจ แต่ความหวังของหล่อนผิดไปอย่างคาดไม่ถึง.... เมื่อความสงบสุขไม่มีอยู่ในบ้าน บ้านจะให้ความสงนสุขแก่คนที่อาศัยอยู่ใต้ชายคากระไรได้

ในคืนแรกที่ช้อยจะได้อาศัยบ้านเดิมเป็นที่นอน หล่อนก็ได้ฟังข่าวเรื่องมารดาหาภรรยาให้น้อง ด้วยความเคารพและเชื่อมั่นในผู้ให้กำเนิด ช้อยก็เชื่อต่อไปว่า หญิงที่มารดาเลือกแล้วคงจะเป็นหญิงที่คู่ควรแก่น้องชายและความเชื่อนี้ทำให้หล่อนดีใจในข่าวที่หล่อนเชื่อว่า ในวันต่อ ๆ มาหล่อนได้ฟังเรื่องนี้อีก แต่ในที่สุดของเรื่อง ช้อยได้รับความรู้ใหม่ว่า นายร้อยตรีชัดไม่เห็นดีด้วยในความคิดของมารดา ตรงนี้แหละคือต้นเหตุแห่งความไม่สงบที่มีอยู่ในบ้าน

ชัดปกติอยู่บ้านน้อยที่สุด โดยมากเขาอยู่แต่เฉพาะเวลาหลับและก็น้อยที่สุดเท่าที่ชัดอยู่บ้านนี้ หญิงผู้ทรงอำนาจในบ้านจึงจะรู้พูดรู้ยิ้มอย่างแจ่มใส นอกจากนี้แล้วคุณนายย่อมมีสีหน้าบึ้งตึง วาจาก้าวร้าว มักบ่นว่าด่าทอผู้อยู่ในปกครองโดยปราศจากเหตุสมควร อันความจู้จี้จุกจิกของนางศรีวิชัย ทั้งบุตรหญิงบุตรชายย่อมเคยเห็นเคยได้ยิน แต่นิสัยเช่นนี้ย่อมมีแก่ผู้อยู่ในปัจฉิมวัยเป็นส่วนมาก จึงไม่เป็นการเกินกำลังของช้อยที่จะอดทน ข้อที่ทำให้หล่อนอัดใจเพียงอกแตกนั้น คือพี่ชายใหญ่ผู้ซึ่งมีความประพฤติอันไม่ควรแก่การต้องตำหนิ โดยอย่างหนึ่งอย่างใดกลับเป็นผู้ที่ถูกมารดารุกรานอยู่เสมอ

ความพอใจทั้งหลายที่เรียกไม่ได้จากลูกคนเล็ก คุณนายชื่นจะรีดเค้นจากลูกชายใหญ่ สิ่งใดที่ลูกชายเล็กไม่กระทำ ท่านเคี่ยวเข็ญลูกชายใหญ่ดังหนึ่งจะให้เขาทำแทน ชัดกลับบ้านดึกหลายคืนซ้อนกัน ท่านบ่นว่าวิชัยไม่เตือนน้อง ถ้าวันใดวิชัยกลับบ้านผิดเวลาบ้าง ท่านก็ว่าเขาทำเยี่ยงไม่ดีให้น้องเอาอย่าง ๓-๔ เดือนที่ท่านพยายามเกลี้ยกล่อมจะให้ชัดไปดูตัวลูกสาวพระยาราญรอน ฯ ทั้ง ๓-๔ เดือนชัดพยายามบิดพลิ้วหลีกเลี่ยงได้ วิชัยก็มีส่วนผิดด้วยอีกในฐานให้ท้าย

เมื่อ ๒-๓ วันที่แล้วมานี่เอง ได้มีเรื่องคล้ายคลึงกับที่กล่าวมาแล้วเกิดขึ้นอีก ซึ่งช้อยยังฝังใจไว้จนถึงเวลานี้

วันนั้นหล่อนนั่งอยู่บนระเบียงเรือน วิชัยอยู่ในห้องกับมารดา ทั้ง ๒ จะได้พูดกันเรื่องอะไรก่อนช้อยไม่ทันฟัง เพิ่งเกิดความเอาใจใส่เมื่อได้ยินเสียงมารดาพูดว่า

“เต็มทีลูกของเรามันไม่รักดี ข้างเขาหรือค้อยคอย คอยจะให้คอยะช่วย ไอ้ของเราไม่เอาอะไรสักอย่าง”

ไม่ได้ยินเสียงตอบจากอีกฝ่ายหนึ่ง คุณนายชื่นพูดต่อไป

“ฉันดู ๆ เหมือนพ่อใหญ่เห็นดีกับน้องถึงได้ไม่ช่วยว่ากล่าวตักเตือนบ้างเลย”

“คุณแม่จะให้ผมเตือนเรื่องอะไรครับ?”

