๓๔
ชีวิตบนเกาะหลุงหวางต่าว เป็นชีวิตที่ข้าพเจ้าเกือบจะคิดว่าเป็นความฝัน ซึ่งเมื่อตื่นขึ้นแล้วก็ไม่มีแก่นสารอะไรที่จะจับต้องได้ เหลืออยู่แต่ความว้าเหว่เปลี่ยวเปล่า ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ไม่ทำให้จิตใจคนเกิดความแจ่มใสชื่นบาน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะได้พยายามทำตัวให้คุ้นกับความไม่แน่นอนของชีวิตสักเพียงใด แต่ ๑๒ วันในเกาะน้อยแห่งนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยู่เป็นเวลานาน ว่าข้าพเจ้าได้ผ่านชีวิตไปฉากหนึ่ง เป็นฉากที่สวยงามและบริสุทธิ์ยิ่ง เมื่อชีวิตฉากนี้ได้ผ่านไปแล้ว ก็เพียรที่จะคิดให้ผ่านกลับมาอีก แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากเท่ากับที่ข้าพเจ้าจะคิดให้พระอาทิตย์กลับไปขึ้นทางทิศตะวันตก
นอกจากเราทั้งสี่แล้ว มีคนไปพักอยู่บนเกาะนี้อีก ๒–๓ คน ล้วนเป็นคนต้องการอยู่นิ่ง ๆ ชอบนั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ได้โผล่ไปพ้นบริเวณเกาะเลย เราทั้งสี่ใช้ชีวิตอยู่กับการสนทนาและการอ่านหนังสือคนเดียวเงียบ ๆ มนัสอึดอัดเล็กน้อย เพราะเขาค่อนข้างจะเป็นคนต้องการความเคลื่อนไหว แต่ข้าพเจ้าได้พามนัสไปสมบุกสมบันกับการปีนเขาหมื่นปี และเขาหยู่ฉวนซาน ๒ วันติด ๆ กัน จนกระทั่งความต้องการเคลื่อนไหวของเขาลดน้อยลงไปบ้าง เราทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ ออกไปเดินเล่นตามชายน้ำ บางวันก็ลงเล่นน้ำอันใสสะอาดในทะเลสาบ วารยากับเอดนาทำอาหารเช้าง่าย ๆ มีไข่ดาว หมูทอด ขนมปัง กาแฟเป็นพื้น เอดนามักออกไปนั่งเขียนรูปตามมุมต่าง ๆ ที่หล่อนเห็นว่ามีวิวที่พอทำให้เกิดภาพอันเต็มไปด้วยศิลปะในกระดาษเนื้อผ้าของหล่อนได้ มนัสชอบนอนอ่านหนังสือตามโคนต้นไม้ หรือมิฉะนั้นก็ลงเรือข้ามฟากไปเที่ยวทางฝั่งชายเขาหมื่นปีซึ่งมีคนพลุกพล่าน ในบางคราวเขาก็นั่งดูเอดนาเขียนภาพ ฉวยโอกาสหัดพูดภาษาปักกิ่งกับหล่อน คนทั้งสองถูกนิสัยกันดี ไม่มีอะไรน่าห่วง วารยาชอบอ่านหนังสือและนั่งคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปสนทนาด้วย ดูหล่อนร่าเริงและแสดงความพอใจ ตลอดสัปดาห์แรก เราต่างคนต่างทำในสิ่งที่เราพอใจ เราจับกลุ่มนั่งอยู่ด้วยกันในเวลารับประทานอาหาร เวลาที่เราพบปะกันนานที่สุดก็คือเวลาอาหารเย็น เพราะหลังอาหารมื้อนี้ เรามักนั่งสนทนากันอยู่จนถึงเวลา ๒๑ นาฬิกา มนัสกับข้าพเจ้าจึงลากลับไปยังตึกที่พัก
