๕๒

เมื่อการรับรองแพทย์สตรีทั้งสองได้ผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบวารยาในตอนเย็นวันที่สาม เราได้รับประทานอาหารร่วมกันและได้สนทนากันอยู่จนนาฬิกาตี ๙ ครั้ง วารยามีอารมณ์ดีขึ้น ไม่เศร้าอย่างที่ข้าพเจ้าคิด หล่อนเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมาก ดูเหมือนจะได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า หล่อนจะต้อนรับโชคของหล่อนในลักษณะอย่างไร ข้าพเจ้ารู้ว่าวารยากำลังมีอารมณ์คล้ายกับผู้ที่ได้ปลงตกแล้ว เห็นความทุกข์เป็นของธรรมดา ไม่ตื่นเต้น ไม่ย่อท้อ เมื่อก่อนที่หล่อนจะตกลงใจอย่างเด็ดขาด–นั่นคือในขณะที่อยู่ในความลังเล—หล่อนย่อมจะตื่นเต้นหวั่นไหวอยู่บ้าง จะเปรียบก็เหมือนนักโทษที่กำลังคอยฟังคำพิพากษา ยังไม่รู้ผลดีผลชั่ว ยังไม่รู้ว่าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือจะต้องตาย จึงย่อมจะตื่นใจหวาดสะดุ้งอยู่ แต่เมื่อฟังคำพิพากษาแล้วว่าตนจะต้องเสียอิสรภาพ หรือจะต้องเดินทางไปสู่เสากางเขน ความหวาดกลัวก็อาจจะทวีขึ้นถึงขีดสูงสุดในขณะหนึ่ง ครั้นเมื่อได้กลับไปนอนคิดอยู่จนคิดตกแล้ว ความตื่นเต้นหวาดสะดุ้งก็หมดไปทีละน้อย จนกระทั่งทำอารมณ์ให้สงบได้–สงบอย่างผู้ที่สิ้นหวัง ไม่มีอะไรจะต้องคิดอีก วารยาได้คิดสำเร็จแล้ว หล่อนไม่มีอะไรจะหวัง–ไม่มีอะไรจะห่วง หล่อนจะใช้ชั่วโมงสุดท้ายให้ร่มรื่นชื่นใจ–ให้สมกับเป็นชั่วโมงสุดท้ายจริง ๆ เมื่อวินาทีที่สุดได้ผ่านเลยไปแล้ว หล่อนจะยืนขึ้นเชิดหน้าตั้งตัวตรง เพ่งมองไปทางหน้า ด้วยดวงตาที่กล้าแข็งเด็ดขาด แล้วก็ออกเดินไปสู่ที่หมายซึ่งโชคได้กำหนดไว้ให้

“ระพินทร์” วารยาเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “เธอคิดไหมว่าเราจะได้พบกันอีก เมื่อเราจากกันแล้ว”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะ

“ใครจะรู้ วารยา แต่ฉันต้องการพบเธอเสมอ บางทีถ้าเรามีโชคดี เราก็อาจจะพบกันได้”

“แต่ฉันสังหรณ์ใจอยู่เสมอว่า เราจะพบกันเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่”

ข้าพเจ้ายิ้มอย่างเศร้า นิ่งอยู่สักครู่จึงถามว่า

“ทำไมนะ วารยา ฉันแทบไม่เข้าใจ เธออาจหางานทำที่นี่ก็ได้ ทำไมเธอจะต้องไปแมนจูเรียด้วย?”

“มีเหตุผลหลายประการ” หล่อนพูดอย่างตรึกตรอง “ข้อสำคัญเป็นความประสงค์ของพ่อ พ่อไม่คิดว่าฉันจะปลอดภัยถ้ายังอยู่ในปักกิ่ง”

“ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอยังไม่ได้บอกฉันด้วยปากเลยว่า เธอจะไปทำอะไรในแมนจูเรีย ฉันเป็นแต่เดาเอาว่า..... นั่นแหละ พูดยาก บางทีฉันอาจเดาผิดก็ได้”