ก็เรื่องมีลูกมีเมียน่ะซี มีอย่างหรือขนมมาถึงปากแล้วจะปัดทิ้งเสีย อีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะได้พบอย่างนี้อีก”

ถึงตอนนี้ ช้อยทายได้ทันทีว่าพี่ชายใหญ่ของหล่อนจะตอบมารดาว่ากระไร ด้วยเหตุว่าเขาได้เคยตอบมาแล้วมากกว่า ๓ ครั้ง และคำตอบที่หล่อนได้ยินในอึดใจหนึ่งต่อมาก็ตรงกับที่หล่อนทายไม่ผิดเพี้ยน

“ชัดบอกกับผมว่าไม่ชอบลูกสาวคุณหญิงมะยม ถ้าจะขืนให้เขาแต่งงานกับลูกสาวบ้านนั้น เขาไม่รับรองว่าเขาจะไม่เสียคนทีหลัง ดังนั้นผมก็หมดปัญญา

“ปัญญาของแกน่ะไม่หมดง่าย ๆ หรอก ฉันรู้แต่ว่าแกเห็นดีเห็นถูกที่น้องแกพูดอย่างนั้น เพราะว่ามันเข้าสมัย ลูกโตแล้วทำอะไรต้องเอาแต่ใจ พ่อแม่เท่ากับหมาตัวหนึ่ง จะว่าอะไรฉันก็ไม่กลัว”

วิชัยไม่ตอบ และช้อยอยู่ห่างเขามากเกินไปจึงมิได้ยินเสียงลมหายใจที่เขาถอนขึ้นอย่างยืดยาว แต่หล่อนรู้ว่าเขาทำดังนั้นเพราะคุณนายชื่นพูดว่า

“เรียกมาปรึกษาหารืออะไรหน่อยก็ถอนใจ! เบื่อแม่เสียเต็มที ถึงทีคนอื่นละวิ่งไปประจบเขาได้ร่อน ๆ”

“เรื่องพ่อชัดเป็นเรื่องที่หนักอกผมมาก” ผู้เป็นบุตรตอบช้า ๆ “ผมเองเป็นแต่พี่เขา ไม่ใช่พ่อ จะบังคับเขานักก็ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งตาชัดเวลานี้อายุก็ยังน้อย เงินเดือนก็ยังน้อย ใช้สำหรับตัวเองคนเดียวยังไม่ค่อยจะพอ จะพอสำหรับเลี้ยงเมียด้วยอีกหรือ ถ้าจะให้แกมีเมียไว้สำหรับเลี้ยงตัวแก ผมเองก็ไม่เห็นดี รู้สึกว่าผิดวิสัยลูกผู้ชาย”

คำตอบนี้เป็นอีกคำหนึ่งที่ช้อยเคยได้ยินแล้วหลายครั้ง จึงทายได้อีกว่าผลแห่งคำตอบนี้จะเป็นอย่างไร คุณนายชื่นหัวเราะเสียงกร้าว พูดสวนควันขึ้นทันที

นั่นไหมล่ะ ฉันว่าแล้วว่ามีคนให้ท้ายพ่อชัด มันถึงได้ดื้อดานนัก ถึงว่าเถอะน่า ลูกคนนี้แต่อ้อนแต่ออกไม่เคยเป็นเด็กหัวแข็งเลย มีคนหนุนมันถึงได้กำเริบไม่กลัวแม่”

ช้อยมีความรู้สึกใคร่จะจับเก้าอี้หรือโต๊ะที่อยู่ใกล้มือฟาดลงกับกระดานโดยแรง หรือมิฉะนั้นก็ฉีกเสื้อผ้าที่แต่งอยู่ให้ขาดวินาศไปกับมือ แต่น้าเสียงของวิชัยที่ดังมาถึงหูช้อยนั้น มิได้แสดงว่าเขามีความรู้สึกอันใกล้เคียงกับความรู้สึกของหล่อนแม้แต่น้อย

“ผมไม่เคยพูดกับตาชัดอย่างที่ได้พูดกับคุณแม่เดี๋ยวนี้เลยครับ”

“ก็แล้วแกมาพูดกับฉันทำไมล่ะ แกจะเป็นครูสอนแม่หรือ?”

“มิได้ครับ ผมเรียนคุณแม่เพื่อจะให้เข้าใจว่า ผมมีเหตุผลอย่างไรจึงไม่กระตือรือร้นให้ตาชัดแต่งงาน”

“เหตุผล ! เอะอะอะไรก็เหตุผล เหตุผลของแกมันก็เรื่องไม่ทุกข์ไม่ร้อน น้องจะระยำป่าหมาอย่างไรก็ช่าง เที่ยวกลางกลางค่ำกลางคืนกลับดึกกลับดื่นก็ช่างมัน อย่าว่าเลยพ่อใหญ่ดีอยู่แล้ว สบายแล้วนี่ พ่อชัดจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันปะไร !”