วารยาในเกาะน้อยกลางทะเลสาบเป็นวารยาที่ข้าพเจ้าคิดว่าได้เปลี่ยนนิสัยไปบ้างเล็กน้อย เปลี่ยนจากความเยือกเย็นสุขุม ไม่ยอมมีความรู้สึกในความผิดหวัง ไปเป็นความกระวนกระวายไม่มีความสงบในหัวใจ แม้หล่อนจะพยายามปกปิดอย่างระมัดระวัง แต่ก็หารอดพ้นความสังเกตของข้าพเจ้าไปได้ไม่ ทุก ๆ อิริยาบถของหล่อน แม้แต่อาการยิ้มและอาการชำเลืองตาคอยจับการเคลื่อนไหวของผู้อื่น ได้ถูกถ่ายไว้ในเลนส์ธรรมชาติทั้งคู่ของข้าพเจ้าแทบทั้งสิ้น วารยาผู้มีใจแข็ง ไม่สะดุ้งสะเทือนต่ออะไร แม้แต่ความตาย บัดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว หัวใจของผู้หญิงซึ่งธรรมชาติได้ให้ไว้กับหล่อน และได้ถูกทำร้ายมาเป็นเวลานานปี ในขณะนี้กำลังจะแตกร้าวออกเป็นเสี่ยง ๆ กำลังจะดิ้นรนโต้ตอบความอยุติธรรม ที่ได้รุมล้อมกัดกินอิสรภาพในชีวิตของหล่อนอย่างโหดร้ายทารุณ ข่าวหมั้นของเหลียงทำให้ความอดทนในหัวใจของวารยาค่อย ๆ เสื่อมถอยลงไปทีละน้อย วารยาอ่อนเพลีย เบื่อหน่ายความเป็นอยู่ที่มืดมัวซ้ำ ๆ กันอยู่ตลอดเดือนตลอดปี หล่อนต้องการจะมีชีวิตใหม่ ดื่มความสุขที่หล่อนคิดว่าควรจะได้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ต่อจากนั้น... ข้าพเจ้ายังเดาใจวารยาไม่ได้
๑๐ วันได้ผ่านไป โดยที่เราไม่มีอะไรใหม่สำหรับชีวิตตากอากาศ นอกจากกิน นอน อ่านหนังสือ และสนทนากันเป็นครั้งคราว ทุกคนถืออิสรภาพส่วนตัวอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมก้าวก่ายเข้าไปในอิสรภาพของคนอื่น หลังจากอาหารเช้า ต่างคนก็ต่างแยกกันไปพักผ่อนตามความต้องการของตน มนัสขึ้นรถกลับเมือง ๒ ครั้ง เพราะทนความเงียบไม่ได้ เอดนาเขียนภาพได้ ๑๐ กว่าภาพ เป็นภาพชั้นเยี่ยมเสีย ๓ ภาพ ข้าพเจ้าอ่านหนังสือจบไป ๓ เล่ม วารยาอ่านบ้างเขียนบ้าง หล่อนมีสมุดปกแข็งเล่มหนาอยู่เล่มหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นสมุดบันทึกชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าคิดว่าชีวิตของหล่อนในสมุดเล่มนี้และเล่มต้น ๆ ซึ่งหล่อนเก็บไว้ที่คาบารอฟสก์ คงจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
คืนวันหนึ่ง หลังจากอาหารเย็นแล้ว เราก็แยกกันกลับห้องพัก เราไม่ได้คุยกันมาก เพราะวันนั้นแทบทั้งวันมีเพื่อนของเหลียงและวารยาผ่านมาเที่ยว จึงเลี้ยงดูรับรองกันใหญ่โต ต่างคนต่างรู้สึกเพลียๆ ไปตามๆ กัน ข้าพเจ้ากลับเข้าห้องนอน ตั้งใจจะเขียนจดหมายถึงประนุทสักฉบับหนึ่ง เพราะตั้งแต่ตอบฉบับที่หล่อนฝากมนัสมาแล้วก็ยังไม่ได้เขียนอีกเลย เขียนไปได้สักครึ่งหน้าก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อออก อากาศอบอ้าวมาก ใบไม้ไม่กระดิก น้ำในทะเลสาบเรียบเป็นแผ่นกระจก ไม่มีระลอก ความตั้งใจที่จะเขียนให้จบก็ต้องเลิกล้ม ข้าพเจ้าออกไปยืนที่เฉลียงมองดูพระจันทร์ข้างขึ้น ซึ่งส่องแสงสว่างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินแก่ ไม่มีลมพัดมาเลย ยืนอยู่ครู่หนึ่งตกลงใจว่า ถ้าได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่ก็คงจะบรรเทาความร้อนลงได้บ้าง