๘
วารยา ราเนฟสกายา ยังไม่เคยเยี่ยมกรายเข้ามาในความรู้สึกของข้าพเจ้าเลยสักครั้งเดียว หลังจากที่เราได้จากกันที่คาราซาร์ในคืนวันนั้น วันคืนได้ผ่านไปเหมือนมีปีก หมอกขาวในตอนเช้าตรู่ได้ค่อย ๆ บางไปทีละน้อย ดวงอาทิตย์สีแดงปรากฏขึ้นเหนือยอดสนเร็วกว่าวันในฤดูหนาว ข้าพเจ้าไปเทียนสิน แอลเลนดึงไปอยู่กับเขา ๒ สัปดาห์ เราท่องเที่ยวไปในเมืองเก่าแห่งนี้อย่างสำราญบานใจ พวกรัสเซียมีอยู่มากหน้า ไม่ใช่คอมมิวนิสต์นะท่าน ตรงกันข้าม เป็นศัตรูของคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้น บุคคลเหล่านี้มีสภาพอันน่าสังเวชใจ ยากจน ไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลเพราะถูกตัดหางปล่อยวัด ทุกคนมีสภาพเสมือนคนไม่มีชาติ ไม่มีหวังอะไรในชีวิต ต่อสู้กับความหนาวและความหิวไปวันหนึ่ง ๆ นอนรอความตายซึ่งจะมาช่วยปลดเอาความทุกข์ยากไปให้พ้นจากชีวิตวิญญาณ เมื่อปลายสุดของหนทางแห่งโชคได้มาถึงแล้ว ผู้หญิงรัสเซียที่เทียนสินทำให้ข้าพเจ้าระลึกไปถึงวารยา เป็นการระลึกถึงครั้งแรก หลังจากที่เราได้เต้นรำกันสามรอบที่คาราซาร์คืนวันนั้น ข้าพเจ้าเอาวารยามาเปรียบกับผู้หญิงร่วมชาติของหล่อนเหล่านี้ห่างไกลกันมาก ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แม้แต่สำเนียงภาษาที่พูด วารยาพูดภาษารัสเซีย เพราะเป็นภาษาของหล่อน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าสำเนียงของหล่อนกลมกล่อมนุ่มนวลน่าฟัง วารยาพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอใช้ ภาษาจีนเหนือหล่อนก็พูดได้พอประมาณ
ก่อนจะหมดเขตฮอลิเดย์ เรา แอลเลนกับข้าพเจ้าขึ้นรถไฟไปเที่ยวที่เป๋ไต้เหือ ชนบทชายทะเล อันเป็นเสมือน “หัวหิน” ของนครปักกิ่ง เราพักอยู่ที่นั่นสองวัน อากาศทะเลอบอุ่นสบายมาก เพื่อนนักหนังสือพิมพ์ของแอลเลนหลายคนได้มาสนุกสนานอยู่กับเราตลอดเวลา เที่ยวไป ทำงานไป คอยสังเกตดูการเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ในแหลมซานตุงอย่างใกล้ชิด ผู้แทน New York Times ก็อยู่ที่นั่นด้วย นักหนังสือพิมพ์เหล่านี้กำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของการเมืองในจีนเหนือด้วยความเอาใจใส่ยิ่ง พายุร้ายในแมนจูเรียและดินระเบิดในเซี่ยงไฮ้ ได้ดูดดึงเอาผู้แทนหนังสือพิมพ์มาจากส่วนต่าง ๆ ของโลก แมนจูเรีย The world’s danger zone ได้ลุกเป็นไฟขึ้นแล้ว
สองวันในเปไต้เหือ ช่วยให้ข้าพเจ้าสดชื่นมาก หาดทรายและโขดหินทำให้ระลึกไปถึงศรีราชา ข้าพเจ้านึกถึงประมัยและประนุท คิดถึงความสุขเก่า ๆ ที่กรุงเทพฯ–ความสุขที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่สนามฟุตบอล ที่ “ห้องยิม” หลังตึกแม้นนฤมิตร เหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นความหลังอีกฉากหนึ่งซึ่งไม่เคยเลือนหายไปจากความจำ เป็นความหลังที่บริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากราคี ข้าพเจ้าคิดว่าหัวใจของเด็กเป็นหัวใจที่สะอาดหมดจดอย่างที่สุด เมื่อเราเป็นเด็ก เรารู้จักความชั่วน้อย เราเชื่อคนง่าย