ช้อยอกเต้น อึดอัดอยากจะร้องไห้ กัดริมฝีปากเงี่ยหูคอยฟังต่อไป จึงได้ยินเสียงวิชัยตอบแก่มารดาของเขาว่า

“ถ้าเราช่วยกันสนับสนุนให้ชัดได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขาชอบ บางทีเขาจะกลับเป็นคนดีได้ เพราะเขาก็เป็นคนฉลาด ได้เล่าเรียนรู้แล้วว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว”

“ก็เชิญจัดกันเข้าซี หลานสาวเขาบ้านโน้นใช่ไหมล่ะ แม่ประแหลดคนนั้นน่ะ เอาเถอะ วันไหนก็วันนั้นแหละ แกทั้งพี่ทั้งน้อง อย่าได้เหยียบย่างเข้ามาในบ้านฉันอีกเลย”

“มิได้ครับ คุณแม่ ผมเองก็ยังไม่ทราบแน่ว่าชัดชอบอนงค์ ที่ผมพูดหมายความว่าผู้หญิงทั่วไป ถ้าชัดเขาชอบ และคุณแม่ไม่เกลียดจนเหลือเกินก็ควรจะผ่อนตามใจเขา ดีกว่าจะบังคับให้เขาตามใจเราฝ่ายเดียว เพราะว่าเขาบอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่าถ้าเขารักเมียเขาไม่ลง เขาจะเสียคนภายหลัง คุณแม่จะร้อนใจมากขึ้น ไหนจะเกรงใจผู้ใหญ่ทางฝ่ายโน้น ไหนจะเป็นห่วง พ่อชัดของเรา คุณแม่โปรดตรองดูเถอะครับ?”

คุณนายชื่นยังไม่ได้ตอบในทันที แต่ผู้ที่นั่งอยู่นอกห้อง บันดาลโทสะจนตัวสั่น โกรธแม่ว่าอยุติธรรม โกรธพี่ชายว่าช่างทนได้ ไม่เห็นประโยชน์ที่จะฟังต่ออีกจึงลุกไปเสียที่อื่น

นึกถึงพี่ชายคนใหญ่ ช้อยถึงกับเคยสงสัยว่าตัวเขานั้นประกอบขึ้นด้วยอิฐด้วยปูนหรืออะไรกันแน่ จึงช่างกระไร ดูเหมือนเขาไม่มีการเกรี้ยวกราดของมารดา ทางพุทธศาสนาท่านสอนไว้ให้ระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ ธรรมข้อนี้ช้อยเห็นว่า มีคนสามัญน้อยนักจะปฏิบัติตามได้โดยสม่ำเสมอ แต่สำหรับวิชัยเห็นทีเขาจะมีนิสัยไม่โกรธมาแต่อ้อนแต่ออก จึงเคร่งอยู่ในธรรมข้อนี้โดยไม่หวั่นไหว อย่างไรก็ตาม วิชัยทนต่อความโกรธของมารดาได้มากเท่าใด ความเศร้าใจของช้อยก็มากขึ้นเท่านั้น ด้วยว่าหล่อนต้องเผชิญกับความจริงอีกประการหนึ่งที่ไม่เคยคิดค้นกันมาก่อน คือหล่อนสังเกตเห็นว่า หญิงผู้ที่หล่อนเคารพบูชาไว้ในที่สูงประหนึ่งบูชาพระนั้น มีนิสัยขลาดต่อความแข็งกระด้างและกล้าข่มขู่ความลมุนละม่อม ดังนั้นผลแห่งการปฏิบัติของวัยจึงไม่งอกเงยอยู่ได้ยืดยาว

เสียงฝีเท้าคนเดินทำให้ช้อยตื่นจากภวังค์ และเงยหน้าขึ้นดู ก่อนที่จะเห็นตัวผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น ก็เห็นหนูนิดลุกแล่นไปข้างหน้า ครั้นแล้วจึงได้เห็นวิชัยอุ้มหลานขึ้นใส่บ่าพามายังที่หล่อนนั่งอยู่

“ไม่อยู่กินเลี้ยงกับคุณแฝดดอกหรือ?” เขาถามหล่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามเคย “พี่ผ่านหน้าบ้านมาเห็นคนนั่งเป็นกลุ่มอยู่ที่หน้าเรือน เข้าใจว่ากำลังเลี้ยงอะไรกันอยู่”

