จดหมายจากปักกิ่ง
๑
บ่ายวันหนึ่งปลายเดือนกันยายน ๒๕๑๘ ขณะที่ข้าพเจ้านอนพักอยู่ที่เฉลียงซึ่งอัปสรสร้างให้พ่อ ห้อมล้อมอยู่ด้วยต้นหยดเทียนและเชอร์รี ได้มีเสียงออดที่ประตูรั้วดังขึ้น ๒ ครั้ง เด็กนิดวิ่งไปเปิดประตูเหล็กใต้ต้นมะพร้าว แล้วรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดอยู่ที่บันไดหินทิศตะวันออก ข้าพเจ้ามองลอดกิ่งหยดเทียนออกไป ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งเปิดประตูก้าวลงมาจากรถสีครีม มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นใคร
ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้น เดินไปที่บันไดซึ่งมีอยู่เพียงขั้นเดียว ยืนคอยรับเขา
“ธรรมนูญ”
เพื่อนเก่าเงยหน้าขึ้นสบตาข้าพเจ้าแล้วหัวเราะ
“ไม่ออกไปไหนหรือ ระพินทร์” เขาถามแล้วเดินเข้ามา
“ก็คิดจะไป วันนี้มีประชุมเรื่องสหกรณ์” ข้าพเจ้าตอบ “ขึ้นมาซี ธรรมนูญ คิดถึงจัง หายไปเสียนาน”
“ผมงานยุ่งเป็นบ้า” เขาพูดแล้วเดินคุยต่อไป จนถึงกลุ่มเก้าอี้รับแขกบนเฉลียง “ผมไปปักกิ่งมา เพิ่งมาถึง”
“ไปปักกิ่ง” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างประหลาดใจ “ไปเมื่อไหร่?”
“เมื่อเดือนก่อน”
“ไปทำไม? ทัศนาจร?”
“ผมเป็นพ่อค้า”
“อ้อ ได้อะไรมาบ้าง?”
เขาโคลงศีรษะ
“มือเปล่ากลับมา ยังตกลงอะไรกันไม่ได้ ผมไปทาบทามเท่านั้น แต่ก็มีกำไรบ้างสำหรับคุณ”
“นั่งซี” ข้าพเจ้าผายมือไปทางเก้าอี้ไม้นวมสีขาวข้างต้นเชอร์รี “ผมตื่นเต้นที่คุณพูดถึงปักกิ่ง มันมีความหลังที่ผมยังไม่ลืม เดี๋ยวก่อน คุณว่ามีกำไรอะไรนะ? กำไรสำหรับผม–กำไรอะไร?”
ธรรมนูญควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ
“ผมได้จดหมายมาฉบับหนึ่ง เพื่อนเก่าของคุณฝากมา” เขาตอบ แล้วควักซองสีขาวซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ารับซองนั้นมาดู ลายมือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษหน้าซองทำให้ตกใจจนใจเต้น นานมาแล้วลายมือนี้ไม่เคยเดินทางมาให้เห็นเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นในเวลา ๔๐ ปี แต่ข้าพเจ้าก็จำได้–ไม่เคยลืม
ด้วยความตื่นเต้นซึ่งไม่สามารถจะคุมตัวเองไว้ได้ ข้าพเจ้าขยับมือจะฉีกหัวซองออก แต่แล้วก็ชะงัก ข้าพเจ้าต้องการเวลาที่สงบสำหรับอ่านจดหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เวลาที่มีใครมานั่งอยู่ตรงหน้า ข้าพเจ้าเกิดความกลัวธรรมนูญ ไม่ต้องการให้เขาเห็นสีหน้าและแววตาของข้าพเจ้าขณะที่อ่าน
เอาจดหมายพับใส่กระเป๋าเสื้อช้า ๆ ข้าพเจ้าก็สงบใจ กล่าวแก่เพื่อนเก่าว่า
“คุณไปพบได้อย่างไร–พบในปักกิ่งหรือ?”
ธรรมนูญหัวเราะ
“ทำไมคุณไม่อ่าน?” เขาถาม ไม่สนใจกับคำถามของข้าพเจ้า
“ผมจะเก็บไว้ก่อน” ข้าพเจ้าตอบอย่างขอไปที “คุณพบเขาที่ไหน?”
“ใคร?”
“คนที่ฝากจดหมายคุณมาน่ะซี”
ธรรมนูญหัวเราะอีก
“ผมพบเฉินจง”
“เฉินจง” ข้าพเจ้าทวนคำแล้วนิ่งคิด หน้าคนคนหนึ่งลอยขึ้นมาในห้วงคิด
“เขาว่าเขาอยู่เป่ต้ากับคุณ”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“ผมจำได้–เราเป็นรูมเมต”
“ใช่ เขาอยู่กับคุณ อยู่ดอร์มิทอรีใหม่ หลังตึกเป่ต้าเก่า”
ข้าพเจ้าพยักหน้าอีก
“เราจากกันที่ตึกนี้ ปลายปี ๒๔๗๕... อ้อ เห็นจะเป็นต้นปี ๒๔๗๙ เรารับปริญญากันแล้วก็แยกกันกลับบ้าน คุณพบเฉินจงได้ยังไง?”
“ผมไปเที่ยวว่านโซ่วซาน–คุณคงยังจำพระราชวังฤดูร้อนได้–คุ้นหมิงหู ชานเมืองปักกิ่ง”
“ผมจำได้ทุกแห่ง แต่แล้วทำไม....” ข้าพเจ้าหยุด ไม่รู้จะพูดต่อไปว่าอย่างไร
“อะไร?”
“เมื่อกี้ผมถามถึงคนฝากจดหมายนี้...”
“ก็เฉินจงยังไงเล่า? เขาถือจดหมายนี้มา”
“เฉินจงไม่ได้เขียนจดหมายนี้”
“ใช่ เขาเป็นคนเอาจดหมายนี้มาฝากผม ให้เอามาให้คุณ”
“ถูกแล้ว แต่เขาไม่ได้เขียน”
“ใช่ เขาไม่ได้เขียน เขาบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งฝากมาให้คุณ”
ข้าพเจ้านิ่งฟังอย่างใจเต้น
“ประเดี๋ยวก่อน ธรรมนูญ เรื่องมันยังไงกัน ผู้หญิงคนนั้นรู้ได้อย่างไรว่าคุณรู้จักผม?”
“ต้องเล่าอีกหน่อย” ธรรมนูญหงายหลังพิงเบาะหนังสีครีม นิ่งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง จึงพูดต่อไป “ผมพบผู้หญิงเจ้าของจดหมายคนนี้โดยบังเอิญที่เทียนอันเหมิน มันบังเอิญจริง ๆ แกมากับแม่ชีกลุ่มหนึ่ง กินข้าวอยู่ในโรงอาหารเหรินหมินฟานเตี้ยน”
“แล้วยังไง?”
“หัวหน้ากลุ่มของเรา–คุณเจิ้งหมิง–บังเอิญรู้จักแก แล้วคุณเจิ้งหมิงก็บอกว่าผมมาจากเมืองไทย คุณเจิ้งหมิงแนะนำให้แกรู้จักกับผม แกชื่อวารยา เราคุยกันครู่ใหญ่ แกสนใจกับเมืองไทยมาก ตอนหนึ่งแกถามถึงคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งแกคิดว่าตายเสียแล้ว”
“ใคร?”
“คุณ”
“อ้อ” ข้าพเจ้าแอบถอนใจเบา ๆ “แล้วยังไง?”
“ผมก็บอกแกว่าผมรู้จักคุณดี คุณยังมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ พอพูดเท่านั้นผมก็เห็นแกทำท่าคล้ายกับสะดุ้ง ตาแกแย้มกว้าง จ้องหน้าผมด้วยความตื่นเต้น แล้วก็ถาม... ผมแปลกใจมาก.... เสียงของแกสั่น... ไม่รู้ว่าเพราะอะไร”
ข้าพเจ้าหลบตาลงต่ำ หวาดกลัวธรรมนูญ กลัวว่าเขาจะเห็นแววตาที่คงจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว–แววตาที่น่าจะประกาศความรู้สึกออกไปว่า อะไรซ่อนอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านิ่งสงบใจฟังต่อไป ไม่กล้าปริปาก แต่ใจเต้นอยากให้เขาพูดต่อไปอีกเร็ว ๆ
“คุณคงสนใจมากกับผู้หญิงคนนี้?” ธรรมนูญถาม
“ผมสนใจ”
“แกถามผมว่าผมพบคุณบ่อยไหม?”
“แล้วคุณว่าอย่างไร?”
“ผมก็บอกว่าก็เคยพบกัน ผมเป็นเพื่อนเก่าของคุณ แกทำท่าดีใจมาก บอกผมว่าแกเคยรู้จักคุณมานานแล้วที่ปักกิ่งนี่แหละ”
“เราเคยรู้จักกัน” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ พยายามกลืนความตื่นใจไว้เงียบ ๆ “แล้วแกพูดอย่างไรอีก?”
“แกถามว่าคุณสบายดีหรือ? ผมก็บอกว่าคุณป่วยอยู่ตลอดเวลา”
“อ้อ...” ข้าพเจ้าครางเบา ๆ “แกว่าอย่างไร?”
