แรงดลใจที่ทำให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเมืองปักกิ่ง

(เบื้องหลังของการเขียนเรื่อง ปักกิ่ง–นครแห่งความหลัง)

หนังสือเล่มนี้ได้แต่งขึ้นเมื่อ ๓๒ ปีก่อน สมัยเมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๓๒ ปีพอดี ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่เขียนไว้ จึงเป็นความรู้สึกนึกคิดของคนหนุ่มที่เห็นโลกอยู่ในกำมือ จะบันดาลให้เป็นอะไรก็ได้ เดี๋ยวนี้เวลาได้ผ่านไปแล้ว ๓๒ ปี นานพอที่จะทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า โลกไม่ได้อยู่ในกำมือข้าพเจ้า จะบันดาลให้เป็นอะไรตามใจตัวเองนั้นหาได้ไม่ ความคิดเห็นต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหัวใจ และในตัวหนังสือเป็นได้แต่เพียงความฝัน มีดีอยู่หน่อยเดียวคือฝันดี ไม่ได้ฝันร้ายต่อผู้ใด ข้าพเจ้าได้เคยคิดถึงโลกที่เราผู้เป็นมนุษย์เช่นวารยาเป็นต้น ได้ถูกยัดเยียดให้มาเกิดโดยที่เราไม่น่าจะปรารถนาเช่นนั้นเลย เพราะเราต้องมาแย่งกันกินแย่งกันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งต้องมีการต่อสู้กันอย่างเลือดตกยางออก ระหว่างฝ่ายที่ไม่มีกับฝ่ายที่มี ทำให้โลกต้องกลายสภาพเป็นแผ่นดินที่เจริญแต่วัตถุ จิตใจเจริญตามไม่ทัน แต่กลับจะเสื่อมลง เพราะวัตถุยิ่งมีมาก ความโลภ ความหลงและความเกลียดโกรธของแต่ละฝ่ายก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งถ้าดับเสียไม่ได้ ไฟบรรลัยกัลป์ที่เราเคยคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันก็จะต้องมาล้างโลกอย่างแน่นอนในวันหนึ่ง

ข้าพเจ้าเคยคิดว่า มนุษย์ที่เจริญแล้วหรือที่เรียกกันว่า civilized man ควรจะหาทางออกของชีวิตได้ เพราะเขาควรจะแลเห็นแสงสว่างในความมืดที่ได้มืดมานาน จิตใจของเขาควรจะเจริญมากพอเมื่อเปรียบกับสมัยหิน เขาควรจะอยู่ร่วมโลกกันได้ด้วยความเข้าใจกันและเห็นใจกัน ข้าพเจ้าบูชาพระบริสุทธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาความเมตตาของพระเยซู บูชาความกตัญญูของขงจื้อ บูชาความรักของมั่วจื่อ บูชาความเสียสละของมหาตมาคานธี ฯลฯ ท่านเหล่านี้มีความดีที่ยั่งยืนนาน มีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจมนุษย์ทั่วโลก มิได้มีแต่ชื่ออยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์เฉย ๆ เหมือนตัวละครที่ตายแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่ามนุษย์ควรจะบ่ายหน้าไปหาความเจริญทางใจได้ โดยไม่ต้องหันหลังกลับไปหาจิตใจอันโหดเหี้ยมของมนุษย์สมัยหินอีก แต่เมื่อ ๓๒ ปีได้ผ่านไปแล้ว ในวันนี้ ข้าพเจ้าก็ได้สำนึกอย่างแจ้งชัดว่า จิตใจของมนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้บ่ายหน้าไปหาความสูงเหนือจิตใจของสัตวโลกชนิดอื่น ๆ อย่างที่ควรจะสบายใจได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจิตใจมนุษย์ได้ต่ำลง–และต่ำลงทุกวันเพราะเหตุการณ์แวดล้อม และพร้อมกับความต่ำนี้ ศาสนาก็เสื่อมตามไปด้วย เวลานี้เราพบพวกฮิปปีผมยาวที่ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นสรณะที่ดีกว่ากัญชา เราพบนักเศรษฐกิจการเมืองที่คลั่งตัวเอง หลงตัวเองเหมือนคนบ้า แลเห็นชีวิตมนุษย์เป็นเสมือนมดปลวกที่เขาสามารถขยี้ให้บี้แบนไปอย่างโหดร้ายทารุณ เพียงเพื่อตัวเองจะได้เด่นดังอยู่ในประวัติศาสตร์เท่านั้น เราพบนักขูดรีดกินแรงที่หากินกับเงิน ใช้อำนาจของเงินสร้างความทุกข์ยากให้แก่คนที่ไม่มีอยู่แล้ว เพื่อให้โลกนี้กลายเป็นเมืองนรกสำหรับคนจน คนเคราะห์ร้าย เป็นการเปิดทางให้นักปฏิวัติโลกฝ่ายซ้ายมีกำลังอำนาจมากขึ้น เพื่อจะล้างโลกด้วยเลือด และเผาโลกให้ละลายไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์ สิ่งที่เราพบเหล่านี้เป็นสัญญาณแห่งความพินาศของอารยธรรมที่มนุษย์ได้ใช้เวลาอย่างน้อย ๕,๐๐๐ ปีสร้างสรรค์มา มันเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงว่ามนุษย์เกิดมาสร้างแล้วก็ทำลาย ซึ่งประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วแต่ละยุค