“คุณแฝด” เป็นนามที่วิชัยใช้เรียกคุณแม้นกับคุณเมี้ยน เนื่องจากเขาเคยรู้ว่าคุณทั้ง ๒ เป็นพี่น้องฝาแฝด ครั้นได้พบกับท่านทั้ง ๒ แล้ว เห็นจริงด้วยกับคำที่สมพงศ์ว่าท่านเหมือนกันจนเกือบจะหาาที่ผิดเพี้ยนไม่ได้ ดังนั้น เมื่อจะกล่าวนามสตรีคู่นี้ เพื่อที่จะไม่ต้องแยกท่านทั้ง ๒ ออกจากกัน เช่นเดียวกับที่ท่านทั้ง ๒ ไม่เคยคิดจะแยกตัวของท่านจากกันและกันเลย วิชัยจึงขนานนามท่านเสียใหม่ให้เรียกง่ายขึ้น แต่พึงเข้าใจว่าในเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณทั้ง ๒ หรือแม้เพียงต่อหน้าญาติของคุณทั้ง ๒ แล้ว เขาหาบังอาจเรียกนามที่เขาขนานขึ้นเองไม่ ด้วยเกรงจะเป็นการขาดต่อความเคารพต่อวัยวุฒิบุคคล

ช้อยตอบคำถามของพี่ชายว่า

“ลูกหลานของท่านมากันหลายคน มีฉันคนเดียวไม่ได้เป็นญาติ งานการที่ทำเมื่อตอนบ่ายก็เสร็จหมดแล้ว ขี้เกียจอยู่ยุ่มย่ามเลยกลับมาเสียก่อน รับประทานข้าวแล้วถึงจะไปช่วยทำงานตอนกลางคืนอีก”

“พ่อชัดเขาไปที่นั่นหรือเปล่า ?” วิชัยถาม

“ไม่ทราบค่ะดิฉันไม่พบเขานี่ บางทีเวลานี้เขาจะอยู่ที่นั่นกระมัง”

“เวลานี้เขาอยู่บนเรือน พี่มาถึงพร้อมกับเขาพอดี นี่คุณแม่อยู่ที่ไหน?”

“ไม่ทราบอีก ดิฉันเข้าทางประตูนี้” หล่อนชี้ไปยังประตูเล็กที่ติดต่อกับบริเวณบ้านใหม่ “แล้วก็นั่งอยู่ที่นี่ ยังไม่ได้ผ่านไปทางหน้าเรือนเลย”

“หนูทานข้าวแล้วหรือยังจ๊ะ?” วิชัยถามเด็กน้อยที่อยู่บนบ่า พลางเลื่อนตัวแม่หนูลงมาต่ำเพียงระดับเอว หนูนิดซบศีรษะลงกับบ่าเขา แต่หาปรารถนาตอบคำถามที่เขาถามแล้วไม่

“ลุงถามทำไมไม่ตอบล่ะจ๊ะ” ช้อยว่า แล้วหล่อนก็ทำหน้าที่ตอบเสียเอง “แกทานแล้วค่ะ พี่ใหญ่ไปอานน้ำเสียเถอะ ประเดี๋ยวเราจะได้รับประทานกันบ้าง วันนี้กลืนข้าวเห็นจะไม่สู้ฝืดคอ”

“ทำไม? มีอะไรพิเศษหรือ? คุณแฝดส่งมากระมัง?”

ช้อยยิ้มพลางสั่นศีรษะและตอบว่า

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ดิฉันหมายความถึงพ่อชัดเขาอยู่บ้าน คุณแม่ท่านคงไม่บ่นใครหรือด่าใคร”

วิชัยยิ้มตอบน้องสาวแล้วก็อุ้มหลานเดินไปที่เรือน ส่วนช้อยยังไม่สมัครจะเปลี่ยนที่ จึงคงนั่งใช้เวลาให้ล่วงไปในการรำพึงต่อไปอีก

ความประหลาดของทางดำเนินแห่งชีวิตที่บุญและกรรมปรุงแต่งมาได้กับเสียเป็นของคู่กัน กรรมบันดาลให้ช้อยเสียบุรุษผู้ยอดดีไปคนหนึ่งแล้ว ทำให้หัวใจที่เคยเสพความดีอ้างว้างเหลือแสน ครั้นแล้วบุญก็มาบันดาลให้หล่อนได้ติดต่อสมาคมกับสตรี ๒ นาง ซึ่งเป็นโอกาสให้หล่อนได้พบรอยแห่งความดีละม้ายเหมือนเมื่ออยู่กับนายสมาน ผิดกันแต่เพียงว่าฝ่ายหนึ่งเป็นหญิง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นชาย แม้ว่ามีคุณสมบัติเสมอกัน แต่วิธีที่จะระบายความดีออกโปรยปรายแก่ผู้อื่นนั้น ย่อมยิ่งและหย่อนกว่ากันในเชิงแข็งและอ่อน