เพราะเราคิดว่าในโลกนี้มีคนดีมากกว่าคนชั่ว ถ้าเราจะรักกัน เราก็รักโดยบริสุทธิ์ใจ เราไม่ได้หวังอะไรในความรักนั้น นอกจากน้ำใจและความสุข ประมัยกับประนุทเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้ามีอยู่ เราเคยเล่นหัวกันมาตั้งแต่เล็ก บ้านของเราอยู่ติดกัน ประมัยอ่อนกว่าข้าพเจ้า ๕ เดือน ประนุทผู้น้องอ่อนกว่าพี่ชายของหล่อน ๔ ปี ชายหญิงคู่นี้เป็นเพื่อนเริ่มแรกของข้าพเจ้า เรารักกัน และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรในโลกมาทำให้เราเกลียดกันได้เลย ตลอดเวลาที่อยู่ในปักกิ่ง ประมัยกับประนุทเขียนจดหมายติดต่อกับข้าพเจ้าทุกเดือน จดหมายฉบับหนึ่งของประนุทมีความตอนหนึ่งว่าดังนี้ “...พี่จากไปหลายปีแล้ว เมื่อไรจะกลับสักที นุทคิดถึงพี่ไม่วายวัน คุณแม่ท่านก็บ่นถึง ดูท่านรักพี่ม้าก–มาก คุณป้าก็บ่นถึงลูกชายของท่านเสมอ นุทไปหาท่านบ่อย ๆ ท่านยังรักนุทอยู่ไม่ผิดสมัยเมื่อเป็นเด็ก ท่านผู้ใหญ่ของเรามีความสุขสบายแข็งแรงดี ปีนี้อหิวาต์ชุมพอใช้ ระบาดมาจากพม่า แต่เราก็ยังปลอดภัยทุกคน เป็นห่วงพี่ เมื่อรู้ว่าเมืองจีนเกิดรบกันใหญ่โต อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ทีไรก็ใจเต้นทีนั้น ถึงแมนจูเรียจะยังห่างปักกิ่งมาก แต่นักออกความเห็นก็ยังอุตส่าห์บอกว่า อีกไม่ช้าปักกิ่งก็จะอยู่ไม่ได้ นุทไม่รู้เรื่องการบ้านการเมืองอะไรหรอก แต่ดูแผนที่แล้วก็รู้สึกว่าการรบได้ขยายแนวลงมาทางใต้มากขึ้นทุกวัน พี่อยู่ทางปักกิ่งคงไม่ตกใจอะไร เพราะคงจะชินเสียแล้ว แต่โปรดอย่าประมาทนะคะ อย่าเพลินจนกระทั่งไม่นึกถึงคนที่กรุงเทพฯ ถ้าเห็นไม่เหมาะก็ควรรีบเอาตัวรอด อย่าลืมว่าพุทเป็นห่วงพี่เหลือเกิน” ความอีกตอนหนึ่งมีว่า “เมื่อ ๒–๓ วันก่อนไป เปิดอัลบัมดู พบรูปที่เราถ่ายด้วยกันที่ศรีราชา คิดถึงสมัยเมื่อเราเป็นเด็ก แล้วก็ออกเสียดายอยากเป็นเด็กอีก จะได้ไม่ต้องมีทุกข์ในใจ พี่ยังจำศรีราชาได้ไหม? หรือว่าลืมเสียแล้ว เพราะพี่คุยถึงปักกิ่งไม่หยุด งามมากหรือคะ ปักกิ่งของพี่? อย่าหลงดอกท้อจนกระทั่งจะลืมเมืองไทยเสียนะคะ ดอกไม้เมืองไทยยังมีที่สวยงามอีกมาก นุทจะช่วยเลือกไว้ให้ ถ้าพี่ไม่รังเกียจ...”
จดหมายของประนุทมักจะพูดยาว ๆ เสมอ บางฉบับทำให้ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดนาน ๆ ถ้อยคำของหล่อนแหลมคม แฝงอะไรไว้ให้คิดบ่อย ๆ ประนุทเป็นเด็กดี อ่อนหวานน่ารัก เป็นคนสวยคนหนึ่งในตำบลที่เราอยู่ หล่อนเรียกข้าพเจ้าว่าพี่มาตั้งแต่เล็ก ข้าพเจ้าก็เอ็นดูหล่อนเหมือนน้อง เมื่อวันที่เรือคาลกันออกจากท่าบอร์เนียว ประนุทร้องไห้ตาบวม หล่อนคงรู้สึกคล้ายหัวใจจะแตกทำลายไป เราไม่เคยจากกันเลย ประนุทกับข้าพเจ้า เราเคยเดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกเช้า บางวันข้าพเจ้าก็ถือหนังสือให้หล่อนจนถึงโรงเรียน วันแห่งความหลังเหล่านี้ยังจารึกอยู่ในชีวิตวิญญาณ ประนุทกับประมัย เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เรารักกันเหมือนญาติ เราสัญญากันอยู่ในใจว่าจะรักกันจนวันตาย