“แกถามอะไรมากมาย ท่าทางเป็นห่วงกังวลมาก ผมคิดว่าแกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีพอรู้ว่าคุณป่วย แกซักผมอยู่ครู่ใหญ่ ซักอย่างห่วงใยจริง ๆ ถามผมว่าคุณป่วยเป็นโรคอะไร อาการเป็น อย่างไร รักษาอย่างไร ถามเสียยืดยาว ผมบอกแกว่าคุณเป็นเบาหวาน นอนโรงพยาบาลมาหลายปี แล้ว เป็นโรคปอด โรคไต โรคหัวใจ ตามืด แล้วโรคตับกำลังตามมาอีก โรคแทรกของเบาหวานกำลังรุมเอาชีวิตคุณ แกหน้าซีดเปลี่ยนสีไปจนเห็นได้ชัด ผมชักสงสาร เลยปลอบใจแกว่าคุณดีขึ้นบ้างแล้ว งั้นไม่ใช่หรือ–คุณเดินได้แข็งแรงแล้วไม่ใช่หรือ? ผมว่าหน้าตาคุณมีเลือดฝาดดีกว่าตอนที่ผมพบคุณที่โรงพยาบาลประสานมิตรเยอะแยะ ระพินทร์ คุณสบายดีขึ้นมากทีเดียว ผมว่า”
ข้าพเจ้ายิ้ม นิ่งงันนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี ผู้หญิงคนนี้... ข้าพเจ้าเข้าใจทุกอย่าง รู้ใจเธอทุกอย่าง รู้ดีว่าเธอต้องทุกข์ร้อน เธอต้องห่วงข้าพเจ้ามาก เธอคงไม่มีความสุขเมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนป่วยไปแล้ว
ธรรมนูญมองข้าพเจ้าคล้ายกับจะหาความจริงอะไรสักอย่างหนึ่ง เรานิ่งไปชั่วครู่ แล้วเขาก็พูดว่า
“ผมรู้สึกว่าวารยาเป็นคนสุภาพมาก ท่าทางเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว”
ข้าพเจ้าพยักหน้า ยังคงนิ่งอยู่ ใจลอยไปอยู่ที่ปักกิ่ง ภาพเก่า ๆ เมื่อ ๔๐ ปีก่อนได้ผุดขึ้นมาให้เห็นในความจำ ข้าพเจ้านึกถึงคาราซาร์ที่ฮาตะเหมิน ซึ่งข้าพเจ้าพบวารยาและเต้นรำกับเธอแล้วก็เห็นภาพหลุงหวางต่าว เกาะน้อยในทะเลสาบน้ำใสคุ้นหมิงหู เห็นห้องในบ้านโบราณบนเกาะนี้ที่วารยาจะยิงตัวตาย เห็นทะเลสาบน้ำจืดเป๋ห่าย ซึ่งวลาดิมีร์ฆ่าตัวตายอยู่ใต้น้ำแข็ง ปลายฤดูตงเทียนที่ดอกท้อกำลังจะบาน มันเป็นภาพที่ทรมานใจ ชีวิตผ่านไปแล้ว ๔๐ ปี รวดเร็วเหลือเกิน วารยา ราเนฟสกายาหายไปในแมนจูเรียตลอด ๔๐ ปี แต่เดี๋ยวนี้ เธอกลับมาที่ปักกิ่งอีก เธอยังไม่ตาย
ข้าพเจ้าถอนใจยาว ไม่ทันจะพูดอะไร ธรรมนูญก็พูดขึ้นว่า
“เฉินจงบอกผมว่าวารยาอาจจะมาเมืองไทย”
ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นจากการหลับอยู่ในความหลัง ยืดตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“วารยาจะมาเมืองไทย?” เสียงข้าพเจ้าเปล่งขึ้นค่อนข้างดัง
“คุณคงไม่เชื่อ” ธรรมนูญหัวเราะ “เฉินจงเป็นเพื่อนเก่าของวารยา และเฉินจงบังเอิญรู้จักผมวันแรกที่ผมถึงปักกิ่ง เราพบกันที่เฉียนเหมิน เจิ้งหมิงหัวหน้ากลุ่มแนะนำให้รู้จัก เฉินจงไปบอกวารยาว่ามีคนไทยไปปักกิ่ง แล้ววารยาก็พบผมที่ภัตตาคารเหรินหมินฟ่านเตี้ยน”
“วารยารู้ได้ยังไงว่าคุณจะไปที่ว่านโซ่วซาน ภูเขาหมื่นปี จึงฝากจดหมายเฉินจงไปให้คุณ?” ข้าพเจ้าถามอย่างไม่เข้าใจ
“วารยารู้ว่าเฉินจงเป็นเพื่อนเก่าของคุณ คงจะบอกเฉินจง เฉินจงจึงอยากพบผมเพื่อถามถึงคุณ บังเอิญเฉินจงรู้จากองค์การต้วยว่ายเหยาห่าวเสียห้วย ว่าในโปรแกรมเขาจะพาผมไปดูภูเขาหมื่นปีของพระนางสือสีฮองไทเฮา จึงไปรอผมที่นั่น วารยาก็คงฉวยโอกาสฝากจดหมายไปกับเฉินจง”
ข้าพเจ้าพึมพำอยู่ในคอ แล้วถามว่า
“เฉินจงเขาทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้?”
“เขาแก่แล้ว รุ่นเดียวกับคุณ ไม่ได้ทำอะไร อยู่อย่างคนแก่ คนแก่ที่ปักกิ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีราคา คนแก่ที่มีราคากลายเป็นชนชั้นสูง เป็นพวกตายยากเพราะมีหมอชั้นดีรักษา” ธรรมนูญหัวเราะอีก เขาร่าเริงตลอดเวลา “เขาว่าจะเขียนจดหมายมาเยี่ยมคุณแต่ก็ไม่ได้ฝากมา เขาเล่าเรื่องคุณยืดยาว พูดถึงเจียงเฟกับเจียงเหมยด้วย สองคนนี้คุณรู้จักดี”
“เออ เฉินจงเล่าเรื่องเจียงเหมยว่าอย่างไร?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ
“เฉินจงว่าเจียงเหมยแต่งงานไปนานแล้ว เวลานี้มีลูกหลายคน” ธรรมนูญตอบ “เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในปักกิ่ง แถวตงซื่อผายโล่ว”
“ผมเคยอยู่แถวตงซื่อผายโล่ว” ข้าพเจ้ามองเห็นภาพโรงเรียนหวาเหวินของดอกเตอร์เพทตัส “ผมไปเริ่มภาษาที่นั่น มีครูจีนเก่ง ๆ สอนอยู่หลายสิบคน พบกับบัวที่โรงเรียนนี้”
“เดี๋ยวนี้ดอกเตอร์เพทตัสไม่ได้อยู่แล้ว”
“จะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นแกก็หกสิบ ถ้าอยู่ก็คงจะถึงร้อย ดอกเตอร์เพทตัสเป็นหมอสอนศาสนา ทำประโยชน์ให้แก่เมืองจีนมาก ที่มหาวิทยาลัยเยียนจิงก็มีดอกเตอร์สจ๊วร์ดอีกคนหนึ่ง แกผลิตนักเรียนเป็นหมื่น เนียนภรรยาผมก็จบจากเยียนจิง”
“คุณเนียนสบายดีหรือ?”
ข้าพเจ้าโคลงศีรษะ
“ป่วยตลอด เดินไม่ค่อยได้ หัวเข่าไม่ดี ต้องขอโทษ เขาลงบันไดมาพบคุณไม่ได้”
ธรรมนูญพยักหน้า
“ผมรู้จักไช่จวนฟาง เพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัยเยียนจิงของคุณเนียน”
“เขาสบายดีหรือ?”
“ก็เห็นสบายดี แก่มากแล้ว”
ข้าพเจ้ายังสนใจถึงเรื่องวารยาจะมาเมืองไทย จึงกลับไปหาเรื่องที่พูดค้างไว้
“คุณว่าวารยาจะมาเมืองไทยเมื่อไหร่?”
ธรรมนูญสั่นศีรษะ
“ผมไม่รู้อะไรมากกว่าที่เฉินจงบอก เฉินจงเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก”
“คุณพบวารยากี่ครั้ง?”
“ครั้งเดียว”
“วารยาไม่พูดเรื่องจะมาเมืองไทยเลยหรือ?”
“ไม่เห็นพูด”
ข้าพเจ้านิ่งอั้นไปขณะหนึ่ง วารยามาเมืองไทย? จะเป็นไปได้หรือ? แต่วารยาคงจะเขียนไว้ในจดหมายที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ฉีกซองออกอ่าน ข้าพเจ้านั่งนึกถึงวารยาจนธรรมนูญพูดขึ้นอีก
“ผมอยากให้คุณไปปักกิ่งบ้าง คนไทยยกขบวนไปกันหลายขบวนแล้ว”
“ก็คิดจะไป” ข้าพเจ้าตอบอย่างไม่ตื่นเต้น “ผมต้องการจะไปดูงานสหกรณ์และคอมมูน ปักกิ่งคงจะเปลี่ยนไปมาก”
“มากพอดู แต่ผมไม่เคยเห็นปักกิ่งเมื่อ ๔๐ ปีก่อน ก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบได้อย่างไร แต่ว่าหูทุ่งยังอยู่ บ้านกำแพงดินเหนียวปนฟางยังอยู่ ฝุ่นน้อยลงมาก เพราะรัฐบาลใหม่ได้สร้างป่าไม้เป็นฉากบังไว้ คนปักกิ่งคงจะเปลี่ยนไปเพราะผิดปรกติหลายอย่าง ไม่ค่อยจะเป็นคนธรรมดา ๆ ที่ผมพบในฮ่องกง”
“ยังไง” ข้าพเจ้ามองตาเขาอย่างสนใจ
“คนปักกิ่งเงียบขรึมไม่ค่อยพูด หน้าเศร้า ๆ ซีด ๆ ตาโรย ไม่แจ่มใส ทุกคนระมัดระวังตัวมาก ถามอะไรไม่ค่อยตอบ ดูจะเป็นเรื่องลึกลับไปหมด มีอะไรที่ทำให้ผมคิดว่าคนปักกิ่งอยู่กับความกลัว”
“หลายคนเล่าให้ผมฟังเหมือนคุณ” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ “ปักกิ่งดีขึ้นทางวัตถุ แต่ทางใจก็คงจะไม่ดีนัก แต่ผมก็ว่าชีวิตจะต้องดีกว่าสมัยผมอยู่ ตอนนั้นหน้าหนาว คนอดตายหนาวตายข้างถนน พวกฝรั่งมิชชันนารีต้องตั้งกระโจมแจกข้าวต้มแจกเสื้อผ้า เดี๋ยวนี้ไม่หนาวตายอดตายแล้ว แต่เสรีภาพไม่มี”
ธรรมนูญพยักหน้า
“ผมพยายามพูดกับคนหลายคน เขาไม่ค่อยตอบคำถาม ทุกคนกลัวคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แนวห้าคงจะมีทุกถนน คอยฟังว่าใครจะด่ารัฐบาลบ้าง”