เมื่อยังอยู่ในวัยสาว คุณแม้นกับคุณเมี้ยนเคยรับหน้าที่เป็นครูอยู่ในโรงเรียนที่ช้อยกำลังศึกษา ครั้นเมื่อช้อยเป็นหม้ายและได้กลับมาอยู่กับมารดา ได้พบคุณทั้ง ๒ ในเวลาที่ท่านมาดูบ้านใหม่ ผู้เป็นศิษย์แสดงความเคารพ โดยอ่อนน้อมเท่าที่เคยแสดงในเมื่อตัวเป็นเด็ก ฝ่ายผู้เป็นครูก็ปราศรัยโดยอ่อนหวาน เพียบพร้อมด้วยอัธยาศัยไมตรี จึงต่างฝ่ายต่างมีความชอบพอซึ่งกันและกัน และได้ติดต่อพบปะกันอย่างสนิทสนมเรื่อยมา

คืนนี้นางศรีวิชัย ฯ จะไปดูละครร้องกับลูกสาวคนใหญ่ หลวงศักดิ์ ฯ มีใจเอื้ออารีรับจะพาแม่ยายกับภรรยาไปส่งที่โรงละคร ตัวเขาเองจะเลยไปที่อื่นแล้วจะกลับมารับเมื่อใกล้เวลาละครเลิก ในระหว่างที่รับประทานอาหาร คุณนายชื่นชวนบุตรชาย ๒ บุตรหญิง ๑ ให้ไปด้วยกับท่าน และได้รับคำตอบเชิงปฏิเสธโดยสุภาพ เป็นเหตุให้คุณนายนึกฉิวอยู่บ้าง หากได้ความอารีของเขยใหญ่ซึ่งนานทีจะมีสักครั้ง ชะโลมใจอยู่เป็นทุน และการที่ได้นายชัดร่วมโต๊ะอยู่ด้วยชะโลมซ้ำ ความฉิวของคุณนายจึงไม่กลายเป็นความโกรธ

เมื่อมารดาไปแล้ว วิชัยเดินไปส่งช้อยที่ประตูเล็กติดต่อกับเขตบ้านคุณแม้น ครั้นแล้วเขาเองก็เดินดูต้นไม้ภายใต้แสงจันทร์ เบื่อเดินแล้วมานั่งเก้าอี้ที่สนาม เบื่อนั่งอีกจึงขึ้นเรือน

เห็นชัดนอนอ่านหนังสืออยู่ที่เฉลียง ท่วงทีจะเพลิดเพลินมากเพราะแม้แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยังไม่เหลียวแล ไม่อยากรบกวนความสำราญน้อง วิชัยจึงลดฝีเท้าให้เบาแล้วเลยขึ้นไปชั้นบน

เข้าในห้องของตัวเอง หมุนไปหมุนมาด้วยว่าไม่รู้จะทำสิ่งใดเพื่อฆ่าเวลา พอเหลือบเห็นสมุดที่รวมรูปอันตัวเขาเองเป็นผู้ถ่าย วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ วิชัยจึงเปิดไฟฟ้าตั้งใกล้โต๊ะนั้นขึ้น แล้วนั่งลงพลิกสมุดดู

พลิกไปพลิกไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สนใจนัก จนเมื่อถึงรูปสุดท้ายติดอยู่เดี่ยวและเด่นกลางหน้าสมุด มือที่เตรียมจะพลิกก็ชะงัก สายตาวิชัยจับนิ่งอยู่กับที่หลายวินาที

ภายหลังเขาเลื่อนสมุดรูปมาวางไว้ทางเบื้องซ้าย หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า หยิบดินสอมาถือนิ่ง ตรองดูอีกครู่ มองดูรูปอีกครั้งแล้วจรดปลายดินสอลงบนแผ่นกระดาษ ตัวอักษรไทยก็ปรากฏขึ้นเป็นแถวยืดยาวไปโดยเร็ว

เขียนแล้วอ่านทาน ขีดฆ่าและแก้บ้างเล็กน้อย วิชัยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหยิบซออู้ที่แขวนติดอยู่กับฝาห้อง เสียเวลาเทียบสายเพียงครู่น้อย ๆ แล้วเสียงซอก็ดังขึ้นเป็นจังหวะช้า ๆ ในทำนองเนื้อร้องเพลงนกจาก สายตาวิชัยจับอยู่ที่บทประพันธ์อันตนได้ประพันธ์ไว้แล้ว และมีความกระดากอายต่อการที่จะฟังเสียงตนเองขับเพลงเข้ากับบทประพันธ์นั้น จึงใช้ซอเพียงรำพันถ้อยคำแทนตัว