เรื่องของเมืองปักกิ่ง เป็นเรื่องของการสร้างแล้วก็ทำลายมาตลอดเวลาอันยาวนานอย่างน้อยที่สุด ๓,๐๐๐ ปี ดังที่ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้แล้วในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่เกิดปฏิวัติใหญ่ล้มระบอบฮ่องเต้ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ ปักกิ่งก็พบแต่ความปั่นป่วนทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ดอกเถา ดอกซิ่งยังคงบานอยู่เต็มต้นในฤดูชุนเทียน ชุนเทียนของปักกิ่งสวยงาม แต่ข้างหลังความสวยงามนี้ เราพบพายุการเมืองที่ไม่มีเวลาสงบ ในบัดนี้ปักกิ่งได้เปลี่ยนสีมาเป็นสีแดง นับแต่ได้เปลี่ยนจากสีม่วงมาเป็นสีน้ำเงินเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ สีแดงนี้ก็ไม่ได้ทำให้ปักกิ่งสงบเงียบลงได้ ทั้ง ๆ ที่หิมะกับดอกเถาก็ยังมีอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้แต่หวังว่าปักกิ่งคงจะยังไม่ต้องถูกทำลายไป ดังเช่นที่เจงกิสข่านได้ทำลายมาแล้วเมื่อ ๗๐๐ กว่าปีก่อน ความทะเยอทะยานของเมาเซตุงกับพวกที่จะครองโลกกำลังทำลายปักกิ่ง ถ้าแม้โชคของปักกิ่งจะร้ายพอ เราก็ได้แต่หวังกันว่านักปฏิวัติโลกผู้มากด้วยโมหจริต คงจะกลับมาหาเหตุผลได้ทันเวลา เพื่อพิจารณาดูว่าเราจะปฏิวัติโลกด้วยเลือดเพื่อหวังความสำเร็จในกองเลือด หรือว่าเราจะปฏิรูปโลกด้วยประชามติ เพื่อหวังความสำเร็จในประชามติที่ยั่งยืนนาน