ข้าพเจ้าโคลงศีรษะช้า ๆ นึกไปถึงพระเจ้าฉินสื่อหวงหรือที่เรียกกันว่าจิ๋นซีฮ่องเต้เมื่อสองพันปีก่อน กษัตริย์องค์นี้เข้มแข็ง สามารถรวมประเทศจีนเข้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้เป็นครั้งแรกด้วยวิธีเผด็จการอย่างรุนแรง มีการเผาหนังสือ เหลือไว้เพียงตำราการเกษตรและตำราการแพทย์ ซึ่งอาจจะมีตำราฝังเข็มรวมอยู่ด้วยก็ได้ นอกนั้นถูกทำลายหมดโดยเฉพาะคัมภีร์ของขงจื๊อ พระเจ้าฉินสื่อหวงต้องการจีนใหม่ จีนเลียดก๊กทุกคน ต้องล้างสมองหมดด้วยการเผาหนังสือ ท่านเมาเซตุงก็ทำลายขงจื๊อ เผาหนังสือ ทลายศาลเจ้า ทลายป้ายบูชา โดยไม่ยอมให้มีวิญญาณหรือผีของขงจื๊อเหลืออยู่ในแผ่นดินใหม่อีกต่อไป ท่านขงจื๊อถูกเผาถูกทำลายถึงสองครั้งระหว่างสองพันปี ท่านมีอิทธิพลทางใจแก่ประชาชนคนจีนทั้งประเทศอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ธรรมะของขงจื๊อมุ่งศีลของบุคคล มุ่งกตัญญู มุ่งหน้าที่ระหว่างชนชั้น ส่งเสริมสังคมที่มีชนชั้น มีเสรีภาพ มีสิทธิของมนุษยชนและสิทธิโดยธรรมชาติ จุดมุ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับระบอบการหลอมคนทั้งแผ่นดินเข้าเป็นคนคนเดียวกัน เพื่อให้เป็นพลังของชาติที่มีหน้าที่ต่อสังคมอย่างเดียว เพื่อสร้างสังคมใหม่ด้วยวินัยและด้วยการเสียสละ ไม่ยึดบุคคลเป็นใหญ่ แต่ยึดสังคมเป็นใหญ่ ไม่คิดอย่างเสรีจากธรรมชาติทางใจ แต่คิดตามผู้นำ ไม่ถือคัมภีร์ของบุคคล แต่ถือคัมภีร์ของสังคม พระเจ้าฉินสื่อหวงเป็นคนจีนคนแรกที่เผด็จชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างจีนใหม่ให้เป็นประเทศเดียวใต้กษัตริย์องค์เดียว พ้นจากการแตกแยกของสังคมชุนชิวจ้านกวอแห่งระบอบมูลนาย จุดยืนของพระเจ้าฉินสื่อหวงก็คือจุดยืนของท่านเมาเซตุง มุ่งลอกคราบสังคมเก่าด้วยกำลังบังคับ เป็น totalitarian สองคนที่เกิดห่างกันสองพันปี คนจีนได้ถูกหลอมให้เป็นพลังของสังคม totalitarian มาแล้วในยุคฉินสื่อหวง จนเกิดกำแพงเมืองจีนในปัจจุบันนี้ คนจีนก็ถูกหลอมให้เป็นพลังของสังคม totalitarian อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดคอมมูน
แล้วข้าพเจ้าก็พูดกับธรรมนูญว่า
“แต่ท่านเมาเซตุงมีเหตุผลจะต้องเผด็จการ ท่านมีเจตนาดีต่อประชาชน ท่านไม่ได้เผด็จการเพื่อตัวของท่าน ท่านทำเพื่อประชาชน ๘๐๐ ล้าน ต่างกับพระเจ้าฉินสื่อหวงฮ่องเต้องค์นั้นเผด็จการเพื่อสร้างราชบัลลังก์ เพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเอง เอาประชาชนเป็นทาสอย่างแท้จริง ประชาชนถูกเกณฑ์แรงไปสร้างกำแพงเมืองจีน ลำบากตรากตรำ ตายกันเป็นล้าน ๆ ท่านก็ทำเพื่อชนชาติจีน คือป้องกันไม่ให้ถูกชนเผ่าเหนือรุกราน แต่ใช้วิธีบังคับทารุณมาก ส่วนท่านเมาเซตุงก็บังคับประชาชนให้ทำงาน แต่ก็ให้การเลี้ยงดูดี จึงไม่ตายเหมือนสมัยฉินสื่อหวง เป้าหมายของท่านเมาเซตุงก็คือการปลดแอกให้ประชาชน คือแอกเงินในระบอบทุนนิยม และแอกขุนศึกศักดินาที่ครอบครองแผ่นดินจีนตลอดมา แม้ในสมัยท่านซุนยัดเซ็นและสมัยท่านเจียงไคเช็ค ผมว่าท่านเมาเซตุงทำถูกแล้วที่เผด็จการ การปกครองคนจำนวน ๘๐๐ ล้านที่ยังหิวโหยและจมอยู่กับความคิดเก่า ๆ ที่เบียดเบียนกินแรงกันอย่างร้ายแรง จำเป็นจะต้องเผด็จการเพื่อสร้างวินัยขึ้น วินัยนี้ท่านเจียงไคเช็คก็พยายามสร้าง เมื่อผมอยู่ปักกิ่ง ท่านเจียงได้สร้าง New Life Movement ขึ้น แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะท่านทำอย่างขอร้อง ไม่ได้ทำอย่างบังคับ คนเราก็แปลกนะคุณ พูดกันดี ๆ ไม่เอา ต้องบังคับถึงจะเอา ชอบให้คนเขามาควบคุม ชีวิตถึงจะมีวินัยได้ พูดสั้น ๆ ชอบให้เขากดหัวนั่นเอง เมืองไทยก็กำลังแย่เพราะเรื่องนี้ คนไทยถูกระบบขุนศึกกดหัวมา ๔๐ ปี ก็ไม่เห็นเอะอะโวยวายอะไรกันเลย ทนอยู่กันได้อย่างสันติ แต่พอทหารเลิกกดหัว ก็วุ่นวายกันไปทั้งเมืองจนกำลังจะกลายเป็นการฆ่าตัวตายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ไอ้วุ่นวายน่ะผมไม่ว่า มันหิวมันก็ต้องวุ่น แต่ไอ้วุ่นวายแบบยุชาติไทยให้แตกแยกนี่ซิ มันควรจะคิดกันให้รอบคอบ อย่าคิดอย่างผู้ที่อยากจะเด่นอยากจะดัง อยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างเดียว เวลานี้ก็มีการปลุกระดมมวลชนกันทั้งฝ่ายขวาฝ่ายซ้าย ปลุกเพื่อประชาชนจะได้เป็นใหญ่อย่างสุจริตก็มี ปลุกเพื่อตัวเองจะได้เป็นใหญ่เสียเองก็มี มนุษย์เรายังต่ำอยู่ในกิเลส จะทำอะไรก็หวังประโยชน์ของตัวเองเป็นส่วนมาก มันถึงได้วุ่น นักปลุกระดมบางคนที่ผมรู้จักกำลังปลุกชาติไทยให้มั่นคงไม่แตกแยก ด้วยการอ้างพระมหากษัตริย์ สร้างแกนประชาชน เรียกร้องให้ประชาชนยึดชาติศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นอุดมการณ์ เขาก็ว่าของเขาดี ปลุกที่ไหนคนก็ตื่นเต้น พากันมาสมัครเป็นสมาชิกเป็นหมื่นเป็นแสน บางคนก็ว่าเป็นล้าน บางคนก็ว่าถึงสิบล้าน ก็เป็นตัวเลขที่งดงามน่าจะเป็นพลังประชามติช่วยชาติบ้านเมืองได้ สมาชิกแทบทุกคนพากันเข้ามาสนับสนุนอย่างคนซื่อ ยอมให้เขาลากไปเพราะคำที่เขาปลุกใจมันซาบซึ้งถึงขนาด ก็เป็นธรรมดาที่ผู้รักชาติห่วงชาติจะต้องเห็นด้วย แต่ตอนหลัง ๆ นี้ พอได้สมาชิกมากพอจนกลายเป็นอำนาจต่อรอง หรือที่เรียกว่า bargaining power ได้ดีแล้ว เขาก็ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ รื้อนั่งร้านลง เที่ยวเล็ดลอดติดต่อนักการเมืองที่ครองบ้านครองเมือง ทำการประชาสัมพันธ์กับพวกขุนศึกศักดินา เอาอำนาจต่อรอง คือมวลสมาชิกจำนวนแสนจำนวนล้านนี้ ไปเจรจาหาอำนาจใส่ตัวเพื่อจะเล่นการเมือง ทั้ง ๆ ที่ได้มีการปฏิญาณตัวว่าจะไม่เล่นการเมือง ขุนศึกศักดินาต้องการเสริมกำลังให้ตัวเองมีอำนาจมากขึ้น ด้วยคะแนนเสียงของประชาชนจำนวนแสนจำนวนล้านที่เขาแอบเอาไปต่อรองหรือเอาไปขาย ก็เลยรับเขาไว้เป็นคนสนิท พบปะกันเป็นประจำ โดยสมาชิกแสนล้านไม่เคยรู้เรื่องด้วย การแอบหาอำนาจใส่ตัวเพื่อจะเป็นใหญ่ โดยสมาชิกจำนวนแสนล้านที่ได้ระดมไว้เกือบไม่มีใครรู้เรื่องด้วยเลยนี้ เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจมาก เพราะเป็นการขโมยทำลับหลังไม่บอกให้สมาชิกรู้ มันเป็นการสร้างอำนาจการเมืองจากบ่าไหล่ของสมาชิกคนซื่อทั้งในกรุงเทพฯ และบ้านนอก ที่ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ที่เขาจะได้ สมาชิกจำนวนที่เขาอ้างกันว่ามีถึงล้าน ๆ คนนี้ ถูกขายออกไปเหมือนสินค้าเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและการเงินที่เขาต้องการ เป็นการหักหลังกันต่อหน้าองค์พระพุทธรูปและองค์พระมหากษัตริย์จำลองหลายองค์ ที่เขาได้ร่วมสาบานไว้ว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน ถ้าแม้ใครทรยศต่อกันหรือต่ออุดมการณ์ที่ได้ประกาศไว้ร่วมกัน ก็ขอให้ฉิบหายวายวอดใน ๓ วัน ๗ วัน การทรยศต่ออุดมการณ์ส่วนรวมเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยหันไปยึดเอาประโยชน์แห่งความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเป็นอุดมการณ์ส่วนตัว เป็นการกระทำที่น่าเสียดายมาก เขาควรจะเป็นผู้นำที่มีประโยชน์คนหนึ่งในยามที่ชาติคับขัน ถ้าเขาไม่ด่วนโลภอำนาจเสียก่อน เขากินมะม่วงดิบ เขาไม่กินมะม่วงสุก จึงน่าเสียดาย”
“คุณพูดถึงใคร?” ธรรมนูญถามอย่างงง ๆ
“พูดถึงผู้นำเมืองไทยที่มีอยู่มากมาย เขานำเพื่อตัวเองจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ข้าพเจ้าตอบพลางหัวเราะ
“ท่านเมาเซตุงก็คงจะทำแบบคุณว่า?” ธรรมนูญถาม
“ท่านเมาเซตุงนำประชาชน เพื่อประชาชน ไม่ใช่นำประชาชนเพื่อตัวเองจะเป็นใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของท่านเมาเซตุงเกิดเพราะผลงานและประชาชนยอมรับ ไม่ได้เกิดเพราะการพูดเพื่อหาเสียงให้แก่ตัวเอง”
ธรรมนูญหงายศีรษะพิงนวมหนังพลาสติกสีเทา มองดูกิ่งราตรีที่ยื่นเข้ามาอยู่เหนือศีรษะ คิดอะไรอยู่สักครู่ก็ถามว่า
“ผมไปเที่ยวปักกิ่ง ผมเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งเรื่องผู้นำ เขานำประชาชนเพื่อประชาชนก็จริง แต่เขาก็แย่งกันเป็นใหญ่ หรือคุณว่ายังไง?”
