๒๓

ก่อนที่เราจะลงจากตำหนักร้าง ที่เป็นเสมือนโบราณวัตถุอันมีค่าชิ้นสำคัญ แอลเลนชี้ให้ข้าพเจ้าดูเรือบดลำหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางน้ำ ในเรือลำนั้นมีหญิง ๑ ชาย ๑ หันหน้าเข้าหากัน ฝ่ายหญิงนั่งอยู่ที่ท้ายเรือ ฝ่ายชายนั่งกลางลำมือทั้งสองจับพาย ทำท่าจะตีกรรเชียง ข้าพเจ้ามองปราดเดียวก็จำได้ว่าบุรุษผู้นั้นคือเหลียง เทพบุตรของวารยา ผู้หญิงที่มากับเขาเป็นสตรีชาวจีน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบจีน แต่ทันสมัยตามแบบอย่างของนครเซี่ยงไฮ้ คือแขนสั้นผ่าส่วนล่างสูงขึ้นพ้นจากเข่าจนถึงขาอ่อน กุ๊นด้วยแถบแพรใหญ่กว่าธรรมดา แม้คนทั้งสองจะอยู่ในระยะไกล แต่ความชินตากับแบบเสื้อผ้าทำให้ข้าพเจ้าใช้ความสังเกตได้อย่างไม่ผิดพลาด เหลียงแต่งแบบสากลชุดสีเทาอ่อน ๆ ผูกไทสีคล้ำ หวีผมเรียบตามเคย เขากำลังชวนให้เจ้าหล่อนผู้นั้นพูดตลอดเวลา กิริยาท่าทางของคนทั้งสองแสดงว่าสนิทสนมกันมาก สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือ คนทั้งสองได้มาอยู่ในเรือลำเดียวกัน ในสถานที่ซึ่งธรรมชาติกำลังร้องเรียก สถานที่ซึ่งเป็นเสมือนสื่อของการร่วมชีวิตจิตใจ ผู้หญิงคนนั้นคือใคร? หล่อนกำลังจะเป็นคู่รักคนใหม่ของเหลียงใช่หรือไม่? แล้ววารยาเล่าจะว่ากระไร?

ขณะที่ลงบันไดมายังพื้นล่าง แอลเลนพูดว่า

“เจ้าหนุ่มของเราเปรียวพอใช้ทีเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้เห็นเขาอยู่กับวารยา”

“ฉันอยากจะรู้นักว่า วารยาจะรู้สึกอย่างไรถ้ามาพบเข้าเช่นนี้”

“อย่าบ้าไปหน่อยเลย ระพินทร์” แอลเลนพูดเสียงดุ “ไม่มีใครเขาจริงจังกับชีวิตถึงเพียงนั้นหรอก”

“เธอคิดว่าวารยาเป็นคนอะไรไป อย่างน้อยหล่อนก็มีหัวใจอย่างเรา”

“หัวใจของวารยาน่ะหรือ?” เขาพูดพลางหัวเราะ “เธออายุเท่าไรแล้ว ระพินทร์? เธอคิดหรือว่าวารยามีหัวใจ”

ข้าพเจ้ารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ได้ฟังเขาสบประมาทผู้หญิงที่มีตาเศร้าอย่างวารยา

“ฉันคิดว่าเธอยังรู้จักวารยาไม่พอ” ข้าพเจ้าพูดอย่างค่อนข้างชาเย็น

“อ้อ! เธอเห็นจะรู้จักพอกระมัง?” แอลเลนพูดแล้วหัวเราะ

ข้าพเจ้ามิได้หัวเราะตอบ ยังคงวางกิริยาเคร่งขรึมอยู่ตามเดิม

“ฉันรู้จักเท่าที่รู้จัก ฉันบอกไม่ได้ว่าวารยาเป็นคนดีเลวอย่างไร เพราะหัวใจของคนเรารู้กันไม่ได้ ฉันบอกได้แต่ว่าวารยาเป็นคนมีความรู้สึกอย่างเรา ๆ นี่แหละ”

แอลเลนหัวเราะอย่างขบขัน เราเดินเคียงกันต่อไปโดยมิได้พูดอะไรอีก ออกจากประตูวงกลมทำเป็นรูปพระจันทร์ แล้วก็ออกมายังย่วน (ลาน) ใหญ่ซึ่งปูด้วยหินอ่อน พอพ้นย่วนก็ถึงประตูใหญ่ซึ่งหันหน้าออกท้องน้ำ อันกำลังเต็มไปด้วยเรือบดและชายหนุ่มหญิงสาว