วันนี้ เวลาได้ผ่านไปแล้ว ๓๒ ปี นับตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่อง ปักกิ่ง–นครแห่งความหลัง ข้าพเจ้าพอใจจะสรุปความรู้สึกของข้าพเจ้าว่า เหตุการณ์ตลอดเวลา ๓๒ ปีที่ได้ผ่านไปแล้ว ได้พิสูจน์ความเชื่อของข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าพบวารยาในปักกิ่ง ว่าเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเชื่อโชคซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของลิขิตแห่งกรรมเก่า และโชคดีก็ได้พิสูจน์ว่าลิขิตแห่งกรรมเก่ามีอยู่จริง ชีวิตของวารยาโดยเฉพาะของข้าพเจ้าได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๓ จนกระทั่งบัดนี้ คือ พ.ศ. ๒๕๑๕ วารยาได้ยอมแพ้แก่การทำความดีเพราะกรรมดียังไม่ได้ส่งผล แต่วารยาก็ได้พบปรากฏการณ์ของลิขิตแห่งกรรมเก่า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ดี จึงได้หนีทุกข์ไปอยู่ในโบสถ์เซนต์แมรีในนครฮาร์บินได้สำเร็จ สำหรับข้าพเจ้า โชคได้พิสูจน์ว่าลิขิตของกรรมเก่าเป็นลิขิตของบาป ข้าพเจ้าคงจะทำบุญไม่มากในชีวิตนี้จึงมีแต่อุปสรรค ตลอดเวลา ๖๔ ปีข้าพเจ้าได้พบแต่อุปสรรค ความตั้งใจดีของข้าพเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อใครแม้แต่ตัวเอง การทำดีของข้าพเจ้าต้องล้มเหลว และกลายเป็นการทำความผิด ตลอดเวลา ๖๔ ปีข้าพเจ้าได้พบความสุขที่แจ่มใส เพียงเฉพาะที่แหลมสแตนเลย์ แห่ง St. Stephen’s และที่คุ้นหมิงหูแห่งภูเขาว่านโส้วซาน เมื่อได้จากสแตนเลย์และคุ้นหมิงหูกลับเมืองไทยแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้พบแต่ความผิดหวัง ความจริงความผิดหวังไม่น่าจะเกิดแก่ใครถ้าเขาไม่หวัง แต่เมื่อมีคนสอนให้ข้าพเจ้ามีความหวัง เช่น ดร. เจี่ยงเมิ่งหลิน ดร. หูชื่อ ศาสตราจารย์หวูมี่ ผู้เป็นอาจารย์ที่หวังดีต่อข้าพเจ้าในนครปักกิ่ง ข้าพเจ้าอดที่จะหวังไม่ได้ และไม่แต่เท่านั้น ตัวละครของชีวิตที่ข้าพเจ้าพบในเมืองจีน เช่นสุบันดีวิจายานักปฏิวัติแห่งชวา เจียงเฟนักต่อสู้แห่งขบวนนักศึกษาจีน จางหลินนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ที่ยอมตายคาปากกาเพื่ออุดมการณ์ของความรักแห่งชาติมนุษย์ หนูผิงเฟนักศึกษา ผู้นำขบวนการกู้ชาติในสงครามซามูไร ฯลฯ คนเหล่านี้ได้ทำให้ข้าพเจ้าคิด ได้ทำให้ข้าพเจ้าสรุปชีวิตของชาติมนุษย์ได้ว่า : “เรามีชีวิตอยู่ร่วมโลกกันมาตลอดยุคของประวัติศาสตร์ด้วยการกินแรงกัน การกินแรงทำให้เกิดความอดอยากยากจน ความอดอยากยากจนทำให้เกิดการต่อต้านและการแตกแยก และบัดนี้เราได้เดินทางมาถึงจุดที่ร้ายกาจของการแตกแยกแล้ว” เราจะผ่านจุดระเบิดนี้ไปได้อย่างไร? เราจะแก้ไขอย่างไร?

ข้าพเจ้าได้เห็นความทุกข์ยากในเมืองจีน ข้าพเจ้าได้เห็นปฏิกิริยาอันรุนแรงของผู้นำคนจนในเมืองจีน ข้าพเจ้าได้เห็นภัยที่จะเกิดแก่เมืองไทยที่ข้าพเจ้าอาศัยเกิด ข้าพเจ้ากลับเมืองไทยแต่เมืองไทยได้ปฏิวัติแล้ว ๔ ปี เมืองไทยกำลังเผด็จการ กำลังบูชาฮิตเลอร์ เกอร์ริง ผู้นำอันยิ่งใหญ่ของชาวอารยัน กำลังเห่อจะเป็นมหาอำนาจ ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ แล้วตำรวจก็สะกดรอยตามข้าพเจ้าอยู่เกือบยี่สิบปี ข้าพเจ้าได้สำนึกว่าเมืองไทยสมัยปฏิวัติเขาเล่นพวก เขาผูกขาดความคิด ถ้าเราไม่ก้มหัวให้เขา ความคิดของเราก็ใช้การไม่ได้

นี่คืออุปสรรคที่ข้าพเจ้าได้พบในเมืองไทย ตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าลงจากเรือคาร์ลกัน เหยียบท่าบอร์เนียวที่ข้าพเจ้าได้เหยียบเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๔๗๑ เพื่อจะขึ้นเรือคาร์ลกันลำเดียวกันนี้ไปเมืองจีน