ข้าพเจ้าพยักหน้าแล้วยิ้ม คิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงได้ตอบ
“ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์ไม่ใช่ประชาธิปไตยในโลกเสรี ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์ทำงานเพื่อสังคมใหม่ที่เงินขูดรีดแรงงานไม่ได้ แต่ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์ขาดระเบียบวินัยของการเป็นผู้นำ ผู้นำในระบอบเผด็จการอยู่ด้วยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนจึงต้องแย่งกันเป็นใหญ่ หมายความว่าประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่ และไม่มีอิสรภาพจะเลือกผู้นำระดับชาติอย่างที่เลือกกันใน โลกเสรี เมื่อผู้นำตายลงก็เกิดความวุ่นวาย ต้องมีการแย่งอำนาจกัน ในปักกิ่งขณะนี้ ถ้าท่านเมาเซตุงตายก็จะยุ่ง เพราะวินัยการเลือกผู้นำไม่มี การแย่งอำนาจกันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด เวลานี้ก็แยกกันเป็นก๊ก ๆ แทบจะเป็นเลียดก๊ก ผู้แสวงอำนาจระดับชาติมีอยู่หลายก๊ก เป็นต้นว่าก๊กนางเจียงชิง ท่านผู้หญิงของท่านเมา ก๊กหลินเปียวกับหลิวซ่าวฉี ก๊กโจวเอินไหล ก๊กทหารซึ่งยังแบ่งออกเป็นหลายพวก ก๊กเหล่านี้กำลังเตรียมการแย่งอำนาจกัน กำลังรอวันตายของท่านเมาเซตุง วันใดที่เมาเซตุงตายลง ปักกิ่งก็จะวุ่นวายอย่างที่สุด เจียงไคเช็ครอให้เมาเซตุงตายเพื่อโอกาสอันนี้ แต่ตัวเองเกิดตายเสียก่อน จึงชวดไป ผมว่าการเป็นผู้นำประชาชนไม่ควรเอาตัวเองไปนำประชาชน แต่ควรเอาประชาชนมานำชาติ ตัวเองควรเป็นผู้ชี้แนวทางที่ถูกที่ควรให้ประชาชนวินิจฉัยจะดีกว่า ประชาชนควรมีเสรีภาพจะเลือกผู้นำของเขาเอง ไม่ควรเอาน้ำลายไปมอมเมาเขาเพื่อหาอำนาจมาใส่ตัว อย่างที่ผู้นำหลายคนในเมืองไทยกำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเรายังขืนเอาน้ำลายไปมอมเมาประชาชน เราก็จะหนีเผด็จการไม่ได้ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินไม่ได้”
“เออ คุณก็เคยอยู่เมืองจีนมาหลายปี คุณคิดว่าคนจีนจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินไหม?” ธรรมนูญถามขึ้นทันที
“ประชาชนคนจีนอาจจะต้องได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อประชาชนมีอำนาจนำตัวเอง” ข้าพเจ้าตอบอย่างไม่ตรึกตรอง “ประชาชนคนจีนเคยนำตัวเองบ้างในระบบของ clan คือระบบที่ชาติสำคัญน้อยกว่าตระกูล แต่เมื่อ ดร. ซุนปฏิวัติแล้ว การระดมประชามติให้เกิดลัทธิชาตินิยม ได้ทำให้ประชาชนกลายเป็นเครื่องมือของพวกนักการเมืองนักการทหาร ตลอดเวลาที่ระบบขุนศึก (warlord) ได้ครองแผ่นดินหลังการปฏิวัติ ๑๙๑๑ จนถึงปัจจุบัน ประชาชนกลายเป็นผู้ตาม ไม่ได้นำตนเอง ชาวจีนได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากมายตลอดระบบขุนศึก ท่านเจียงไคเช็คทำลายระบบขุนศึกได้ใน ค.ศ. ๑๙๒๖ แต่ประชาชนก็ยังนำตัวเองไม่ได้ ยังเป็นใหญ่ในแผ่นดินไม่ได้ ประชาชนยังเป็นผู้ตามอยู่ตามเดิม ในสมัยปัจจุบัน ท่านเมาเซตุงเข้ามาเผด็จการเพราะผลงานที่คนจนได้ประโยชน์และประชาชนยอมรับ เมื่อจีนต้องตกอยู่ในระบบเผด็จการ ประชาชนก็ย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดินไม่ได้ ผมจึงบอกได้ทันทีว่าความหวังที่ประชาชนคนจีนจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างแท้จริงนั้นยังอยู่อีกไกลมาก ท่านเลนินได้กล่าวไว้ว่า วันของประชาชนจำต้องมาถึงแน่นอน เมื่อประชาชนจะพูดถึงเสรีภาพได้ ในวันนั้น รัฐบาลจะไม่ต้องมี รัฐบาลจะหมดสภาพไปโดยปริยาย ท่านเลนินได้มองเห็นภาพของสังคมใหม่อย่างนี้ ท่านเห็นของท่าน ท่านเชื่อว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เมื่อสุกงอมแล้ว รัฐจะสลายตัว ประชาชนจะเป็นใหญ่ ประชาชนจะนำตัวเอง การบังคับกดขี่จะไม่มี อ่านของท่านแล้วก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย แต่ว่าเมื่อไหร่เล่า? เมื่อไหร่ประชาชนจะเป็นใหญ่ได้จริง ๆ ผมว่าประชาชนจะสุกเสียก่อน โลกจะถูกเผาเสียก่อนด้วยอาวุธวิทยาศาสตร์ พวกแดงเขาเห็นกันว่าสีแดงจะสร้างสันติภาพถาวร ผมเห็นตรงกันข้าม ผมเห็นว่าสีแดงจะสร้างสังคมเลือด เพราะสีแดงจะทำให้เกิดการต่อต้านกับผู้ที่จะเสียประโยชน์ และการต่อต้านก็คือความพินาศของโลกในนาทีสุดท้าย ทุกวันนี้สีแดงกับสีน้ำเงินกำลังทำลายชาติมนุษย์ เรากำลังฆ่าตัวตาย”
“แล้วคุณจะแก้อย่างไร?” ธรรมนูญถามอย่างสนใจ ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ โคลงศีรษะแล้วตอบว่า
“ทางแก้มันมี แต่มันสายเกินไปเสียแล้ว”
“ผมไม่คิดว่าอะไรจะสายถ้าเราทำ”
“คิดได้อย่างคุณก็ดี แต่เดี๋ยวนี้คนเขาไม่ค่อยจะคิดกันอย่างนี้ เขามุ่งแต่จะใช้กำลัง ไม่ใช้ปัญญา”
“แต่เขาก็มีปัญญาไม่ใช่หรือ?”
“อ๋อ ก็มีปัญญากันทุกคน แต่ไม่ค่อยจะใช้ มันถึงได้ยุ่ง เหตุที่ไม่ใช้ปัญญามันก็มี คนมีปัญญามักเป็นคนมีเงิน เป็นคนมีการศึกษา มีชีวิตสบายไม่ค่อยห่วงคนจน อยู่กันไปตามสบายวันหนึ่ง ๆ ส่วนคนไม่มีปัญญาก็มักเป็นคนยากจน พูดอย่างนี้อย่าเพิ่งเหมาว่าผมเห็นคนจนเป็นคนโง่ คนจนที่ฉลาดมีอยู่เต็มโลก แต่ความฉลาดกับปัญญาในทัศนะของผมมันไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน คนฉลาดที่ใช้ความฉลาดไม่เป็นก็เท่ากับไม่มีปัญญา ปัญหาสังคมเป็นปัญหาที่ต้องคิด ต้องหาทางออกให้เสียน้อยที่สุด ต้องใช้ปัญญานั่นเอง ถ้าเอาแต่ฉลาด ไม่เอาปัญญามาช่วยด้วย ก็มองไม่เห็นทางออก เลยหันไปใช้กำลังในทันทีทันใด มันก็ต้องวุ่นวาย ผมไม่เชื่อว่าความวุ่นวายจะแก้ปัญหาอะไรได้อย่างยั่งยืนถาวร การใช้กำลังกดขี่กันทำให้เกิดการต่อต้าน เพราะไม่มีใครชอบอยู่ใต้การกดขี่ การกดขี่ทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งมันก็ต้องเกิดการดันตอบ แล้วในที่สุดก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันใหม่ เราได้ผ่านการกดขี่มาหลายยุคตลอดหลายพันปีในประวัติศาสตร์ ยุคทาส ยุคศักดินา ยุคทุนนิยม มันก็มีการกดขี่กันทั้งนั้น มาถึงยุคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มันก็กดขี่กันอีก จริงอยู่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์เขากดขี่เพื่อให้มีการเสียสละแก่สังคม ไม่ใช่กดขี่เอาประโยชน์ส่วนตัวอย่างในยุคทาส ยุคศักดินา ยุคทุนนิยม แต่ไม่ว่าจะเป็นยุคอะไร ถ้ามีการกดขี่แล้ว มันก็อยู่กันไม่ตลอดรอดฝั่ง การกดขี่ของสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เป็นการกดขี่เพื่อให้เกิดการเสียสละ แต่การเสียสละที่ไม่ได้สละด้วยเสรีทางใจ มันก็กลายเป็นการกดขี่อีกสภาพหนึ่ง ทำให้เกิดความอึดอัดใจ เกิดความไม่พอใจ เกิดการดิ้นรนอย่างน้อยก็ทางใจ เพื่อจะมีชีวิตที่อิสรเสรีเหมือนเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ เขาบ้าง แรงของความอึดอัดใจนั้น เมื่อมีเหมือนกันมากขึ้น ๆ มันก็จะรวมตัวกันก่อหวอดเป็นนิวเคลียสขึ้นมา แล้วมันก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้มียุคใหม่กันอีก ผมยังนึกไม่ออกว่าพ้นยุคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แล้วจะถึงยุคอะไร ตอนนี้มันก็มีเงา ๆ พอจะเห็นได้สลัว ๆ แล้ว คือมันอาจจะถึงยุคแก้ผ้า ยุคผมยาวแบบคนป่า ยุคผู้หญิงเป็นของกลาง หรือผู้ชายเป็นของกลาง ยืมกันใช้ประโยชน์ได้ไม่เลือกหน้า เอากันที่สะดวกใจเป็นใหญ่ อะไรสะดวกใจชอบใจก็ทำกันไป เป็นอิสระเสรีกันอย่างเต็มที่ นี่ก็เป็นผลอันหนึ่งของระบอบกดขี่ คือกดทางเงินในระบอบทุนนิยม และกดทางอำนาจในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ระบอบใหม่นี้มันจะเรียกกันว่าระบอบอะไรก็ยังไม่มีชื่อที่แน่นอน แต่รวมความว่ามนุษย์ผู้เจริญจะหนีเข้าป่าเพื่อมีชีวิตใหม่ ไม่รับผิดชอบ ไม่รับหน้าที่ ไม่ยอมมีคำมั่นสัญญา ไม่ยอมมีระเบียบวินัย ไม่ยอมถูกกดขี่อีกต่อไป มันน่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์ก็ได้ หรือคุณว่ายังไง?”
“ผมก็ว่ามันคงจะเป็นอย่างที่คุณคิด” ธรรมนูญหัวเราะอย่างสนุก “เราอยู่กันมาด้วยความอึดอัด หาทางออกไม่ได้ ทุนนิยมก็มีแอก คอมมิวนิสต์ก็มีขื่อคา แบบหนีเสือปะจระเข้ ผมว่ากลับไปเป็นคนป่าสักทีหนึ่งก็ดีเหมือนกัน ไอ้พวกฮิปปี้ผมยาวมันก็ทำกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“แต่มันมีทางออก ถึงจะสายไปหน่อยมันก็เป็นทางออก นี่ผมพูดเฉพาะประเทศไทย” ข้าพเจ้าทอดเสียงอย่างเบื่อหน่าย “บ้านเมืองของเราก็มีคนฉลาดกันทุกหัวถนน การปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ปฏิวัติกันด้วยคนฉลาด การเผด็จอำนาจของจอมพล แปลกก็เผด็จกันด้วยคนฉลาด แล้วในสมัยจอมพล สฤษดิ์ จอมพล ถนอม จอมพล ประภาส มันก็ล้วนแต่ปกครองกันด้วยคนฉลาด แต่ยิ่งใช้ความฉลาดคนก็ยิ่งยากจนลงทุกที ผมจึงเห็นว่าความฉลาดของคนมีอำนาจมีเงิน เช่นเดียวกับความฉลาดของคนในท้องไร่ท้องนา มันก็หาใช้ปัญญาไม่ มันล้วนแต่เป็นความฉลาดที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวให้รอด คนมีอำนาจมีเงินก็คิดแต่จะมีให้มากขึ้น ไม่คิดว่าการรวยอำนาจรวยเงินของเขามันมาจากเรี่ยวแรงของคนจนทั้งนั้น ส่วนคนจนก็คิดแต่จะเอาชีวิตให้รอด ด้วยวิธีใช้กำลังฆ่าคนมี เพราะถ้าไม่ใช้กำลัง ก็พูดกับคนมีเงินไม่รู้เรื่อง ทั้งคนมีคนจนต่างก็ไม่ใช้ปัญญา ต่างก็ไม่คิดหาทางออกด้วยการเผชิญหน้ากับความจริง คือความจริงที่ว่าสมัยนี้มันเป็นสมัยที่มีไฟบรรลัยกัลป์มาล้างโลกแล้ว ถ้ายังขืนทะเลาะวิวาทกันโดยไม่ใช้ปัญญา ไฟบรรลัยกัลป์มันจะมาล้างโลกแน่นอน”
“คุณยังไม่ได้บอกว่าคุณจะทำยังไง?” ธรรมนูญมองตาข้าพเจ้า ในแววตาของเขามีความสนใจมากขึ้น
“ทางออกที่ผมเห็นไม่ใช่ของผม” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น “เขาทำกันมาก่อนคาร์ลมาร์กซ์จะเขียนคัมภีร์คอมมิวนิสต์ เขาได้รับความสำเร็จกันมาทั่วโลก แต่เมืองไทยยังไม่ได้รับความสำเร็จ เพราะรัฐบาลท่านไม่ใช้ปัญญา ใช้แต่ความฉลาด คือฉลาดที่จะแสวงอำนาจ แสวงเงิน ไม่แสวงความสุขสมบูรณ์ให้แก่ประชาชน”
“ก็อะไรล่ะ ระพินทร์?”