ที่ศาลาปากประตู มีร้านขายน้ำชาและอาหารว่างขนาดเขื่องอยู่ร้านหนึ่ง บรรดาผู้ที่มาเที่ยวเตร่บนเกาะน้อยนี้มักจะอดแวะที่ร้านน้ำชานี้ไม่ได้ เจ้าของร้านจัดโต๊ะลอยเรียงรายอยู่ตามลานหินซึ่งยื่นออกไปจดชายน้ำ โต๊ะเหล่านี้มีคนนั่งไม่ค่อยจะว่าง กินน้ำชาแล้วก็สนทนากันอย่างสบายอารมณ์ ในท่ามกลางของธรรมชาติอันสวยงาม เราพบคนรู้จักหลายคนนั่งจมเก้าอี้อยู่ที่นั่น เด็กขายหนังสือพิมพ์ทั้งชนิดภาพและข่าววิ่งแข่งกันมาให้เช่าอ่าน มีหนังสือแทบทุกชนิด นั่งอ่านกันอยู่กลางแสงแดดอันอบอุ่นโดยเสียค่าเช่าเพียง ๓–๔ เซ็นต์ แอลเลนกับข้าพเจ้ายังไม่สมัครนั่ง จึงออกเดินเลาะไปตามทางเล็ก ๆ ริมน้ำ ผ่านเนินดินอันประดับด้วยไม้ดอกสีต่าง ๆ และโขดเขาซึ่งก่อด้วยหินโดยนายช่างผู้มีฝีมือ ๆ อันประณีต เราเดินไปตามทางอันคดเคี้ยวแวดล้อมปกคลุมด้วยต้นสนอันมีอายุหลายชั่วคน สัก ๑๕ นาทีให้หลัง ก็อ้อมบึงอันกว้างใหญ่ไปถึงหวู่หลุงถึงหรือเก๋งมังกรทั้ง ๕ ที่เก่งเหล่านี้มีร้านน้ำชาตั้งประจำ มีคนเข้าไปนั่งกันเต็ม ๆ เสมอ บ่ายวันนั้นคนไม่สู้จะแน่นนัก เราเลือกได้โต๊ะริมน้ำตัวหนึ่ง เรียกน้ำชาหลุงจิ่งกับว้อโถวมาสองที่ นั่งกินพลางก็สนทนาถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่หนักสมองไปพลาง ปล่อยจิตใจให้เลื่อนลอยไปตามเสียงและสีธรรมชาติ ซึ่งแวดล้อมอยู่โดยรอบ สปริงปีนั้นถึงแม้จะมีข่าวสงครามที่แมนจูเรียและเซี่ยงไฮ้มาคอยรบกวนประสาทอยู่บ้างก็ยังเต็มไปด้วยความแจ่มใสเช่นเดียวกับปีก่อน ๆ ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงร่าเริงอยู่กับการพักผ่อนเที่ยวเตร่ ประหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่น่าวิตกเกิดขึ้นเลย สีหน้าและแววตาของบุคคลที่ผ่านความสังเกตของเราไป ยังคงเต็มไปด้วยความพึงพอใจในชีวิตและความเป็นอยู่ ปักกิ่ง–นครแห่งความสงบ ชื่อนี้ยังคงมีความจริงอยู่เสมอ ร่มเย็นสวยงาม เต็มไปด้วยภาพศิลปะ ซาบซึ้งไปด้วยความรู้สึกอันราบรื่น ดูเหมือนว่าปีนั้นจะส่งสปริงอันแช่มชื่นอย่างแท้จริงมาให้เราเป็นครั้งที่สุด ในปีต่อ ๆ มา เหตุการณ์ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะจังหวัดเยโฮลได้พินาศไป และเปลวเพลิงของสงครามก็ลุกวาบขึ้นในจีนเหนือ ซึ่งทำให้ปักกิ่งตั้งอยู่ในความสงบไม่ได้ ระลึกถึงความปั่นป่วนแห่งความรู้สึกในปีต่อ ๆ มาแล้ว ข้าพเจ้าก็เสียดายสปริง ค.ศ. ๑๙๓๒ ยิ่งนัก มันได้ผ่านไปโดยทิ้งร่องรอยแห่งความสงบสุขไว้แต่เพียงเล็กน้อย สปริงในปีต่อ ๆ มาเป็นสปริงที่มีดอกไม้บานสดชื่นเหมือนเดิม แต่ใจคนหาได้บานตามไปด้วยไม่ ข้าพเจ้าเกือบจะต้องหนีออกจากปักกิ่งก็ครั้งหนึ่ง เมื่อคราวการรบได้มาวนเวียนอยู่นอกกำแพงเมือง ความไม่สงบของจิตใจหลังจากปี ค.