ลมหนาวยังไม่ขาดสาย แม้สปริงจะได้ย่างเหยียบเข้ามาแล้ว สีขาวของหิมะค่อย ๆ ลบหายไปจากแผ่นดินในลุ่มน้ำหวงเหือ สีเขียวชอุ่มและสีชมพูได้ปรากฏขึ้นแทน จะแลไปสารทิศใดก็พบแต่ช่อดอกไม้และตัวผึ้ง ดอกท้อดอกซิ่งคลี่กลีบสีชมพูอ่อนและชมพูแก่ออกต้อนรับอากาศในฤดูสปริง ปักกิ่งกำลังมีชีวิตใหม่ ในสวนสาธารณะเต็มไปด้วยฝูงคน โบตั๋นและสาวเย่าชูดอกไสวอยู่ท่ามกลางสีเสื้อผ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ชั่วโมงของการเที่ยวเตร่ได้มาถึงแล้ว ชาวเมืองทุกชั้นทุกวัยพากันออกไปสูดอากาศอันสดชื่นอยู่ในดงของบุปผชาติ แม่บ้านจัดแจงเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อขับไล่กลิ่นถ่านหินซึ่งลุกโพลงอยู่ในเตาเหล็กตลอดฤดูเหมันต์ สปริงกำลังยิ้มรับอยู่ตรงหน้า สปริง ๑๙๓๒!

เหตุการณ์ที่คาราซาร์ในคืนนั้นไม่ได้ผ่านเข้ามาในสมองข้าพเจ้าอีกเลย ข้าพเจ้าลืมวารยาอย่างสนิท อันที่จริงหล่อนก็ไม่ควรมีอะไรที่น่าจะทำให้ข้าพเจ้าต้องเก็บเอามาคิด วารยาเป็นผู้หญิงสามัญที่สังคมอันกว้างใหญ่สามารถกลืนให้หายสาบสูญไปได้อย่างง่ายที่สุด สำหรับข้าพเจ้าสิ่งที่แปลกในตัววารยาก็คือความงาม งามอย่างประหลาด–งามเรียบ ๆ เย็น ๆ–งามที่ดวงหน้าและแววตา–งามที่กิริยาและคำพูด ความงามเหล่านี้ค่อนข้างจะเป็นความงามของผู้หญิงชาวตะวันออก แต่เมื่อชาวมอสโกอย่างวารยาได้เป็นเจ้าของความงามชนิดนี้ ความแปลกจึงได้เกิดมีขึ้น อย่างไรก็ดี ความแปลกทั้งปวงในตัวของวารยาตรึงใจข้าพเจ้า อยู่ชั่วขณะที่ประคองหล่อนลอยไปเหนือเวทีเต้นรำในคืนนั้น เมื่อเราจากกันแล้วมันก็เป็นแต่ความฝัน ซึ่งถูกกลืนหายสูญไปในท่ามกลางของเหตุการณ์แห่งชีวิตประจำวัน

๑๙๓๒! เลือดกำลังนอง ดอกไม้กำลังบาน ความสุขกับความเศร้ากำลังคลุกเคล้ากันอยู่ทั่วจีนเหนือ รอยยิ้มของสปริงแม้จะบริสุทธิ์ผุดผ่องสักเพียงใด แต่ก็หาอาจจะลบรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนแผ่นดินให้จางหายไปได้ไม่ สีชมพูของดอกไม้และสีแดงของเลือดมนุษย์ ดูช่างขัดกันอย่างจะมองดูไม่ได้เลย สีของความร่าเริงกับสีของความตาย! รอยยิ้มกับน้ำตา!

ทุกคนที่กำลังหายใจอยู่ในแผ่นดินภาคปลายแห่งบุรพทิศ ณ บัดนั้น ต่างก็พากันรู้สึกว่าหัวเลี้ยวสำคัญของประวัติศาสตร์แห่งบุรพาทวีปได้มาถึงอีกเสี้ยวหนึ่งแล้ว เสียงปืนนัดแรกที่ดังขึ้นในนครมุกเด็น เมื่อเช้าตรู่วันที่ ๑๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๑ ได้เป็นเสมือนสัญญาณที่บอกให้คนทั้งหลายทราบว่า ตะวันออกไกลได้ขึ้นต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่แล้ว ตะวันออกไกลซึ่งเป็นคลังดินระเบิดอันร้ายแรงมาตั้งแต่นาทีแรกที่ผิวเหลืองได้ชัยชนะเหนือผิวขาวเมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๕ ได้กำลังจะระเบิดออกตูมใหญ่ภายในเวลาไม่ช้านัก สปริง ๑๙๓๒! ๒๗ ปี หลังจากที่กองทัพแห่งราชอาณาจักรอาทิตย์อุทัยได้ขยี้กองทัพแห่งราชอาณาจักรหมีขาวจนละเอียดพินาศไปที่ปอร์ตอาร์เทอร์ กองทัพแห่งธงอาทิตย์อุทัยนี้ก็ลุกขึ้นหน้าเดิน เข้าเผชิญกับลัทธิจักรวรรดินิยมของมนุษย์ผิวขาวอีกครั้งหนึ่ง ถูกแล้ว ญี่ปุ่นกำลังเริ่มศึกกับจีน แต่โลกรู้ว่าจุดหมายปลายทางของญี่ปุ่นก็คือการจัดระเบียบใหม่ในตะวันออก พวกฝรั่งรู้ดีว่าการจัดระเบียบใหม่นี้มีความหมายว่าอย่างไร

