๒๖

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ท่านคงประหลาดใจที่เห็นข้าพเจ้าเอาใจใส่ต่อวารยา ราเนฟสกายาเสียแทบทุกฝีก้าว ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องเอาใจใส่กับวารยามากมายถึงเพียงนี้? วารยามีอำนาจอะไรเหนือข้าพเจ้าเช่นนั้นหรือ? มีประโยชน์อะไรที่ข้าพเจ้าจะพูดว่า ข้าพเจ้ากำลังศึกษาชีวิตของผู้หญิงคนนี้ เพราะหล่อนมีลักษณะนิสัยต่างกับผู้หญิงรัสเซียสามัญ? ท่านจะเชื่อหรือว่าข้าพเจ้าพูดจริง?

แต่ว่าข้าพเจ้ายังมีตัวละครที่จะต้องศึกษาอีกมาก ซูแซนหวาง หลินจีหวู่ ไลน์แมนฮูเวอร์ โจวกวอเสียน เจียงเฟ หลูกวง เจียงเหมย จางหลิน จวนฟาง ฯลฯ บุคคลเหล่านี้ได้สร้างเรื่องของชีวิตขึ้นโดยที่มีตัวของเราเองเป็นตัวละครสำคัญ เขาทำให้ข้าพเจ้าเพลิดเพลินในการที่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยการดูละครเรื่องจริง ๆ–ละครเรื่องของความรัก ความเศร้า ละครของวารยาเป็นแต่เพียงละครเรื่องหนึ่งในจำนวนละครหลาย ๆ เรื่องที่ฝังใจข้าพเจ้าอยู่ไม่มีวันลืม

วารยามีความชาเย็นต่อชีวิตอย่างที่ข้าพเจ้าจะทนไม่ถามหล่อนไม่ได้เลย เราได้พบกันอีกหลายครั้งหลังจากเหตุการณ์ที่พระราชวังฤดูหนาวในวันนั้น ทุกครั้งข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินหล่อนเอ่ยถึงเหลียง หล่อนพูดถึงสิ่งต่าง ๆ อย่างแจ่มใสชื่นบาน ทำตัวเหมือนกับว่าในโลกนี้เต็มไปด้วยความหวัง แต่ในแววตาของหล่อน–วารยาปิดบังความในใจให้พ้นจากความสังเกตของข้าพเจ้าหาได้ไม่

วันหนึ่งที่คาบารอฟสก์ วารยาถามข้าพเจ้าว่า

“เออ! นี่แน่ะ ระพินทร์ เธอมีน้องสาวอยู่ในเมืองไทยไม่ใช่หรือ?”

“ฉันมีน้องอยู่คนหนึ่ง เราจากกันเมื่อแกเพิ่งจะโต”

“ฉันมีน้องเล็ก ๆ สองคน แต่ตายเสียหมดที่ฮาร์บิน”

“เคราะห์ร้ายจัง เธอคงจะเหงาไม่ใช่เล่น”

“แต่ฉันยินดีที่เขาไม่มีชีวิตอยู่”

ข้าพเจ้ามองตาหล่อนอย่างไม่เข้าใจ

“อย่าหาว่าฉันใจร้ายเลย ระพินทร์ การมีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนี้เธอคิดว่าดีหรือ?”

“วันนี้เธอเป็นอะไรไปจึงพูดเช่นนี้?”

“เธอคงคิดว่าฉันไม่สบายใจ” วารยาพูดแล้วก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใส “ฉันมีอารมณ์ดีเสมอที่พูดเช่นนี้พูดตามความเป็นจริง”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะ

“ชีวิตคือการต่อสู้ นี่เป็นคติของฉัน”

“จริงของเธอ ระพินทร์ ชีวิตคือการต่อสู้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่จะต้องต่อสู้ต่อไป ส่วนผู้ที่ตายแล้ว..... ฉันคิดว่าเขาได้พบความสุขที่แท้จริง”

“ขอบใจที่คิดเช่นนั้น แต่วันนี้ฉันไม่ได้ใจเย็นดอกหรือ ระพินทร์? จริง ๆ นะ ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าบนสวรรค์ได้กรุณาเรามากที่ช่วยรับน้องของฉันไปอยู่กับพระองค์”

“ฉันอยากจะเข้าใจเธออย่างที่ฉันเข้าใจ แต่ฉันไม่กล้า” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หลบสายตาหล่อนนิ่งอยู่

วารยาจ้องข้าพเจ้าด้วยแววตาอันแข็งกล้า–แววตาที่บรรจุเต็มไปด้วยความเข้าใจในคำพูดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวออกไปเพียงสองประโยคสั้น ๆ นั้น

“แต่เธอควรจะเข้าใจฉันได้อย่างที่เธอเข้าใจ ฉันไม่เคยคิดว่าเป็นการก้าวร้าวอย่างไร”

“แต่ฉันก็ยังไม่กล้าอยู่ดี” ข้าพเจ้าตอบเสียงเบา

“ให้ฉันถามเธอต่อหน้าเถอะ ระพินทร์ เธอเข้าใจว่ากระไร?”