ชะยิ่งพิศก็ยิ่งคะนึงนุช เจ้างามสุดงามยิ่งไม่มีสอง

งามทั้งผาดทั้งพิศติดใจปอง งามจริตงามทำนองสะเทิ้นอาย

งามยิมเมื่อเจ้าแย้มเยื้องรับพี่ งามฉวีพักตร์ผ่องดังจันทร์ฉาย

งามโอษฐ์ที่เจ้าเอื้อนอรรถภิปราย งามเนตรที่เจ้าชายชวนชม”

“ฮูเร !”

พร้อมกับเสียงพูดนี้ มีเสียงปรบมือดังขึ้นด้วย วิชัยเบือนหน้าไปทางประตู เห็นชัดยืนอยู่ตรงนั้น นายทหารหนุ่มพูดต่อไปว่า

“ทำไมถึงหยุดเสียล่ะครับ ผมกำลังฝันเพลินทีเดียว”

“ขอบใจ” วิชัยตอบ ทบคันซอสอดเข้ากับลูกบิด” เข้ามาข้างในซีชัด เมื่อตะกี้อ่านหนังสืออะไร เห็นท่าทางเพลินมาก”

“อ่านเรื่องของ โวตเฮาส์ สนุกพอใช้ ขันดี นี่พี่ช้อยไปบ้านโน้นแล้วหรือ?”

“ไปนานแล้ว” วิชัยตอบ “แกไม่นึกอยากกรายไปดูเขาบ้างหรือ?”

“ผมหรือ?” ชัดถาม หัวเราะอย่างขันแกมสงสัย “ไปทำไมกัน?”

“ไม่รู้หรือ นึกว่าอยากจะไปหาใคร ๆ ที่นั่นบ้างน่ะซี”

ชัดหัวเราะอีก แล้วว่า

“พี่ใหญ่นี่เป็นคนดีน่ารักเหลือเกิน”

พี่ชายของชัดเลิกคิ้วอย่างสงสัย “ทำไม?” เขาถามพร้อมกับลุกจากเก้าอี้เพื่อนำซอไปเก็บไว้ยังที่ “อยู่ ๆ ก็มายอพี่ จะประจบเอาอะไรหรือ?”

“อยากได้” เป็นคำตอบตามตรงด้วยน้ำเสียงสุภาพ แล้วพูดต่ออย่างหนักแน่นจากใจจริง “แต่เมื่อชมนั้นไม่ได้ตั้งใจจะประจบเลย นี่เป็นความจริงแท้ ๆ ผมคิดว่าผมจะขออะไรพี่ใหญ่ได้โดยไม่ต้องมายอต่อหน้าเพื่อประจบไว้ก่อนเลย เพราะผมรู้ว่าคนอย่างพี่ใหญ่นั้นไม่กระเทือนเพราะประจบเป็นแน่”

วิชัยยิ้มในหน้า บรรจงแขวนซอให้อยู่ในระดับตรง ในใจยังไม่วายสงสัย ชัดเลียริมฝีปาก แล้วพูดสืบไปด้วยน้ำเสียงคลายความมั่นคงลงกว่าเดิม

“พูดธุระกันเสียก่อนเถิด แล้วผมจะบอกว่าเมื่อตะกี้ผมว่าพี่ใหญ่เป็นคนน่ารักเพราะเหตุไร-ผม อยากขอยืมสัก ๒๐ บาท”

วิชัยนิ่งอยู่ในที่เดิม สีหน้าขรึม มองดูฝาห้องเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่านั้น ชัดรีบพูดต่อโดยเร็ว

“ผมจำได้ว่าสัญญากับพี่ใหญ่ไว้ว่า จะไม่ขอยืมเงินอีก จนกว่าจะได้ใช้เงิน ๕๐ บาท ที่ผมยืมไปเมื่อคราวสุดท้าย ผมก็ตั้งใจจะทำตามสัญญาจริง ๆ เผอิญเมื่อวานซืนนี้เอง ผมต้องเอาเงินที่มีอยู่ไปใช้ค่าสโมสรเขาเสีย เพราะเขาเตือนจะผลัดต่อไปก็เกรงใจเขา เวลานี้เลยจะหาอัฐซื้อข้าวกลางวันกินก็ไม่มี สตางค์แดงเดียวก็ไม่เหลือติดตัว แล้วอีกตั้ง ๕ วันกว่าเงินเดือนจะออก อย่างไรก็ตาม พอได้รับเงินเดือน ๆ นี้แล้ว ผมจะใช้พี่ใหญ่จนครบไม่ให้ขาดสักบาทเดียว”