“สหกรณ์”
๒
เมื่อธรรมนูญกลับไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เปิดจดหมายของผู้หญิงที่ข้าพเจ้าบูชามาตลอด ๔๐ ปี ออกอ่านด้วยหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ
นี่คือจดหมายของวารยา ราเนฟสกายา ภาษาอังกฤษของเธอดีกว่าเมื่อ ๔๐ ปีก่อนมาก
โรงแรมผิงอัน กรุงปักกิ่ง
วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๑๘
ระพินทร์ที่รักที่สุดของฉัน
ฉันคิดว่าเธอได้ตายจากฉันไปแล้ว แล้วฉันก็ได้สวดมนต์ให้เธอทุกคืน แต่ฉันได้พบเพื่อนของเธอโดยบังเอิญที่สุดเมื่อวานนี้ ก็ได้ทราบข่าวว่าเธอยังไม่ตาย โอ ระพินทร์ เธอคงรู้ดีว่าพระเจ้ายังทรงโปรดฉัน ท่านยังไม่ได้พรากเธอไปจากฉันเพราะเหตุที่ท่านรักเธอ เธอไม่ใช่คนอายุสั้นอย่างคนที่พระเจ้ารัก
๔๐ ปีแล้วกระมังที่เราจากกันที่สถานีรถไฟเฉียนเหมิน กรุงปักกิ่ง มือของเราได้หลุดออกจากกันที่ช่องหน้าต่างรถไฟ เมื่อเธอหมดปัญญาจะวิ่งตามมันได้ต่อไป ระพินทร์ที่รัก เธอคงไม่รู้หรอกว่าฉันยืนอยู่ที่หน้าต่างบนรถนานมาก ไม่รู้ว่านานเท่าไร และเธอคงไม่รู้ว่าฉันสะกดใจไม่ได้ ฉันร้องไห้คร่ำครวญถึงเธอ ฉันคิดถึงเธอตลอด ๔๐ ปี ฉันแก่แล้วระพินทร์จ๋า ถ้าเธอพบฉันอีกเธอจะตกใจ เธอคงจะรักฉันอีกไม่ได้
แต่ก็ไม่เป็นไร ฉันจะแก่สักเพียงไหน ฉันก็เป็นเพื่อนของเธอได้ ฉันอยากจะคิดว่าเธอคงจะมีความรักให้แก่เพื่อนเก่าคนหนึ่งได้ต่อไปสักนิด ความรักของเพื่อนแท้เป็นความรักที่ยืนนานไม่มีวันตาย เพราะมันเป็นความรักอมตะ
ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความตื่นเต้นดีใจเหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ ฉันไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอ มันมีเรื่องมากมายจนไม่รู้ว่าจะขึ้นต้นอะไรก่อน แต่ฉันก็บอกได้โดยไม่ต้องรอลำดับเรื่องว่าฉันมีความสุขมากที่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เวลา ๔๐ ปีเป็นเวลาที่ยาวนานมากเหลือเกิน ๔๐ ปีไม่ควรจะให้โอกาสแก่ใครให้รอดชีวิตอยู่ได้ เวลามันกินชีวิตคน กินหมดทุกอย่างแม้แต่ภูเขา แต่ ๔๐ ปี ไม่ได้กินชีวิตเธอกับฉัน เรายังคงอยู่ร่วมโลกกันเหมือนเมื่อ ๔๐ ปีก่อน เป็นแต่เพียงว่าเราอยู่ไกลกัน เห็นหน้ากันไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ใจของเราคงจะลืมวันเก่า ๆ ของเราไม่ได้ไม่ใช่หรือ ระพินทร์? ปักกิ่งเป็นนครแห่งความหลังของเธอกับฉัน เธอคงจะยังจำทะเลสาบคุ้นหมิงหูได้ น้ำจืดในทะเลแห่งนี้ไหลมาจากน้ำพุยู๋ฉวนซาน มันใสสะอาดเย็นยะเยือก มองลงไปเห็นปลาว่ายแหวกอยู่ในพุ่มสาหร่าย เราเคยพายเรือไปด้วยกันในคืนที่เดือนหงายแจ่มจำรัสอยู่บนท้องฟ้า ได้ยินเสียงปลาผุด เสียงใบพายกระทบน้ำ และเสียงลมพัด เธอขอให้ฉันร้องเพลง “Love Me Little and Love Me Long” แล้วเธอก็ชมว่าฉันร้องเพลงได้ไพเราะ เพลงนี้ฉันยังคงร้องอยู่ เมื่อฉันอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่ร้องฉันก็นึกถึงเธอ–นึกถึงคุ้นหมิงหู–นึกถึงเดือนบนท้องฟ้าในฤดูสปริง มันเป็นสปริงของความสุข สปริงของฉันและของเธอ สปริงของดอกเถาที่บานเต็มต้น สปริงที่ต้นหลิวกำลังลืมตาสีเขียวอ่อนตามกิ่งที่สยายไปในสายลม แต่สปริงของชีวิตมันได้ผ่านไปหมดแล้ว เราไม่มีสปริงอีกแล้วระพินทร์จ๋า เรามีแต่ออทัมน์ มันเป็นชิวเทียนของชีวิตที่เยือกเย็นและเดียวดาย แต่ฉันก็ยิ้มรับชิวเทียนของฉัน ใบไม้กำลังร่วงเหมือนชีวิตที่กำลังหลุดลอย ลมหนาวกำลังพัดมา ตงเทียนที่โหดร้ายกำลังรออยู่ข้างหน้าที่ไม่ไกลนัก ฉันยืนอยู่คน เดียวในโลกกว้าง ฉันไม่มีเพื่อน ฉันพบแต่คนแปลกหน้าตลอด ๔๐ ปี ไม่มีใครสนใจในตัวฉันเลย โอ ชีวิต! ฟ้าให้ฉันมาเกิดในปราสาท แต่ทำไมฟ้าจึงให้ฉันมาตายอยู่คนเดียวในเหวมืดที่แสนจะวิเวกวังเวง
ฉันยังไม่ได้เล่าเรื่องของฉันให้เธอฟังเลย อารมณ์มันพาไปเสียไกล แต่ฉันมีความสุขที่ได้เขียนความรู้สึกตลอด ๔๐ ปีให้เธอได้ทราบ ฉันอาจจะคร่ำครวญมากไป ฉันไม่ควรทำให้เธอเศร้า ฉันเป็นคนอ่อนแอ แต่ฉันก็สู้โลกมาได้ถึง ๔๐ ปี นับตั้งแต่มือของเราได้หลุดออกจากกันที่สถานีรถไฟเฉียนเหมินวันนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าฉันมีชีวิตอยู่มาได้อย่างไร ไม่ใช่เธอดอกที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ ความจริงฉันอยากจะตายเพื่อไปพบกับเธอ ซึ่งฉันคิดว่าได้จากโลกนี้ไปแล้ว มันอาจจะเป็นพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ที่ให้กำลังใจแก่ฉัน ฉันสวดมนต์ทุกวันในโบสถ์ ฉันมองเห็นพระผู้เป็นเจ้า มองเห็นธรรม มองเห็นชีวิต และเข้าใจชีวิต ฉันอยู่กับเด็กตลอด ๔๐ ปี สอนให้เขาเติบโตเป็นคนที่อยู่กับความรัก เด็กของฉันในโรงเรียนเซนต์แมรีจำนวนไม่น้อย โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ ฉันสอนอยู่ที่เซนต์แมรีหลายปี แล้วฮาร์บินก็นองเลือดเพราะพวกซามูไร
ระพินทร์ที่รัก ชีวิต ๔๐ ปีของฉันเป็นชีวิตที่มืดมาก ฉันต้องผจญกับสงครามญี่ปุ่น เสี่ยงกับความตาย ความอดอยากและความว้าเหว่เดียวดายอย่างบอกไม่ถูก ญี่ปุ่นกับจีนรบกันหลายปี เลือดนองแผ่นดิน ฮาร์บินถูกยึด เราต้องอยู่ใต้อำนาจของซามูไร โรงเรียนของเราถูกปิดหลายครั้งระหว่างที่เขารบกัน ความเศร้าโศกที่ฉันพบก็คือความทารุณของทหารญี่ปุ่น ผู้หญิงถูกข่มขืน เด็กถูกฆ่า คนแก่ก็ไม่เว้น นอกจากนี้คนจีนกว่า ๒,๐๐๐ คนก็ถูกต้อนไปฆ่าเพื่อทดลองแก๊สพิษกับยาพิษ กฎหมายมีอยู่ฉบับเดียวคือปืน พวกเด็กนักเรียน นักศึกษาต่อสู้อยู่ใต้ดิน เหมือนกับที่เซี่ยงไฮ้พยายามทำลายกำลังของญี่ปุ่นในแนวหลังตลอดเวลา ญี่ปุ่นจับได้ก็ยิงเป้าไป วันหนึ่งเด็กคนหนึ่งหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในโบสถ์เซนต์แมรี เราช่วยกันซ่อนไว้บนเพดานโบสถ์ แต่ทหารญี่ปุ่นก็ค้นพบจนได้ เขาลากตัวไปทรมานถามว่า ใครบ้างที่เป็นใต้ดิน อยู่ที่ไหน ชื่ออะไร เด็กคนนั้นก็ไม่บอก ไม่ใช่เด็กผู้ชายนะเธอ เป็นเด็กผู้หญิง ใจเด็ดเหลือเกิน ญี่ปุ่นใช้ไฟฟ้าจี้ มัดแช่หิมะ ให้อดอาหาร ทรมานร้อยแปด จนกระทั่งสิ้นลมหายใจ ฉันสงสารใจจะขาด เราช่วยกันฝังศพแกไว้ที่วัดของเรา คืนวันหนึ่งเด็ก ๆ เพื่อนของแกพากันมาเยี่ยมศพ ญี่ปุ่นวางยามไว้ ก็เกิดยิงกันขึ้น เสียงปืนดึงทหารญี่ปุ่นเข้ามาอีกสิบกว่าคน ในที่สุดเด็กก็ถูกกราดด้วยปืนกลตายไม่เหลือเลย เราก็ต้องช่วยกันฝังไว้ในหลุมรวมใกล้ ๆ กับหลุมเด็กคนแรก เด็กพวกนี้อายุ ๑๕–๑๖ ปีเท่านั้นเอง ยังไม่ทันเข้ามหาวิทยาลัย เขาสละชีวิตให้ชาติของเขาอย่างกล้าหาญ เราต้องเสียน้ำตาให้เขา
เมื่อสงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น พวกเราแม่ชีก็ได้รับอนุญาตให้อพยพไปอยู่ที่เปียงยางในเกาหลี ที่นั่นเราอยู่จนสงครามสงบ ญี่ปุ่นแพ้เพราะระเบิดปรมาณู เรากลับฮาร์บินอีก วัดเซนต์แมรีพังไปหลายส่วน ต้องซ่อมกันใหม่ด้วยเงินของสถาบัน เราพยายามสร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ เก็บเด็กที่กำพร้ามาเลี้ยง เด็กกำพร้าทวีจำนวนมากขึ้นเพราะพ่อแม่ตายไปมากระหว่างสงคราม งานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นงานหนักมาก เพราะเรามีคนไม่พอ แต่เราก็ช่วยกันเลี้ยงแกให้รอด ฉันรู้สึกว่าฉันได้ทำบุญให้แก่ชาติมนุษย์อย่างดีที่สุดในชีวิต เดี๋ยวนี้เด็กพวกนี้เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว กลายเป็นพลเมืองของคอมมิวนิสต์ไป บางคนก็ได้รับหน้าที่การงานที่สำคัญ ๆ ฉันขอกลับมาอยู่ปักกิ่ง มาช่วยคนยากคนจน มาทำงานให้เด็กอีกครั้งหนึ่ง เท่าที่เขาจะอนุญาตให้ทำ เราต้องอยู่ใต้ระบอบใหม่ ต้องเป็นพลเมืองของประเทศใหม่ ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ ๆ ทุกอย่าง ฉันมีความสุขสบายพอสมควรแบบผู้ลี้ภัย ฉันถูกรังเกียจในตอนแรกเพราะเป็นชาวรัสเซีย