ทั่วทั้งจีนเหนือในบัดนั้น แม้ความสดชื่นสวยงามของฤดูสปริงจะซาบซ่านไปในความรู้สึกของคนทั้งปวงโดยทั่วถึงก็ดี แต่ความรู้สึกอันหนึ่งก็แอบซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ คือความรู้สึกต้องการความปลอดภัย ความรู้สึกกังวลเป็นห่วงในชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นธรรมชาติวิสัยของปุถุชนผู้ยังมีความยึดมั่นอยู่ในความเป็นเจ้าของ เราเดินท่องเที่ยวไปในดงของบุปผชาติอันสวยงามที่จงซานกงหยวนหรือที่พระราชวังฤดูหนาว แต่ขณะที่เราพิจารณาดูธรรมชาติอันวิจิตรตระการของพันธุ์บุปผานานาชนิดนี้ เราก็อดซุบซิบกันไม่ได้ถึงเหตุการณ์อันกำลังสานตัวเข้าสู่ระดับรุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะ แมนจูเรียกำลังนองเลือด แผ่นดินผืนนี้เมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๕ ได้เป็นสาเหตุในการศึกระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น ซึ่งผลในประการสุดท้ายก็คือ รัสเซียถูกขับไล่ออกไปจนสิ้นเชิง ญี่ปุ่นถือว่าการศึกครั้งนั้น เป็นการช่วยจีนรักษาแมนจูเรียไว้ไม่ให้ต้องตกไปอยู่ในกรงเล็บของหมีขาว นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังได้เข้าไปลงทุนก่อสร้างแมนจูเรียไว้มากมาย เพราะฉะนั้นญี่ปุ่นจึงชี้แจงว่าตนจำต้องสงวนสิทธิและป้องกันผลประโยชน์ในแผ่นดินผืนนี้ให้ดำรงคงอยู่ แมนจูเรียหลังจาก ค.ศ. ๑๙๐๕ เป็นเสมือนละครการเมืองโรงสำคัญของตะวันออก ดร. เชอร์วูด เอ็ดดี้ บอกว่า แมนจูเรียเป็น The world’s danger zone คือเป็นเขตแห่งภัยของโลกมนุษย์ ญี่ปุ่นต้องวิวาทกับจีนเรื่อยมาเพราะคดีแมนจูเรีย เมื่อสมัยจางโซหลินปกครองแมนจูเรียนั้น เลือดก็เกือบจะนองแผ่นดินมาครั้งหนึ่ง ครั้นจางโซหลินถูกระเบิดตายอย่างลึกลับบนรถไฟแล้ว จางโซเหลียงผู้บุตรก็ขึ้นถือบังเหียนการปกครองในแมนจูเรียต่อไป และในตอนนี้เองการกระทบกระเทือนก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พอถึงคืนวันที่ ๑๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๑ กองทัพแห่งธงอาทิตย์อุทัยก็เข้ายึดแมนจูเรีย และจางโซเหลียงผู้มึนเมาไปด้วยฝุ่นก็ถูกขับออกไปจากบัลลังก์ นับตั้งแต่บัดนั้นมาโลกก็เรียกจางโซเหลียงว่า The uncrowned King of Manchuria

สงครามแมนจูเรียไม่หยุดอยู่แค่กำแพงเมืองจีนเท่านั้น แต่ได้ข้ามทะเลเหลืองลงไปถึงเซี่ยงไฮ้ด้วยความรุนแรงของการรบที่ขยายตัวออกไปทุกขณะ ทำให้ทุกคนรู้สึกคล้ายกับว่าชีวิตกำลังแขวนอยู่กับเส้นด้าย

แต่ดอกท้อแห่งฤดูสปริงก็ยังคงบานสะพรั่งอยู่เต็มต้นทั่วนครปักกิ่ง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