อันสัญญาของชัดในเรื่องที่เกี่ยวแก่การยืมและการใช้นั้น มีน้ำหนักน้อยเพียงไรวิชัยย่อมรู้ดีอยู่ แต่ชายหนุ่มผู้นี้มีหลักอยู่ในใจว่า “ผู้ใดให้เร็วเท่ากับได้ให้ ๒ หน” เมื่อน้องบอกอยู่เดี๋ยวนี้ว่า ไม่มีเงินแม้แต่สำหรับจะซื้ออาหารบริโภค เป็นแน่ว่าตนจะปฏิเสธคำขอของน้องไม่ได้แล้ว ประโยชน์อะไรที่จะตัดพ้อให้ยาวความ อันจักเป็นเครื่องยังค่าแห่งการบริจาคให้ถอยลง ดังนั้นวิชัยจึงไม่โต้ตอบ รีบหยิบธนบัตรมีค่า ๒๐ บาทยื่นให้ผู้ขอเสียเสร็จไปทีเดียว”

คราวนี้เช่นเดียวกับคราวใด ๆ ที่แล้วมา ชัดใช้วิชาพิเศษซึ่งมีประจำตัว แสดงความขอบคุณอย่างอ่อนน้อมและจริงใจ บันดาลให้ผู้ให้ลืมเสียดายทรัพย์ ถ้าหากเขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างแม้น้อยและมาก ครั้นแล้วชัดก็มีสีหน้าเบิกบานดังเก่า ขึ้นนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือของพี่ชายแกว่งขาพลางผิวปาก และยกสมุดรูปขึ้นดู

วิชัยกำลังจุดบุหรี่สูบ เขาเกือบสะดุ้งเพราะเสียงชัดถามขึ้นอย่างดังและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นว่า

“นี่รูปใครครับพี่ใหญ่? สวยจังเลย !”

วิชัยเดินมายืนอยู่ข้างตัวน้อง สายตาแสดงความภาคภูมิใจจับอยู่บนรูปที่ชัดกำลังดู ย้อนถามว่า

“สวยมากหรือ? นี่พี่ถ่ายไม่ดีพอเสียอีกนะ ตัวจริงเขาสวยกว่านี้อีก”

“ใครครับ พี่ใหญ่?” ชัดถามซ้ำ จ้องดูรูปไม่วางตา

วิชัยยังไม่ตอบยิ้มพลางจุดบุหรี่อย่างแช่มช้าเหมือนจะรับคำและกิริยาแสดงความนิยมชมชื่นอย่างเอกอุของชัด ประทับไว้กับใจของตัว ครั้นจุดบุหรี่แล้วตาจับอยู่ที่รูป มือที่ถือไม้ขีดไฟเลื่อนลงตรงเอวด้วยความตั้งใจจะใส่วัตถุที่ถืออยู่ลงในกระเป๋าเสื้อนอก ครั้นมือสัมผัศกับขอบกางเกง นึกขึ้นได้ว่าตนสวมแต่เสื้อชั้นใน จึงโยนกลักไม้ขีดลงบนโต๊ะ พร้อมกับตอบคำถามของน้องว่า

“แม่จันทร น้องผัวของช้อยยังไงล่ะ แกก็เคยเห็นตัวเขาแล้ว จำไม่ได้ดอกหรือ?”

เอ๊ะ แล้วพี่ใหญ่ไปคุ้นเคยกับเขาได้อย่างไร ถึงถ่ายรูปให้กันได้ พวกเขากับพวกเราไม่เคยติดต่อกันเลยไม่ใช่หรือ?”

“วิชัยจึงเล่าเรื่องความเป็นไปของจันทรให้น้องฟังโดยย่อ พอจบลงชัดก็พูดว่า

“โอ นึกได้แล้ว ผมเคยเห็นเขาเมื่อคราวงานศพคุณสมานใช่ไหม จำได้ว่าเห็นผู้หญิงหน้าตาเข้าทีอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่ได้ดูให้ถี่ถ้วน เอ ผมชักอยากเห็นตัวอีกสักทีจริง”

“จะยากอะไร พี่ไปบ้านหลวงธุรกิจ ฯ เสมอ หมู่นี้ยิ่งไปบ่อยเพราะมีธุระต้องติดต่อกัน เรื่องจะคิดตั้งสโมสรนักเรียนเก่าโรงเรียนศุภวิทยาการ แกเป็นน้องของพี่ พาไปให้รู้จักเสียหนหนึ่ง ทีหลังจะไปเองสักกี่หนก็ได้”

“หลวงธุรกิจ ฯ กับพี่ใหญ่มีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ โดยอย่างใดอย่างหนึ่งหรือครับ?”