แต่ความรักเด็กของฉันได้ช่วยฉันไว้ได้ ลูกศิษย์เก่า ๆ สมัยฮาร์บินก็เข้ามาช่วยกันดูแลให้ความสะดวก ฉันอยู่กับมนุษย์ธรรมดา อยู่กับคนจน อยู่กับเด็ก ไม่มีพิษมีภัยแก่ใคร ราษฎรเขาคลายความรังเกียจลงบ้าง ความจริงท่านเมาเซตุงเป็นคนดีมาก ท่านเข้าใจชีวิต ท่านไม่เล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลย ท่านหายใจเป็นงาน ท่านให้เสื้อผ้าอาหารแก่ประชาชน เพราะเสื้อผ้าอาหารเป็นของจำเป็นชิ้นแรกของมนุษย์ เวลานี้ฝรั่งมิชชันนารีไม่ต้องหุงข้าวต้มเลี้ยงคนจน อย่างที่เธอเคยเห็นแถวชิงเหนียนห้วย ไม่ต้องแจกเสื้อผ้าในฤดูหนาว เพื่อช่วยคนจนไม่ให้หนาวตายในฤดูตงเทียน งานของท่านเมาเซตุงเป็นงานช่วยชีวิตคนจนอย่างแท้จริง จริงอยู่ คนจนต้องเสียสละ จะต้องกลั้นใจ จะต้องปฏิเสธกิเลสและธรรมชาติของความต้องการ จะต้องยอมมอบเสรีภาพส่วนตัวให้แก่รัฐ เพื่อตัวเองและคนอื่น ๆ ทั้งประเทศจะได้ไม่ต้องหิวตาย ไม่ต้องหนาวตายอีกต่อไป การเสียสละและการกลั้นใจของประชาชน เป็นทางรอดของชาติจีนกับคนจีน ๘๐๐ ล้านคน ที่กำลังจะทวีขึ้นเป็น ๑,๐๐๐ ล้านในไม่ช้า ฉันมองเห็นความจำเป็นที่คนจีนจะต้องเสียสละเสรีภาพ เพื่อชาติเพื่อประชาชน เพื่อสังคมใหม่ มันช่วยไม่ได้จริง ๆ มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ มันดีกว่าหนาวตาย อดตาย น้ำท่วมตาย และถูกกดขี่อย่างทรมานจากพวกขุนศึก ตลอดการปฏิวัติทั้งปวงที่เป็นอดีตไปแล้ว
ฉันเคยเกลียดคอมมิวนิสต์ เพราะฉันเคยถูกไล่ออกมาจากรัสเซียด้วยมือพวกคอมมิวนิสต์ ฉันเป็นรัสเซียขาว ไม่ใช่รัสเซียแดง พ่อแม่พี่น้องของฉันถูกคอมมิวนิสต์ฆ่าตายหมดไม่มีเหลือ ฉันจึงไม่ชอบคอมมิวนิสต์เลย แต่เดี๋ยวนี้ฉันเข้าใจคอมมิวนิสต์ดีขึ้นมากแล้ว คอมมิวนิสต์ที่แท้ไม่โหดร้ายอย่างที่เราเคยคิดกัน เขาเป็นคนดี แต่การกระทำของเขาต้องใช้กำลังบังคับ ต้องใช้อำนาจเด็ดขาด ต้องมีวินัย สังคมปัจจุบันยังไม่เป็นสังคมคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง เรายังมีคอมมิวนิสต์ดิบ คอมมิวนิสต์ปลอมปนอยู่มากมาย จึงยังวุ่นวายมาก แต่ฉันก็สงสัยว่าคอมมิวนิสต์จะปฏิวัติโลกได้สำเร็จหรือไม่ เพราะวิธีบังคับก็เป็นการกดขี่ทางใจทางกายเหมือนกัน มันขัดกับธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ซึ่งยังเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่รู้จักพอ มันเป็นการปฏิวัติโลกที่เสี่ยงต่อความตายของมนุษยชาติอย่างที่สุด เพราะโลกทุกวันนี้ได้เห็นตัวอย่างของการตายอย่างมดที่ฮิโรชิมามาแล้ว มนุษย์ตายได้ในพริบตาเดียวเป็นจำนวนล้านเพราะระเบิดปรมาณู ประเทศทุนนิยมกับประเทศคอมมิวนิสต์ต่างก็มีระเบิดปรมาณูด้วยกันทั้งนั้น ถ้ายังตกลงอะไรกันไม่ได้ มนุษย์ส่วนใหญ่ของโลกเป็นพัน ๆ ล้าน ซึ่งเป็นคนจนส่วนมาก จะต้องเป็นแพะรับบาป ไฟจะล้างโลก วันที่โลกจะพินาศมันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
ฉันยังมองไม่เห็นความสว่าง พระเจ้ามีความรัก แต่ความรักยังไม่มีระหว่างชาติมนุษย์ โลกจึงสว่างไม่ได้ เราจะทำอย่างไรกันดี? เราเป็นเพียงคนของโลก ไม่มีอำนาจจะพูดอะไรกับนักการเมืองได้ โลกถูกปกครองด้วยนักการเมืองซึ่งเป็นเพียงปุถุชนไม่ใช่พระเจ้า และเป็นคนกลุ่มน้อยนิดเดียว มีอารมณ์ มีกิเลส มีความลำเอียง มีคอร์รัปชัน มีการตัดสินใจที่ไม่จำเป็นจะต้องถูกเสมอไป นักการเมืองพวกนี้กำลังครองโลก นี่คือปัญหา!
ฉันว่าเธอคงคิดมาก เพราะฉันรู้จักเธอดีว่าเป็นคนชอบคิด ในปักกิ่งเมื่อ ๔๐ ปีก่อน เธอพูดกับฉันถึงสันติภาพถาวร ถึงความสุขสมบูรณ์ของชีวิตมนุษย์ ถึงความทุกข์ยากของประชาชนที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ เธอต้องการสร้าง “แนวราษฎร” เธอต้องการให้ประชาชนครองชาติครองโลก เธอต้องการประชามติของประชาชนทั่วโลก เพื่อยุติสงครามที่ฆ่าตัวตายและเพื่อสร้างชีวิตใหม่ได้แก่คนยากจน โดยที่ไม่ต้องสูญเสียอิสรภาพและเสรีภาพ เธอเชื่อลัทธิสหกรณ์ ฉันว่าเธอฝันมากไป ฉันเห็นชีวิตมาจนแก่ ฉันว่าเธอเป็นนักอุดมคติที่มีเจตนาดีมาก เธอก็อายุเท่าฉันเวลานี้ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะรู้ตัวหรือยัง ว่าความคิดของเธอเป็นความคิดชนิดเดียวกับที่พวกยูโทเปียเขาคิดกัน คนโบราณเคยคิดจะสร้างแอต แลนติส ริบบลิก ยูโทเปีย แต่ก็เป็นเพียงความคิดในเล่มหนังสือ เป็นเพียงความอยากจะมีอยากจะเห็นของคนที่หวังดีต่อโลก แต่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ได้ ฉันว่าเธอคงจะต้องกำลังขมขื่น กำลังผิดหวัง กำลังอยากตายไปให้พ้นจากโลกที่วุ่นวาย โลกที่กำลังจะกลายเป็นเมืองนรก สับปลับ หลอกลวง เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ กินแรง กดขี่กัน ทำร้ายกัน แย่งชิงกันทุกโอกาสที่สามารถจะหาได้ มันเป็นโลกที่ควรจะเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าทำไมเราจึงต้องเกิดมาในโลกเช่นนี้ โลกอื่น ๆ ในจักรวาลต้องเป็นอย่างนี้ไหม? ระพินทร์ที่รัก ฉันสงสารเธอ เธอคงจะกำลังเกลียดตัวเองที่ต้องเกิดมาเพื่อจะคิดในสิ่งที่ทำไม่ได้ เธออาจมีความสุขที่เธอได้ฝันดีตลอดมา แต่เธอจะไม่ได้พบความสำเร็จอะไรเลย วันสุดท้ายของเธอคงจะกำลังใกล้เข้ามาแล้วและเธอก็คงจะยังฝันต่อไป ฉันกลัวเหลือเกินว่าเมื่อนาทีสุดท้ายมาถึง หัวใจของเธอคงจะต้องร้องไห้ เพราะจะต้องจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่ได้เห็นโลกใหม่ที่เธอใฝ่ฝัน
ฉันอยากมาเมืองไทย อยากมาอยู่ใกล้เธอก่อนที่เธอหรือฉันจะตาย ฉันอยากมาดูชีวิตเธอ ว่าจะก้าวหน้ารุ่งเรืองหรือจะตกต่ำอย่างไร เพื่อนของเธอที่ฉันพบในปักกิ่งเมื่อวานนี้ ได้เล่าให้ฉันฟังว่า เธออยู่ในความลำบากมาก เธอไม่มีรายได้เลย เธอไม่มีความสุขความสบายอย่างที่คนแก่ชราควรจะมี เธอต้องเดินไปตามข้างถนน ต้องตากแดดตากฝน เพื่อนฝูงที่รักเธอเที่ยวเก็บเธอไปจากถนน เมื่อเขาบังเอิญขับรถผ่านไป เก็บเธอให้พ้นไปจากถนนแห่งความเหี้ยมโหด ธรรมนูญเล่าว่า เธอไปสร้างไร่แผ่นดินไทยเพื่อจะสร้างมูลนิธิ แล้วใช้เงินที่งอกขึ้นมาจากดินโดยธรรมชาติ จะไม่ใช้เงินที่งอกเป็นดอกเบี้ยแบบมูลนิธิอื่น ๆ เป็นเงินที่บริสุทธิ์ ธรรมชาติของต้นไม้ปั้นมาให้ เงินนี้เธอจะเอาไปสร้างหมู่บ้าน สหกรณ์ หมู่บ้านยูโทเปีย ธรรมนูญเล่าว่าเธอได้ต่อสู้เพื่อหมู่บ้านในฝันมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๔๐ ปีดี แต่จนบัดนี้เธอก็ยังไม่ได้เห็นหมู่บ้านสหกรณ์ เธอเห็นแต่หนี้สินของไร่แผ่นดินไทย เห็นแต่ดอกเบี้ยที่พอกพูนทับทวีขึ้นมากองโตเป็นภูเขา เธอพยายามฆ่าตัวตายด้วยความฝันที่จะสร้างเมืองสหกรณ์ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มีเงินเลย เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยฆ่าเธอ ฆ่าครอบครัวของเธอ เธออาจมีผู้เมตตาปรานี แต่หนี้คือความรับผิดชอบที่เธอต้องชำระ เธอปฏิเสธไม่ได้ ธรรมนูญเขาห่วงเธอมากเหลือเกิน คนอย่างเธอไม่น่าจะมาต้องทนทรมานอย่างนี้ ธรรมนูญเขาเล่าอีกว่าเธอจวนจะถูกพวกขุนศึกศักดินานักการเมืองจับไปใส่คุกหลายครั้ง แต่เธอก็รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ครั้งหนึ่งเธอถูกตำรวจตัวใหญ่มากจับตัวไปสอบสวนเพื่อจะส่งเข้าคุก เขาหาว่าเธอเป็นคอมมิวนิสต์ เธอบอกว่าเธอเป็นสหกรณ์ ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เธอเอาสหกรณ์มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจคนจน เพื่อคนจนจะได้ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ นายตำรวจใหญ่คนนั้นก็ยันจะเอาเธอเป็นคอมมิวนิสต์ให้จงได้ เขาว่าสหกรณ์นั่นแหละคอมมิวนิสต์ละ เธอก็แก้ว่า รัฐบาลตั้งกระทรวงสหกรณ์ ตั้งกรมสหกรณ์ ออกกฎหมายสหกรณ์ ถ้าสหกรณ์เป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์ด้วย