๓๒

“ฮัลโหล วารยา ไม่นึกว่าจะพบเธอที่นี่ สบายดีหรือมิสหวู” ข้าพเจ้าทักขึ้นก่อน แล้วก็ชะโงกหน้าไปทักสุภาพสตรีเพื่อนของหล่อน ซึ่งนั่งชิดหล่อนอยู่ทางขวามือ

วารยาสะดุ้งเล็กน้อย เพราะหล่อนเองก็ไม่คิดว่าจะมานั่งอยู่ชิดกับข้าพเจ้าพอดี ยิ้มอย่างอ่อนหวานเรียบร้อยตามเคย แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า

“นี่อะไรกัน ระพินทร์ เคราะห์ดีเหลือเกินที่ฉันยังไม่ได้เริ่มนินทาเธอ”

“เราพูดถึงเธอมาตลอดทาง” เพื่อนของวารยาเอ่ยขึ้นบ้าง “แต่วางใจเสียเถิด เรานินทาเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“เธอมีภาพอะไรบ้างไหม มิสหวู? หมู่นี้ไปนั่งที่ว่านโส้วซานบ้างหรือเปล่า?”

“ฉันไปกับวารยาสองวัน ได้มาสามภาพ”

“อยากดูไหมล่ะ ระพินทร์? ชิ้นเอกทั้งนั้น” วารยาถามแซงขึ้น

“ถ้าเธออยู่บ้านในวันพุธฉันจะไปดู ภาพสีน้ำไม่ใช่หรือ”

“สีน้ำทั้งสามภาพ มีสะพานอูฐที่เธอโปรดด้วยภาพหนึ่ง” วารยาตอบ

ข้าพเจ้าหันไปแนะนำให้มนัสรู้จักกับสุภาพสตรีทั้งสอง นายแพทย์ของเราตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะดูเหมือนจะเป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกที่เขามีโอกาสรู้จักในปักกิ่ง เมื่อข้าพเจ้าอธิบายว่ามนัสเป็นนายแพทย์เพิ่งมาจากเมืองไทย หญิงทั้งสองก็แสดงกิริยาประหลาดใจ

“ถ้าเช่นนั้น” วารยาพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “ฉันก็มีโชคดีที่ได้รู้จักกับสุภาพบุรุษคนไทยอีกคนหนึ่ง”

ภาพยนตร์คืนนั้นเป็นเรื่องในรัสเซีย แสดงถึงชีวิตของนางเอกซึ่งเห็นชีวิตเป็นของสวยงาม แต่เมื่อได้พบภาพอันแท้จริงของมันเข้า หล่อนก็ฆ่าตัวตายโดยการโดดให้รถไฟทับ การ์โบส์แสดงบทบาทอย่างลึกซึ้งจับใจ คนดูทุกคนเงียบกริบเมื่อจบเรื่องแล้ว สังเกตเห็นสีหน้าของวารยาเศร้าหมองปราศจากความร่าเริง มันเป็นเรื่องที่แทงใจดำ ไม่มีปัญหาเลย!

รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะจงซานกงหยวนแต่เช้า พบโจวกวอเสียนนั่งซดน้ำชาอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นสนใหญ่ริมสระน้ำ ชายผู้นี้อายุประมาณ ๕๕ ปี เคยเป็นกงสุลจีนที่ชวา เขาดึงให้ข้าพเจ้านั่งคุยด้วย เราพูดกันถึงเรื่องที่แห้งแล้งที่สุด นั่นคือเรื่องการเมืองในจีนเหนือ ข้าพเจ้าไม่ออกความเห็นอะไรมาก คงได้แต่ฟังและสังเกตกิริยาท่าทางของเขาตลอดเวลา โจวกวอเสียนดูเหมือนจะไม่นิยมระบอบการปกครองของรัฐบาลจีนเท่าใดนัก นี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ความคิดเห็นในเมืองจีนมีการแตกแยกกันมากมาย ความเป็นปึกแผ่นมีน้อย ข้อนี้เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้จีนเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วไม่ได้

ข้าพเจ้าเสียเวลานั่งอยู่กับฝ่ายค้านของรัฐบาลจีนครึ่งชั่วโมงกว่า โจวกวอเสียน พูด–พูด–พูด ดูประหนึ่งว่าเขาจะต้องการพูดให้จุใจ เพราะนาน ๆ จะพบกับชาวต่างประเทศที่คุยด้วยได้สักคนหนึ่ง ข้าพเจ้าฟังเพลิน รู้สึกคล้ายกับดูละครการเมืองฉากหนึ่ง พอแดดไล่หลังเราก็ชวนกันกลับ ข้าพเจ้าแยกไปที่คาบารอฟสก์เพื่อเยี่ยมวารยา