ศ. ๑๙๓๒ หาได้เกิดเพราะการรบซึ่งเฉียดกำแพงเมืองเข้ามาเท่านั้นไม่ แต่หากเกิดเพราะคณะที่เรียกตัวเอาว่าผู้รักชาติ เอาความรักชาติเข้าทำร้ายคนอื่นโดยวิธีข่มขู่บ้าง โดยการใช้อาวุธซึ่งมีลูกระเบิดและน้ำกรดบ้าง ตามโรงภาพยนตร์และลานสเกตมักถูกขว้างด้วยลูกระเบิดที่ทำขึ้นเอง ถึงแม้จะมีอานุภาพไม่รุนแรง แต่ก็สามารถทำให้เกิดบาดเจ็บอย่างสาหัสขึ้นได้ คณะรักชาติ อันมีนามว่าสมาคมเลือดกับเหล็ก ประกอบด้วยคนหนุ่มเป็นส่วนมาก สมาคมนี้มีความเห็นว่า คนจีนไม่ควรจะหาความบันเทิงในยามสงคราม ผู้ใดที่ประพฤติเช่นนั้นย่อมถือว่าเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ชาติ นอกจากนี้คนจีนซึ่งสวมเสื้อผ้าที่ทำในต่างประเทศ มักจะถูกสมาชิกของสมาคมเลือดกับเหล็กลอบเอาน้ำกรดราดเสื้อเอาบ่อย ๆ จนเป็นที่เกรงขามแก่ผู้เดินถนนทุกคน การข่มขู่และลอบทำร้ายโดยวิธีเหล่านี้ ได้ทำให้สันติสุขในกรุงปักกิ่งพินาศไปชั่วขณะหนึ่งอย่างสิ้นเชิง ผู้คนพากันเสียขวัญ ขาดกำลังใจที่จะต่อสู้กับเหตุการณ์อย่างเยือกเย็น บรรดาร้านค้าขายต่าง ๆ ก็พากันอกสั่นขวัญหายไปตาม ๆ กัน เพราะมักจะถูกคณะรักชาติเข้าไปตรวจถึงก้นร้านว่าจะมีสินค้าของชาติที่ตนเกลียดชังบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็ได้รับการข่มขู่ให้รีบทำลายเสีย ถ้าขัดขืนดื้อดึงก็มักทำร้ายเอาโดยวิธีต่าง ๆ เช่น ด้วยลูกระเบิดที่อัดกระป๋องนมเป็นต้น ในลำดับนั้น ความรักชาติแบบนี้ได้กระจายไปตามเมืองต่าง ๆ ประชาชนชาวเมืองที่หวาดหวั่นภัยของสงครามอยู่แล้วได้ทวีความหวาดหวั่นยิ่งขึ้น เพราะภัยแห่งการลอบทำร้ายนี้ ตำรวจต้องทำงานหนักตลอดเวลา เพราะรู้ว่าในกลุ่มของสมาชิกสมาคมเลือดกับเหล็กนี้ ได้มีพวกคอมมิวนิสต์ปะปนอยู่ด้วยเป็นจำนวนไม่น้อย วิธีการของพวกคอมมิวนิสต์มีอยู่ว่า ต้องพยายามก่อความปั่นป่วนขึ้นเสมอทุก ๆ โอกาส เพื่อทำลายความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อบ้านเมืองปั่นป่วนอยู่เรื่อย โอกาสที่จะเข้าชิงอำนาจการปกครองก็ย่อมจะมีมากขึ้น พวกคอมมิวนิสต์ที่ก่อความปั่นป่วนขึ้นนี้ มักถูกจับตัวไปยิงเป้าบ่อย ๆ แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งกระจายเข้ามาในเมืองจีน หลังจากการปฏิวัติได้หว่านพืชไว้ทุกซอกทุกมุมเสียแล้ว เพราะฉะนั้นตำรวจจึงไม่สามารถจะขุดรากทิ้งให้หมดไปในทันทีทันใดได้ ทุกครั้งที่เกิดศึกกลางเมืองหรือเกิดความปั่นป่วนเพราะภัยของสงครามตลอดจนภัยของธรรมชาติ พวกคอมมิวนิสต์มักเข้าไปแทรกแซงด้วยเสมอ ภัยคอมมิวนิสต์ในเมืองจีนเป็นภัยที่ทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม เป็นภัยซึ่งสร้างความปั่นป่วนขึ้นภายใน เป็นผลให้จีนต้องแตกแยกกันในทางใจ แม้ในสมัยปัจจุบันนี้กองทัพคอมมิวนิสต์ก็ยังตั้งมั่นอยู่ในจังหวัดภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ยังผลให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในภาคนั้นเรื่อยมา

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