“ถ้าเธอสนทนากับพ่อบ่อย ๆ เธอคงจะเดาได้” หล่อนพูดยิ้ม ๆ “แล้วฉันจะบอกให้เธอทราบว่าฉันจะไปทำอะไรในแมนจูเรีย” ข้าพเจ้ามองหน้าหล่อน รู้สึกว่าดวงหน้านั้นมีเลือดฝาดบริบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของความย่อท้อถอยหลังแม้แต่น้อย วารยาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าหล่อนจะต้อนรับชีวิตใหม่อย่างราบรื่นชื่นบาน ไม่วิตกกังวลหวาดสะดุ้งแต่อย่างใด

“ฉันพอจะเข้าใจบ้าง” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ “แต่นั่นแหละในโลกเช่นนี้ เธอควรจะไปอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยมากกว่า เธอตัวคนเดียว”

“ถูกแล้วตัวคนเดียว ฉันไม่มีใครเลย ระพินทร์” หล่อนพูดเสียงเครือ “ชีวิตเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะเยาะเหลือเกิน”

ข้าพเจ้าถอนใจ

“ฉันเห็นใจเธอมาก วารยา”

“ขอบใจ ระพินทร์ บางทีจะมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่เห็นใจฉัน ฉันคิดว่าฉันยังเคราะห์ดีอยู่บ้างที่ได้พบกับเธอ เธอเป็นเพื่อนคนสุดท้าย ก่อนที่เราจะจากกัน เธออยากได้อะไรจากฉันบ้างไหม?”

“รูปถ่าย ถ้าเธอไม่รังเกียจ”

“ได้ซี ฉันจะหยิบให้ในวันหลัง”

“ฉันคิดว่าฉันควรจะให้เธอบ้าง”

วารยายิ้มอย่างเด็ก ๆ

“ก็ดีนะสิ ระพินทร์ รูปของเธอคงจะเป็นกำลังใจฉันมาก เวลาฉันใกล้จะตาย”

“พูดอะไรอย่างนั้น” ข้าพเจ้าพูดเป็นเสียงดุ

“อ้าว เธอคิดหรือว่าคนเราจะอยู่ค้ำฟ้าไปได้” หล่อนหัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่ “ทุกวันนี้ฉันรู้สึกว่าเธอช่วยให้ฉันตัดสินใจสำเร็จ เธอเป็นกำลังใจที่จะทำให้ฉันต่อสู้กับชีวิตเรื่อยไปจนถึงที่สุด เธอไม่รู้ตัวหรอกว่าเธอได้ทำคุณแก่ฉันมาก”

“เป็นจริงเช่นนั้นหรือ วารยา? ฉันไม่ได้ช่วยอะไรเธอสักนิด”

หล่อนสบตาข้าพเจ้าอย่างมีความหมาย

“เธอทำให้ชีวิตฉันมีที่หมาย แต่ก่อนฉันเหมือนเรือที่ลอยไปในทะเล ไม่มีหางเสือ ไม่มีใบ สุดแท้แต่ลมจะพัดพาไปทางไหน ฉันปล่อยตัวตามบุญตามกรรม ไม่ต้องการจะคิดถึงอะไรหมด เพราะรู้ว่าฉันไม่มีอะไรจะหวังได้เลย”

ข้าพเจ้ามองหน้าหล่อนอย่างเข้าใจ

“ฉันแปลกใจตัวฉันเอง ถ้าเธอรู้สึกเช่นนั้น”

“เป็นของธรรมดาที่เธอจะต้องรู้สึกแปลก เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไปบ้าง” หล่อนกล่าวอย่างมั่นใจ “เธอทำให้ฉันเข้าใจว่าในโลกนี้ ชีวิตคือการต่อสู้ เราจะอยู่ไปโดยไม่ต่อสู้ไม่ได้ เราต้องมีความมุ่งหมาย เราต้องตัดสินใจว่าเราจะมุ่งหมายอะไร เมื่อได้มุ่งหมายไปแล้วก็ไม่คิดเปลี่ยนหรือลังเลใจอะไรอีก ระพินทร์ เธอเชื่อไหมว่าเดี๋ยวนี้ฉันมีที่หมายของฉันแล้ว ฉันจะไม่ขอเปลี่ยนอีกจนวันตาย ฉันจะต่อสู้เพื่อให้ถึงที่หมายอันนี้”