ตำรวจก็ต้องจับรัฐบาลด้วย จะมาจับเธอคนเดียวไม่ได้ เธอโต้ตอบกับตำรวจโง่คนนั้นตั้งนาน ในที่สุดเขาก็จนมุม เธอก็รอดมาได้ ฉันฟังธรรมนูญเขาเล่าแล้วก็สลดใจ เมืองไทยมีตำรวจโง่ถึงขนาดนี้เทียวหรือ แล้วนักการเมืองเล่า? ฉันอยากมาดูนักการเมืองของเมืองไทย เห็นธรรมนูญพูดว่านักการเมืองเป็นอันมากที่ครองเมืองไทยมาหลายสิบปี มักมีแต่ผู้แสวงประโยชน์ แสวงอำนาจส่วนตัว ไม่สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง นักการเมืองเขาเล่นการเมือง ไม่ได้ทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างจริงจังเลย เขาเอาการเมืองเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างความเป็นใหญ่ในแผ่นดินให้แก่ตัวเขา ไม่ได้สร้างความเป็นใหญ่ในแผ่นดินให้แก่ราษฎร นักการเมืองแบบนี้กำลังประหารเมืองไทย ธรรมนูญบอกว่านักการเมืองเหล่านี้ไม่เคยมีนโยบายสร้างชาติ มีแต่นโยบายสร้างตัวเขาขึ้นมาครองอำนาจ โดยไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาของชาติที่ตรงไหนก่อนและจะแก้อย่างไร เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก ฉันฟังแล้วก็ตกใจ ถ้าเป็นจริงอย่างธรรมนูญว่าเมืองไทยก็แย่ เมืองไทยจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์แน่นอน ฉันไม่คิดว่ารัฐบาลปักกิ่งเขาจะยกทัพเข้ายึดเมืองไทย เพื่อทำให้เมืองไทยเป็นเมืองคอมมิวนิสต์ แต่คนไทยที่ยากจนนั่นแหละจะสร้างเมืองคอมมิวนิสต์ขึ้นมาเอง เพราะทนความหิว ทนการกดขี่จากนายทุนและข้าราชการไม่ได้ เธอคงจะเป็นทุกข์เป็นร้อน เธอคงจะห่วงชาติไทยของเธอมากทีเดียว แต่เธอคงจะทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอเป็นได้เพียงคนไทยที่เดินอยู่ข้างถนน ตากแดดตากฝนไปวันหนึ่ง ๆ เหมือนคนจน ๆ ทั้งหลายที่ไม่รู้จะช่วยชาติของเราได้อย่างไร
ฉันอยากให้เธอปฏิวัติ เพราะไหน ๆ เธอก็ได้สู้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ฉันรู้ดีว่าเธอไม่ทำ เธอพูดกับฉันไว้ที่ปักกิ่ง ฉันยังจำได้ดี เธอบอกว่าการปฏิวัติที่ดีต้องการความสุกงอม และการปฏิวัติควรเป็นเรื่องของประชาชนเท่านั้น ไม่ควรเป็นเรื่องของบุคคลคนเดียวหรือคณะเดียว เธอพูดกับฉันว่า เธอเห็นใจ ดร. ซุนยัดเซ็น ท่านปฏิวัติคนเดียวกับคนจีนเพียงกลุ่มเดียว ประชาชนคนจีนทั้งประเทศไม่ได้ปฏิวัติกับท่าน เมื่อปฏิวัติแล้วขุนศึกก็เกิดขึ้นทุกหัวระแหง แยกชาติแยกแผ่นดิน ยึดครองแผ่นดิน กดขี่ขูดรีดรังแกประชาชน เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า เมื่อเธออยู่ปักกิ่ง ท่านเจียงไคเช็คครองเมือง เหล่าญาติมิตรของท่านเป็นอันมากกินเมือง ท่านคนเดียวทำอะไรไม่ได้ เธอเล่าให้ฉันฟังว่า วันหนึ่งเธอไปในงานปาร์ตีของมาดามซุง เธอเผลอตัวไปวิจารณ์คอร์รัปชันเข้า เธอถูกพวกนั้นเล่นงานแทบแย่ เมืองจีนของท่านเจียงตายเพราะคอร์รัปชัน นักการเมืองเอาตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองไปหากินร่ำรวยกันมหาศาล ประชาชนถูกทอดทิ้งให้อดอยากทั่วประเทศ ต้องหิวตายหนาวตาย การปฏิวัติแก้ปัญหาไม่ได้เลย เพราะประชาชนไม่ได้ปฏิวัติ การช่วยประชาชนอย่างจริงจังจึงไม่มี ตอนนี้เมื่อฟังธรรมนูญเล่าแล้ว ฉันก็นึกถึงเมืองไทยของเธอ ดูจะเป็นเรื่องน่าห่วงมากไม่ใช่หรือ? นักปฏิวัติของเธอ–นักการเมืองของเธอ–มีโครงสร้างชาติหรือเปล่า? หรือว่าแก้แต่ปัญหาเฉพาะหน้าตะบันไป แว่วจากธรรมนูญว่ารัฐบาลนี้จะแก้ที่สวัสดิการ สวัสดิการจะเกิดสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจยังแย่ ทำไมรัฐบาลจึงไม่แก้ที่พื้นฐาน? เธอว่าอย่างไร? เมืองไทยเท่าที่ฉันเข้าใจ เป็นเมืองด้อยพัฒนา เหมือนรถยนต์ที่วิ่งมาแล้วหลายร้อยปี เครื่องมันแย่แล้ว มันต้องยกเครื่อง จะแก้เพียงเปลี่ยนนอกเปลี่ยนสกรูไม่ได้ สวัสดิการทำจากเงินภาษีอากร ถ้าประชาชนยังถูกกดขี่กินแรง ยังอดอยากยากจน รัฐบาลจะหาเงินที่ไหนมาทำสวัสดิการให้แก่เขา? ธรรมนูญบอกว่าเธอได้เสนอให้แก้ปัญหาที่พื้นฐานนานมาแล้ว เพื่อดึงประชาชนให้ยืนขึ้นมา อย่าแก้แต่ปัญหาเฉพาะหน้า ฉันเห็นว่าเธอพูดถูกต้องแล้ว แต่เธอก็คงถูกเขาเกลียดหน้าตามเคย ฉันเวทนาเธอเหลือเกิน ระพินทร์ ทำไมเธอถึงต้องมาเกิดในเมืองไทย–เกิดเพื่อจะกลุ้มใจและทุกข์ทรมาน
พูดเรื่องโลกเรื่องเมืองจีนเมืองไทยมาพอแล้ว เธอเบื่อมากขึ้นหรือเปล่าที่ฉันพูดมา?
ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความรักในตัวเธอ ด้วยความอยากรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่? แต่เท่าที่ฉันรู้จากธรรมนูญ เธอไม่มีงานทำ เธออดอยาก เธอผิดหวัง เธอแก่ชราและเธอกำลังป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ เธอกำลังจะตาย
ระพินทร์จ๋า วันของเราได้ใกล้เข้ามาแล้ว โลกนี้ไม่ใช่โลกที่เราจะร่วมชีวิตกันได้ แม้จะร่วมด้วยไมตรีจิตมิตรภาพที่สูงกว่าอะไร เราจะต้องจากกันอย่างแน่นอนในไม่ช้านี้ เราจะพบกันอีกสักครั้งได้หรือไม่ ก่อนที่เราจะตาย?
ยุคนี้คนไทยชอบปักกิ่ง รักปักกิ่งเสียจริง ๆ มาเยี่ยมปักกิ่งกันไม่ได้หยุด ท่านนายกคึกฤทธิ์ของเธอยกพวกมาปักกิ่งเมื่อเดือนก่อน ฉันไปแอบดูท่าน ท่าทางเป็นผู้ดี แคล่วคล่องว่องไวเหมือนคนหนุ่ม พูดจาฉาดฉาน สง่าผ่าเผยน่ายกย่อง ฉันรู้สึกว่าท่านนายกของเธอเป็นคนดี คงจะช่วยเมืองไทยได้ แล้วท่านก็เป็นเชื้อพระวงศ์ คงจะรักชาติไทยเหมือนบรรพบุรุษของท่าน ฉันมีศรัทธาในตัวท่านนายกคึกฤทธิ์มาก ฉันเชื่อว่าท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดของเมืองไทย หรือเธอว่ายังไง? ฉันอาจจะรู้จักท่านนายกคึกฤทธิ์น้อยไปก็ได้ แต่ฉันภาวนาให้ท่านเป็นคนดี คิดดี และทำดี อย่าให้ท่านหลงใหลมัวเมากับอำนาจและความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อย่าหลงตัวเองเหมือนนายกชั้นจอมพลในอดีตเลย แต่การเมืองมันก็ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับเหตุการณ์แวดล้อม ท่านนายกคึกฤทธิ์เป็นนักการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองท่านก็ต้องปรับตัวเองให้เป็นนักการเมืองที่สามารถ ต้องทำอะไรบางอย่างที่นักอุดมการณ์ไม่ทำ เพราะทำไม่ได้ การเป็นนักการเมืองเป็นของยาก โดยเฉพาะนักการเมืองในประเทศที่วุ่นวาย แตกแยก ประชาชนอดอยาก ธรรมนูญบอกว่ารัฐบาลไทยขณะนี้ เป็นรัฐบาลผสม ฉันฟังแล้วก็หนักใจ รัฐบาลผสมแก้ปัญหาอะไรไม่สะดวก เพราะขาดความมั่นคงเป็นปึกแผ่น ฉันว่าท่านนายกคึกฤทธิ์ควรคิดถึงปัญหาเรื่องการผสมให้มาก แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อประชาชนเขาจะเอาอย่างนั้น เขาเลือกผู้แทนของเขาขึ้นมาตามที่เขาเห็นว่าควรจะเลือก หรือตามความกดดันที่เกิดจากอำนาจเงิน เช่นการติดสินบน การกินสินบน เขาเลือกขึ้นมาแล้ว ผู้แทนฯ ก็มีสิทธิมีเสียงจะพูดจะทำตามระบบพรรค ประชาธิปไตยนั้นดี แต่ถ้าประชาธิปไตยแตกแยกแม้โดยชอบด้วยกฎหมาย ประชาธิปไตยก็เดินช้า อาจไม่ทันต่อเหตุการณ์ แล้วประชาธิปไตยก็จะฆ่าตัวตาย ฉันไม่อยากให้ประชาธิปไตยของเธอต้องฆ่าตัวตายเพราะการพยายามจะเป็นประชาธิปไตยให้จงได้ เราจะบูชาประชาธิปไตยเหมือนบูชาเทวดา หรือว่าเราจะเอาความอยู่รอดของชาติเป็นเรื่องสำคัญ? ข้อนี้ก็ควรคิดกันดู ดร. ซุนยัดเซนท่านเอาประชาธิปไตยมาให้ประชาชนคนจีนบูชาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ แต่ประชาชนคนจีนก็ได้แต่บูชาชนิดไหว้เจ้า แล้วเมืองจีนก็บ้านแตกสาแหรกขาด รบราฆ่าฟันกันเองมาหลายสิบปี กว่าท่านเมาเซตุงจะรวบรวมเมืองจีนให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ เมืองไทยของเธอกำลังแตกกันเอง (เท่าที่ฉันถามธรรมนูญ) ถ้าแตกกันเองเสียแล้วก็น่าห่วง เธอก็คงจะห่วงในข้อนี้ การแตกกันเองนี้ความจริงก็เป็นของธรรมดา ความคิดของคนเราจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วนั้นไม่ได้ แต่ถ้าความคิดที่แตกกันนั้นเป็นความคิดที่สุจริต เป็นความคิดที่คิดเพื่อประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง การแตกความคิดก็คงไม่สู้กระไร คงจะปรับให้เข้าใจกันได้ แต่ถ้าความคิดที่แตกกันนั้นเป็นความคิดที่ไม่สุจริต ไม่ซื่อตรงต่อประชาชน ไม่คิดเพื่อประชาชนอย่างจริงแท้ มันก็เข้าใจกันไม่ได้แน่ ฉะนั้นความคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เราคิดเพื่อประชาชนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หรือว่าเราคิดเพื่อเราจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เพื่อเราจะได้กอบโกยอำนาจการเมืองและอำนาจการเงิน สำหรับเอาไว้กดขี่ประชาชนต่อไป ข้อนี้สิเป็นเรื่องสำคัญ ฉันยังไม่รู้เรื่องเมืองไทยมากนัก แต่เท่าที่ฟังจากธรรมนูญ ฉันรู้สึกว่าท่านนายกผู้นี้เป็นคนมีเกียรติ มีชาติตระกูล มีความห่วงใยประชาชน มีจิตใจที่ต้องการจะประสานสามัคคีในชาติตลอดจนระหว่างชาติ ท่านคงจะเป็นนักการเมืองที่ดีได้ คือคงจะรักษาความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติไทยไว้ได้ เธอจะเห็นอย่างไรฉันไม่รู้นะ เธออยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เธอคงจะรู้ดีกว่าฉัน ฉันก็ได้แต่ภาวนาให้ท่านนายกคึกฤทธิ์เป็นรัฐบุรุษ ไม่ใช่เป็นเพียงนักการเมืองที่คิดถึงประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ของประชาชน แบบพวก cheap politician ซึ่งฉวยโอกาสหากินกับการเมือง cheap politician นี้ ในเมืองจีนสมัยก่อนมีมาก เธอก็คงได้พบแล้ว เธอบ่นให้ฉันฟังหลายครั้งสมัยที่เธออยู่ในปักกิ่งเมื่อ ๔๐ ปีก่อน เธอบอกว่านักการเมืองในเมืองจีนที่เธอพบ มักเป็นพวก politician ราคาถูก ๆ เสียมากมาย มีการฉวยโอกาส แสวงอำนาจ แสวงเงิน ประจบสอพลอ กินสินบน ติดสินบน คอร์รัปชัน โสมมสารพัด เธอขอภาวนาว่า เมื่อเธอกลับเมืองไทย ขออย่าได้พบ politician แบบนี้เลย ฉันไม่รู้ว่าเธอพบคนพวกนี้หรือเปล่า? มันก็คงมีบ้าง แต่ขออย่าให้มีมากมายอย่างในเมืองจีนสมัยโน้นก็แล้วกัน แต่ว่าฉันตกใจมากทีเดียวเมื่ออ่านข่าวโทรเลขในหนังสือพิมพ์เรื่องสามทรราช ถ้าสามทรราชเป็นเช่นนั้นจริง ๆ มันก็เหมือนอั้งยี่ครองเมือง เอาลูกเมียญาติมิตรมาช่วยกันครอง ขูดรีดประชาชนจนเป็นเศรษฐี กินสินบน โกงชาติ คอร์รัปชัน เอาอำนาจการเมืองไปค้าขาย เอาอำนาจการเมืองเข้าไปในธนาคาร ทำให้การระดมทุนในธนาคารกลายเป็นการสร้างอำนาจของเงินขึ้นมาเพื่อจะกดขี่ขูดรีดคนจน เป็นการสร้างระบบกินแรงขึ้นในสังคม เช่นระบบดอกเบี้ยอัตราสูง ระบบคนกลาง ระบบผูกขาด ระบบกดขี่สารพัดที่เงินกลายเป็นพระเจ้าของสังคม ฉันเห็นว่าถ้านักการเมืองที่เป็น cheap politician เข้าไปมีอำนาจในธนาคาร เมืองไทยจะแย่ คอมมิวนิสต์จะเกิดเร็วขึ้น และถ้าคอมมิวนิสต์ยึด อำนาจได้เมื่อไหร่ เขาก็ต้องยึดธนาคาร เอาธนาคารไปเป็นของชาติ ของประชาชน เขาจะต้องตัดต้นตอของระบบขูดรีดคนจนที่นักการเมืองแบบสามทรราชเข้าไปสร้างไว้ในธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย
ฉันอยากพบเธอเหลือเกิน ระพินทร์ ฉันต้องการจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรและทำอะไร เธอเดินอยู่ข้างถนน เธอคงท้อใจเต็มทีแล้ว แต่ฉันรู้จักเธอดี เธอคงไม่ถอยหลัง เธอคงจะก้าวไปข้างหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ฉันรู้สึกว่าเวลานี้ตั้งแต่ประชาชนได้ปฏิวัติเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เมืองไทยต้องการก้าวหน้า ต้องการยกฐานะของคนจน ต้องการกวาดล้างความชั่วทางการเมืองที่ได้สะสมมาตลอด ๔๐ ปี เธอจะทำอะไรบ้างในเวลาเช่นนี้? ธรรมนูญได้บอกฉันว่า คนข้างถนนอย่างเธอกำลังทำงานกับประชาชน กำลังพูดกับประชาชน เพื่อบอกประชาชนให้รู้ตัวว่าชาติคับขันมาก และชาวดินทั้งปวงจะช่วยกันแก้ไขได้อย่างไร เธอกำลังหวังพึ่งประชามติ เพราะเธอคงจะพึ่งใครไม่ได้แล้ว ฉันเดาอย่างนี้ก็ด้วยคำบอกเล่าของธรรมนูญ คนมีเงินมีอำนาจเขากำลังเป็นเจ้าสำราญ มีความสุขสบายทั้งตัวเขาและครอบครัวญาติมิตรของเขา เห็นธรรมนูญบอกว่าพวกนี้เขากินเลี้ยงกันทีหนึ่งตามเหลา ราคาอาหารที่เขาจ่ายต่อมื้อ คนจนครอบครัวหนึ่งกินได้เป็นเดือน ๆ ฉันห่วงแทนเธอ คนเหล่านี้มีทั้งอำนาจการเมืองและอำนาจการเงิน คิดแต่จะเอาตัวรอด เป็นข้าราชการที่กินสบายนอนสบาย เป็นนักการเมืองที่คิดแต่เก้าอี้ ครองชาติครองเมือง โดยไม่มีโครงสร้างชาติอะไรที่จะแก้ปัญหาสังคมที่พื้นฐานได้ มันคงเหมือนเมืองจีนสมัยท่านเจียงไคเช็ค คนพวกนี้ครอบครองด้วยอำนาจการเงินกับอำนาจการเมือง เห็นแก่ตัว เอาตัวรอด ไม่อยู่กับประชาชน ไม่เข้าข้างประชาชน เขาเอาให้มาก ให้เราแต่น้อย เขาทำให้เกิดการแบ่งแยกในสังคมซึ่งเป็นอันตรายมาก เขาไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำลายชาติของเขา
ระพินทร์ที่รัก ชาติต้องการคนที่อยู่กับประชาชน เพื่อช่วยประชาชนที่ถูกย่ำเหยียบให้ยืนขึ้น ประชาชนในเมืองไทยเป็นคนรักสงบ มีสันโดษ ปกครองง่าย แต่ถ้าไม่ปกครองให้ดี เขาจะทนไม่ได้ คนเรามีขอบเขตของความอดทน ถ้าพ้นขอบเขตไปนาน ๆ เขาก็จะต้องดิ้นรนให้ชีวิตรอด ไม่มีใครยอมตาย ไม่มีใครยอมให้ถูกกระทืบไปทุกวันจนสิ้นใจ เธอคงกลัววันที่ประชาชนจะทนไม่ได้ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอไม่มีอำนาจ ไม่มีเงิน เธอยืนอยู่ข้างถนนที่เต็มไปด้วยขอทาน เต็มไปด้วยคนจนที่ต้องจี้เขากิน ฉันว่าเธอคงช่วยอะไรไม่ได้ดอก มันสายเกินไปเสียแล้ว เธออาจจะต้องพบกับนาทีสุดท้ายของเมืองไทย คือนาทีที่พวกเจ้าสำราญจะวอดวายเหมือนฝรั่งเศส ๑๗๘๙ และเหมือนรัสเซีย ๑๙๑๗ คือนาทีที่คนไทยจะทนถูกกระทืบต่อไปไม่ได้
ฉันไม่อยากให้คนจนแก้ปัญหาด้วยวิธีของคอมมิวนิสต์แบบที่เมืองจีนได้แก้กันมา เมืองไทยไม่เหมือนเมืองจีน เมืองจีนต้องแก้ด้วยคอมมิวนิสต์ เพราะมีพลเมืองถึง ๘๐๐ ล้าน และคนจีนได้ทุกข์ทรมานมาด้วยโรคมะเร็งถึง ๑๐๐ กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ชาติมหาอำนาจเข้าไปรุกรานกดขี่อย่างโหดร้าย เมืองไทยมีพลเมืองเพียง ๔๐ กว่าล้านคน มีแผ่นดินอุดม มีพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานของความดี มีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม มีประเพณีที่สูงด้วยน้ำใจ เมืองไทยไม่ต้องแก้ด้วยคอมมิวนิสต์ก็ทำได้โดยไม่ยากเลย เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ คนไทยใจดีปกครองง่าย ปัญหามันมีเพียงว่าเราจะจัดการเฉลี่ยความอุดมสมบูรณ์ให้กระจายออกไปถึงคนไทยในชนบทและคนไทยในสลัมได้อย่างไร วิธีนั้นมีอยู่แล้วว่าจะทำได้อย่างไร เธอเคยพูดไว้กับฉันมากมาย เมื่อสมัยเราอยู่ในปักกิ่งด้วยกัน
ฉันเขียนมายืดยาว อยากให้รู้ว่าฉันคิดถึงเธอมากเหลือเกิน ฉันดีใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่
เราจะต้องพบกัน ระพินทร์จ๋า เธอไม่พยายามไปปักกิ่งบ้างหรือ ปักกิ่งกำลังขายดี มีอำนาจต่อรองมาก เธอควรไปดูว่าปักกิ่งวันนี้กับปักกิ่งเมื่อ ๔๐ ปีก่อนแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ฉันอยากให้เธอไปดูคอมมูนและสหกรณ์ คนจีนไม่มีเสรีภาพก็จริง แต่เขามีกำลังใจ เวลานี้เขายืนหยัดเป็นคนคนเดียวกัน เป็นยักษ์ใหญ่ของโลก การรวมกำลังเป็นยอดของความสำเร็จ ฉันภาวนาให้เขาสำเร็จ เมืองไทยควรรวมกำลังกันบ้างทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ แต่ไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงคอมมิวนิสต์ เพราะไทยแปลว่าเสรี ที่เธอเคยพูดให้ฉันฟัง
รักเธอคิดถึงเธอทุกขณะลมหายใจ จะคอยเธออยู่ที่ปักกิ่งจนกว่าฉันจะสิ้นใจ
รักเธอสุดชีวิต
วารยา