เรื่อง ปักกิ่ง–นครแห่งความหลัง ไม่ได้เขียนขึ้นเพียงเพื่อจะแสดงภาพชีวิตของวารยาเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งจะวาดภาพชีวิตของปักกิ่งด้วย คือปักกิ่งที่สวยงามด้วยศิลปะ โบราณวัตถุ และธรรมชาติ แต่เบื้องหลังของความสวยงามนี้ ก็คือความทุกข์ยากของประชาชนผู้ยากไร้ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กำไรจากปักกิ่งไม่ใช่ชีวิตและความรักของวารยา ความยากไร้ของประชาชนและการกดขี่ใช้อำนาจของผู้ทรงอำนาจ คือกำไรของชีวิตที่ข้าพเจ้าได้รับ ซึ่งข้าพเจ้าหาเรียนไม่ได้ในมหาวิทยาลัย

และความยากไร้ของประชาชนที่ถูกกดขี่ย่ำเหยียบ เพื่อจะบังคับขับต้อนให้ไปเป็นคอมมิวนิสต์ โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์คืออะไรนี้ ได้ฝังจมอยู่ในจิตสำนึกของข้าพเจ้า มันอาจจะเป็นความคิดโง่ ๆ ที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้ว่า เมืองไทยมีคนจนมาก และต้องแก้ปัญหาความยากจนนี้ก่อนอื่น ด้วยการกำจัดการกินแรง (exploitations) และด้วยการนำระบอบเศรษฐกิจสหกรณ์มาใช้อย่างเป็นการเป็นงาน เพื่อส่งเสริมอุดมการณ์ของลัทธิปัจเจกชนนิยม ให้ดำรงอยู่เหนืออุดมการณ์ของลัทธิสังคมนิยมที่กำลังระบาดเข้ามา

ในปักกิ่งเมื่อ ๓๒ ปีก่อน ข้าพเจ้าได้เกิดความสำนึกอย่างน่ากลัวว่า สักวันหนึ่ง ก่อนที่ข้าพเจ้าจะแก่ชราและตายจากเมืองไทยไป คลื่นปฏิวัติของพวกซ้ายสุดจะต้องซัดสาดมาถึงฝั่งไทย เราจะต้องทำงานอย่างเร่งรีบเพื่อนแก้ปัญหาความยากจนของพลเมือง แต่ตลอดเวลา ๓๒ ปี ข้าพเจ้าไม่ได้พบการแก้ปัญหาความอดอยากยากจนแต่ประการใดในวิถีทางที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าได้พบแต่การแย่งชิงอำนาจกันเองระหว่างนักปฏิวัติ นักการเมืองของเราที่ได้ผ่านไปแล้วโดยมากแสวงแต่อำนาจ ไม่ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจลงไปในขบวนการปฏิวัติ ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนให้สำเร็จเด็ดขาดไปได้อย่างไร จากจำนวนพลเมือง ๑๐ กว่าล้านจนถึง ๓๐ กว่าล้าน จากจำนวนคอมมิวนิสต์ที่เคยมีอยู่แต่ในโรงเรียนจีน กรุงเทพฯ–ธนบุรี จนถึงมีอยู่ในต่างจังหวัดถึง ๓๗ จังหวัดในบัดนี้ เราก็ยังคงทำงานกันไปอย่างงุ่มง่ามเพียงสัปดาห์ละไม่เกิน ๓๐ ชั่วโมงโดยเฉลี่ย ในขณะเดียวกันคอมมิวนิสต์ได้ทำอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ตลอด ๒๔ ชั่วโมงทุกวันไม่เว้นวันอาทิตย์ เรายังคงยึดมั่นอยู่ในนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองและการปกครอง เรายังไม่มีโครงการสร้างชาติที่แน่นอนว่าเราจะเดินไปทางไหน เพื่อให้ชาติรอดพ้นจากอันตราย ในท่ามกลางวิกฤติการณ์อันทวีความร้ายแรงยิ่งขึ้นทุก ๆ ชั่วโมง

ปักกิ่ง–นครแห่งความหลัง ได้ให้ข้าพเจ้าทั้งความหลังและความหวัง ข้าพเจ้ายังหวังต่อไป ทั้ง ๆ ที่ทุก ๆ นาทีที่กลายเป็นความหลัง เป็นนาทีที่ผ่านไปในความว่างเปล่าและความเศร้าสลด

สด กูรมะโรหิต

ไร่แผ่นดินไทย

วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๑๕

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