“ความสัมพันธ์ที่เป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน ในตอนแรกต่างไม่รู้กันหรอก เพราะเขาเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับหลวงศักดิ์ ฯ เมื่อพี่ออกจากโรงเรียนนายร้อยมาเข้าโรงเรียนศุภวิทยาการนั้น ทั้งหลวงธุรกิจ ฯ และหลวงศักดิ์ ฯ เขาออกแล้ว หลวงศักดิ์ ฯ ไปอยู่โรงเรียนนายร้อย หลวงธุรกิจไปอยู่ราชวิทยาลัย ทีนี้พอพี่ออกจากศุภวิทยาการ หลวงธุรกิจ ฯ กลับมาเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนนี้อีก สวนกันตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เรากำลังทำงานร่วมกัน คือ รวบรวมนักเรียนเก่าทั้งหมด แล้วจะตั้งสมาคม และช่วยกันบำรุงโรงเรียนให้ใหญ่โตขึ้น”

ในระหว่างที่กำลังนั่ง ชัดยกรูปขึ้นตั้ง พิศแล้วพิศอีกด้วยความเอาใจใส่ เมื่อวิชัยพูดจบ เขาพยักหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“จันทร แปลว่าดวงจันทร์นี่เองซีนะ แต่ผมเห็นว่าแม่จันทรนี่สวยกว่าพระจันทร์เป็นแน่ อย่างนี้ซีเรียกว่าสวยจริง พิศดูทั้งหน้าหาที่ติไม่ได้เลย” ทิ้งสมุดรูปลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย “ยังงี้นี้เล่า เสียงซอที่พี่ใหญ่สีเมื่อตะกี้นี้ถึงได้เพราะผิดกว่าที่คนอื่นเขาสีกันมากนัก”

“เอ๊ะ ทำไมหมายความว่ากระไร?”

“หมายความว่า มีรูปแม่เลดี้แสนสวยเป็นกำลังใจอยู่น่ะซี เสียงซอถึงได้เพราะนัก เอ ! พี่ใหญ่นี่ท่าไม่ได้การ จะกลับเป็นหนุ่มอีกกระมังนี่ !”

ผู้เป็นพี่หันตัวเบนข้างให้น้องทันที อาการยิ้มของคนที่ได้ฟังคำพูดอันแทงถูกใจดำซ่านไปทั่วหน้า ไม่มีความประสงค์ให้น้องสังเกตเห็น เขาจึงคว้าแผ่นกระดาษบทประพันธ์ที่วางอยู่บนโต๊ะถือไปยืนอ่านที่ตรงหน้าต่าง

ความจริงออกจะเป็นการสุดวิสัยที่วิชัยจะไม่ส่อพิธุธ ในเมื่อคำพูดของชัดได้มากระทบหูโดยปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น เพราะเหตุว่าตัวเขาเองได้เคยกล่าวถ้อยคำ อันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยเรื่องความในใจนี้ไว้มากกว่าครั้งหนึ่ง

เมื่อคราวฉัตรมงคล เดือนที่แล้วมา วิชัยได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระอรรถคดีวิชัยนั้น คราวใดที่เพื่อนสนิทแสดงความยินดี วิชัยมักจะกล่าวคำขอบใจพร้อมกับเสริมว่า

“ปีนี้กันได้ลาภ ๓ อย่าง นับเป็นปีที่ดีที่สุดในอายุของกัน”

บรรดาศักดิ์ใหม่วิชัยถือว่าเป็นลาภอย่างหนึ่ง หนูนิดผู้ซึ่งตนรับเป็นบุตรบุญธรรม วิชัยถือว่าเป็นลาภอีกอย่างหนึ่ง แต่อย่างที่ ๓ นั้นวิชัยไม่อธิบายว่าคือสิ่งใด แม้ว่าจะมีผู้ซักถาม ด้วยความอยากรู้อย่างยิ่งยวด วิชัยก็หัวเราะเสีย และตอบเพียงว่า “คอยไปก่อน วันหนึ่งทุกคนจะรู้เอง”

แต่ถ้าแม้ว่าคนใดคนหนึ่งในจำนวนผู้ถามเหล่านั้น ได้มาเห็นวิชัยค่ำวันนี้ดังที่ชัดเห็นแล้ว จะเป็นการยิ่งเสียกว่าแน่ ที่เขาผู้ถามคนนั้นจะไม่ต้องเป็นผู้ถามอีกเลย หากจะได้เป็นผู้ให้คำตอบแก่ผู้ถามคนอื่น ๆ ได้อย่างแจ่มแจ้งที่สุด !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