ข้าพเจ้าเอามือซุกกระเป๋า หงายศีรษะพิงเก้าอี้ตรองอยู่ชั่วขณะหนึ่งจึงได้ตอบ

“ฉันคิดว่า–เธอคงหลอกฉันตลอดเวลา”

สีหน้าของวารยาเต็มไปด้วยความแปลกใจ อาการยิ้มหายไป เหลืออยู่แต่ความเคร่งขรึมซึ่งคงไม่ใช่ความโกรธ เพราะวารยาไม่ใช่คนโกรธง่าย

“เธออาจมีเหตุผลที่พูดเช่นนั้น” หล่อนเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “แต่ฉันไม่เข้าใจว่าเธอหมายความว่ากระไรแน่”

ข้าพเจ้ายิ้มแล้วจ้องหน้าหล่อน ประหนึ่งจะบังคับเอาความจริงด้วยสายตา

“เธอคงคิดว่าฉันไม่รู้ ถ้าฉันบอกว่าฉันเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของเธอ เธอจะเชื่อไหม?”

วารยาดูเหมือนจะเข้าใจว่าข้าพเจ้าจะพูดอะไรต่อไปอีก หล่อนมีเชาวน์เฉียบแหลมพอที่จะเดาคำพูดของผู้ที่หล่อนรู้จักนิสัยใจคอได้ตามสมควร รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก เป็นอาการยิ้มที่อ่อนหวานน่าเอ็นดู

“เธอเข้าใจถูกแล้ว ระพินทร์” หล่อนรีบพูดก่อนที่ข้าพเจ้าจะเอ่ยอะไรต่อไปอีก “เธอคิดว่าฉันหลอกเธอ เธอเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก”

ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ รู้สึกภาคภูมิใจตัวเองที่ได้เป็นผู้ชนะอย่างง่ายดาย

“เธอซื่อพอที่จะสารภาพไม่ใช่หรือวารยา?” ข้าพเจ้าถามอย่างทีเล่นทีจริง

“สำหรับเธอ–ฉันสารภาพ”

“เธอหลอกฉันว่าเธอมีความสุข”

หล่อนยิ้มอย่างเศร้า แต่ไม่ตอบว่ากระไร

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ฉันต้องขอโทษ”

“พูดมาเถิด ระพินทร์ ฉันอนุญาตให้ผู้ที่เข้าใจฉันพูดได้ตามความพอใจเสมอ” วารยากล่าว

“แววตาของเธอบอกฉันว่าเธอมีเรื่อง จะเป็นเรื่องอะไรฉันไม่อยากจะพูด แต่รวมความว่าเธอมีทุกข์”

หล่อนพยักหน้ารับรอง

“เป็นจริงเช่นนั้น แต่ฉันคิดว่าเธอผิดความจริงข้อหนึ่ง”

“อะไร?”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเธอ มีประโยชน์อะไรที่จะต้องแสดงความเศร้าให้คนอื่นแลเห็น ฉันไม่อยากจะพึ่งใครนอกจากตัวของฉันเอง”

“เป็นนักต่อสู้ที่น่าชมเชย” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงจัง “แต่ นี่แน่ะ วารยา เธอจะให้โอกาสฉันช่วยเหลืออะไรได้บ้างไหม?”

หล่อนวางมือลงบนแขนข้าพเจ้า มีกิริยาประดุจมิตรที่สนิท แววตามีความรู้สึกกตัญญูปรากฏอยู่

“ขอบใจ ระพินทร์ เธอจะช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก เธอเป็นคนดีเกินไปที่จะทำอะไรให้ฉันได้”

“ฉันอาจจะพูดกับเหลียงได้–ขอโทษ ถ้าพูดผิดความจริง”

วารยาสั่นศีรษะ

“ฉันมีเรื่องมากกว่านี้ เรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจอะไรเลย ระพินทร์ เธอเป็นคนบริสุทธิ์ ชีวิตของเธอขาวสะอาด เธอมีอนาคตที่รุ่งเรือง เธอกำลังก้าวหน้า ส่วนฉันกำลังถอยหลัง เรากำลังเดินสวนทางกัน ระพินทร์ที่รัก เราอยู่คนละโลก ห่างไกลกันมากทีเดียว”

สีหน้าของวารยาเศร้าหมอง... หล่อนมองดูข้าพเจ้า.... แววตาคู่นั้น... สวรรค์เป็นพยานเถิด.... หัวใจข้าพเจ้าแทบจะหยุดเต้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