ข้าพเจ้ามองตาหล่อนอย่างพิศวง รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นกล้าแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่มีความอ่อนแอเหลือติดอยู่อีกเลย

“ฉันงงมาก วารยา” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ “ฉันไม่คิดว่าฉันได้ทำอะไรไปบ้าง จนกระทั่งเธอรู้สึกเช่นนี้”

วารยายิ้มละไม

“มากทีเดียว ระพินทร์ มากเกินที่เธอจะรู้สึก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ บางทีเธออาจไม่เข้าใจว่าฉันมีความรู้สึกอย่างไรต่อเธอ” หล่อนหลบตาลงต่ำ นิ่งอยู่ขณะหนึ่ง จึงกล่าวต่อไป “เธอคงจะทราบได้บ้างแล้วว่าฉันได้พบความผิดหวังมามากในรัสเซีย เมื่อฉันอยู่ฮาร์บิน ฉันก็ผิดหวังอีก ครั้นมาอยู่ปักกิ่งก็ผิดหวังอีก ฉันหัวเราะเยาะโชค หัวเราะเยาะชีวิต ฉันเกลียดทุก ๆ อย่างในโลก แม้แต่ตัวฉันเอง ฉันปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามยถากรรม ไม่กลัวความชั่ว ไม่ต้องการง้อความดี ฉันไม่ต้องการคิดถึงอะไรหมด รู้สึกแต่ว่าเมื่อฉันได้พยายามทำดี แต่ก็ไม่ได้ผลดีตอบแทนเลยถึงสองครั้งแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องทำความดีอีก ฉันประมาทกับความชั่วมากขึ้นทุกที จนกระทั่งพ่อไม่สบายใจ พ่อไม่ไว้ใจว่าฉันจะรักษาความดีของวงศ์ตระกูลไว้ได้ ถ้าขืนให้ฉันอยู่ในโลกเช่นนี้ นี่เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อตกลงใจให้ฉันไปอยู่เสียที่แมนจูเรีย”

“ฉันพอจะเข้าใจบ้าง” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบา

“แล้วฉันได้พบเธอ” วารยากล่าวต่อไปอีก “ครั้งแรกฉันคิดว่าเธอคือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรนอกจากความโลภและความเห็นแก่ตัว แต่แล้วเธอได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าเธอเป็นคนดีคนแรกที่ฉันได้พบ เธอไม่มีความโลภอย่างผู้ชายอื่น ๆ เธอมีความเห็นใจ มีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ต่อฉัน ไม่คิดเอาแต่ได้ ไม่เอาเปรียบ มีแต่ความหวังดี อยากเห็นฉันมีความสุข เธอเป็นคนแปลก ระพินทร์ เธอผิดกับผู้ชายโดยมาก”

“ประกาศนียบัตรที่เธอให้ฉันนี้สูงเกินไปเสียแล้ว” ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะ

วารยาคงมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตามเดิม

“ยังงั้นหรือ? สำหรับฉันเห็นว่าควรจะให้มากกว่านั้น ฉันอยากจะบอกเธอมานานแล้วว่าเธอได้ช่วยฉันมาก เธอช่วยให้ฉันเป็นคนดี ระพินทร์ ถ้าไม่มีเธอ บางทีฉันอาจจะเลือกทางเดินที่น่ากลัวอย่างยิ่ง”

“ขอบใจ วารยา ที่ให้เกียรติยศแก่เพื่อนของเธอ” ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นอย่างจริงใจ “แต่ฉันไม่รู้สึกว่าฉันควรจะได้รับความชมเชยจากเธอในข้อไหน”

“เธอไม่เข้าใจ” หล่อนสวนขึ้นโดยเร็ว “พ่อกับฉันเคยเถียงกันหลายครั้งเรื่องจะให้ฉันไปแมนจูเรีย ฉันไม่ต้องการจะไป ฉันอยากจะอยู่ท้าโลกเล่นเช่นนี้ ฉันไม่ต้องการจะง้อความดี เพราะความดีไม่ได้ช่วยอะไรฉันสักนิด เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันจึงตกลงใจจะไปแมนจูเรีย?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะอย่างไม่ตั้งใจ วารยาจึงกล่าวต่อไปอีก

“เธอเป็นคนช่วยให้ฉันตัดสินใจ ระพินทร์”

ข้าพเจ้ามองหน้าหล่อน วารยาก็จ้องตาข้าพเจ้าอยู่โดยมิได้หลบหลีก

“วารยา นี่เธอจะให้ฉันตีหน้าอย่างไร?”