สตรีสาวชาวรัสเซียผู้มีดวงตาเศร้าและงาม แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบจีน ดูหล่อนร่าเริงเมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้า วารยากล่าวขึ้นเป็นคำแรกว่า “ถ้าเธอมาช้าอีกนิดเดียวก็จะไม่พบฉัน”

“ถ้าเช่นนั้นฉันควรจะกลับได้” ข้าพเจ้าพูดพลางหยิบหมวกขึ้นถือไว้ “เธอมีนัดที่ไหนหรือ?”

วารยายิ้มละไม

“อย่าตกใจไปเลย ไม่สำคัญดอก ฉันจะไปเยี่ยมเอดนาสักหน่อย”

วารยาหมายถึงศิลปินเพื่อนของหล่อนคนนั้น ข้าพเจ้าจึงถามว่า

“เตรียมตัวจะไปไหนกันอีกละกระมัง เธอเที่ยวเก่งเหลือเกินหมู่นี้”

หล่อนพิงเก้าอี้ หงายศีรษะไปทางหลัง ตาจ้องดูลายสลักบนเพดาน พลางพูดว่า

“ธรรมชาติที่สวยงามเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันชอบทะเลสาบคุ้นหมิงหูมาก เธอสังเกตเห็นสวอนคู่หนึ่งไหม?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะ

“สปริงได้ผ่านไปแล้ว ฤดูร้อนนี่เธอจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง?”

“ไม่มีที่ไหนเหมาะกว่าที่คุ้นหมิงหู”

“ฉันก็ตั้งใจจะไปเที่ยวที่นั่นเหมือนกันสำหรับปีนี้”

วารยาแย้มตากว้าง นั่งตัวตรง หันหน้ามาทางข้าพเจ้า

“เหมาะทีเดียว ระพินทร์ ฉันจะได้เพื่อนเดินทางที่ดีคราวนี้เอง”

ข้าพเจ้ามองดูตาหล่อน วารยารู้ทีจึงกล่าวต่อไปว่า

“บางทีเธอจะแปลกใจ ถ้าฉันจะบอกว่าเหลียงอาจไม่ไปตากอากาศปีนี้”

“ฉันพบเมื่อสัปดาห์ก่อน ดูเขามีธุระมาก”

“ถูกแล้ว มีธุระมาก” หล่อนพูดยิ้ม ๆ แต่น้ำเสียงค่อนข้างแหบเครือ “เราไม่ได้พบกันเกือบเดือนแล้วกระมัง”

ข้าพเจ้าชำเลืองดูหน้าวารยา สังเกตเห็นรอยขมวดที่หัวคิ้ว ริมฝีปากค่อนข้างซีด แววตาไม่สู้แจ่มใสนัก ความหวั่นไหวอันผิดปรกติเหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าด่วนเข้าใจเอาว่าหล่อนคงจะทราบเรื่องของเหลียงดีแล้ว

“รู้สึกเสียใจด้วยมาก ที่จริงฉันไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นไปอย่างนี้”

วารยาถอนใจเบา ๆ พยายามยิ้มอย่างชื่นบาน ยิ้มอย่างฝืนที่สุด

“ฉันรู้ดีว่าในโลกนี้เราจะหวังอะไรมากนักไม่ได้” หล่อนพูดอย่างดัดเสียงให้แจ่มใส “ที่จริงเหลียงเขาทำถูกแล้ว เขาควรแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น เป็นเชื้อชาติเดียวกัน ขนบธรรมเนียมประเพณีก็เหมือนกัน”

“เขาแนะนำให้แอลเลนรู้จักกับคู่หมั้นของเขาที่เทียนสินเมื่อสัปดาห์ก่อน” ข้าพเจ้าพูดอย่างพาซื่อ

วารยาสะดุ้งทั้งตัว หน้าซีดขาวเหมือนคนตาย

“คู่หมั้น!” หล่อนร้องอย่างเผลอสติ

ข้าพเจ้าใจหายวาบ อนิจจา! นี่วารยาเพิ่งรู้หรือนี่!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