ข้าพเจ้าผ่านห้องมนัสลงบันไดไปข้างล่าง ไม่มีคนอยู่ในห้องกลางเลย เดินออกไปถึงลานภายนอก ยืนเก้กังอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็บ่ายหน้าเดินไปทางประตูใหญ่ทางสะพานโค้ง มีคนยืนอยู่บนยอดของส่วนโค้งแห่งสะพาน กำลังทอดเบ็ดลงไปในท้องน้ำเบื้องล่าง ข้าพเจ้าไปยืนดูชาวประมงผู้นั้นตกปลาราว ๑๐ นาที ได้รับน้ำค้างและสายลมอ่อน ๆ เป็นครั้งคราว พอรู้สึกเย็นสบายจึงบ่ายหน้ากลับมายังที่พัก ขากลับข้าพเจ้าเดินอ้อมเลียบชายน้ำไปทางหลังตึกที่วารยาพักอยู่ ที่นั่นมีโขดหินก่อสูงขึ้นไปเกือบถึงระดับหน้าต่าง และอยู่ห่างจากหน้าต่างห้องนั่งเล่นของวารยาประมาณ ๑๐ กว่าหลา มีบันไดหินนำไปสู่ยอดโขดหินนี้ เพื่อจะย่นระยะทางให้ใกล้เข้า ข้าพเจ้าจึงปีนบันไดไปบนโขดหิน ตั้งใจจะอ้อมตึกวารยา ตัดตรงไปยังตึกของข้าพเจ้า พอขึ้นไปถึงยอดก็หยุดยืนและบังเอิญมองเข้าไปในหน้าต่างของวารยา แลเห็นเจ้าของห้องนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง นั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ทำอะไร–นิ่ง คล้าย ๆ ตุ๊กตาที่ปราศจากชีวิตวิญญาณ ไฟในห้องนั้นจุดสว่างมาก ข้าพเจ้าสามารถเห็นดวงหน้าวารยาถนัด หน้านั้นซีดเศร้าผิดปรกติ สักครู่วารยาก็ซบศีรษะลงกับแขนซึ่งทอดอยู่บนโต๊ะ นิ่งอยู่เช่นนั้นอีกครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้น ข้าพเจ้าสะดุ้งใจที่เห็นแก้มทั้งสองของหล่อนอาบไปด้วยน้ำตา ความลับของวารยาได้กระจายออกแล้ว หล่อนได้พยายามเป็นคนใจแข็งบึกบึนต่อหน้าคนอื่น แต่บัดนี้หล่อนได้มาอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว หล่อนกำลังปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นไปตามอารมณ์เศร้า ในที่สุดหล่อนก็เป็นผู้หญิงใจอ่อนคนหนึ่งนั่นเอง ข้าพเจ้ายืนใจเต้น ความแปลกใจและความสงสารเกิดขึ้นพร้อมกัน วารยามีอะไรอีกเล่าที่จะปิดบังข้าพเจ้า นอกจากวลาดิมีร์แล้ว ข้าพเจ้าก็อาจเป็นผู้ชายคนเดียวที่รู้หัวใจของหล่อน วารยาทรงตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างไม่มีแรง ยืนลังเลใจอยู่ขณะหนึ่ง แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ยืนนิ่ง เป็นตุ๊กตาหิน ต่อไปอีกประเดี๋ยวหนึ่งจึงเอื้อมมือไปชักลิ้นชักโต๊ะออก แล้วหยิบเอาวัตถุอย่างหนึ่งออกมา มีสีดำเป็นเงาปลาบ หล่อนเคาะวัตถุนั้นเล่นในมือ คล้ายกับกำลังจะตัดสินใจอะไรสักอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าพยายามเพ่งตามองดูของสิ่งนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ พอรู้แน่ว่าเป็นอะไรก็ใจหายวาบ รู้สึกเย็นไปตลอด กระดูกสันหลัง
สิ่งที่นอนอยู่ในมือของวารยา คือปืนพกขนาดเล็ก