“ทำไมนะ ระพินทร์ ฉันไม่ได้ยอเธอเลย ฉันเล่าความจริงให้ฟังต่างหาก” หล่อนพูดยิ้ม ๆ “อีกไม่กี่วันเราก็จะต้องจากกัน เราอาจไม่ได้พบกันอีกจนวันตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็ควรจะได้พูดกับเธอให้สมกับที่ฉันต้องการจะพูดมานานแล้ว ฉันอยากจะบอกเธอว่าเธอได้ช่วยให้ฉันมีชีวิตใหม่ ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็คงจะไม่เป็นตัว ฉันรู้ว่าฉันจะอยู่ในปักกิ่งต่อไปไม่ได้ สำหรับฉัน ปักกิ่งเต็มไปด้วยความชั่ว ฉันจะต้องทำความชั่ว ระพินทร์ ฉันหนีมันไม่พ้นอย่างแน่นอน เวลานั้นฉันอ่อนแอไปหมด ไม่มีจิตใจจะต่อสู้กับชีวิต ไม่มีความต้องการจะทำความดี แต่เมื่อฉันได้เธอมาเป็นเพื่อน ฉันก็ได้บทเรียนจากเธอหลายอย่าง เธอสอนฉันว่าโชคเป็นนายของเรา โชคจะทำให้เราเป็นอะไรก็ได้ แต่เราต้องไม่ปล่อยมือปล่อยเท้ารอให้โชคช่วยหรือรอให้โชคพาเราไปเมืองนรก เราต้องดิ้นรน เราต้องต่อสู้ ต้องช่วยตัวเอง ถ้าเราไม่ทำอะไรเสียเลย เราจะไม่ได้รับผลดีจากโชคมากเท่าที่เราควรจะได้รับ และถ้าบังเอิญเป็นผลร้าย เราก็จะต้องได้รับมากกว่าที่เราควรจะได้รับ ซึ่งเป็นการตรงกันข้ามทีเดียว ความคิดเห็นของเธอเมื่อสรุปแล้วก็ได้ความว่า ถึงแม้ว่าชีวิตเราจะต้องแล้วแต่โชคตัวเดียวก็ตาม แต่เราจะต้องต่อสู้ดิ้นรนเสมอ ฉันรู้สึกว่าอุดมคติของเธอมีความจริงอยู่ไม่น้อย เธอทำให้ฉันเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิต หมดความหวาดกลัว หมดความย่อท้อ ฉันเลิกปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปตามยถากรรม พยายามบังคับให้มันหันกลับมาตามทางที่ถูก เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าทางที่ถูกสำหรับฉันก็คือไปแมนจูเรีย ฉันได้ดิ้นรนหนีพ้น ความชั่วสำเร็จแล้ว ระพินทร์ ฉันมีความสุขมาก เบาตัวเบาใจ ไม่กังวล ไม่มีความลังเลอีกต่อไปแล้ว”

ข้าพเจ้านิ่งฟังวารยาพูดอย่างเอาใจใส่ ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เราเคยสนทนากันถึงเรื่องโชคและชีวิต หล่อนจะเก็บเอาไปคิดอย่างจริงจัง วารยามีสีหน้าอิ่มเอิบชื่นบาน ดูเหมือนจะไม่มีความสงสัยแคลงใจในชีวิตอีกต่อไป หล่อนได้เตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะทิ้งชีวิตเก่า บ่ายหน้าไปหาชีวิตใหม่–ชีวิตที่สงบเงียบร่มเย็น ได้ยินแต่เสียงระฆังและเสียงลมพัด

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