๓๖

ลงจากบันไดไปข้างล่างโดยมิได้พบปะใคร ไฟในห้องโถงยังจุดสว่างอยู่ ขณะนั้น แม้จะยังไม่เรียกว่าดึก แต่ทั่วบริเวณเกาะน้อยช่างเงียบสงัดเสียนี่กระไร คนที่มาพักเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หรือมิฉะนั้นก็นอนหลับเสียแล้ว พวกคนใช้คงจะพากันไปจับปลาเพื่อหาลำไพ่ ที่ลานซีเมนต์ระหว่างตำหนักเก่า มีสุนัขนอนอยู่ ๒ ตัว มันชูศีรษะขึ้นดูเราแล้วก็นอนต่อไปใหม่ หน้าต่างของมนัสไฟดับมืด แสดงว่ากำลังหลับอย่างสบาย วารยาเดินเคียงไปกับข้าพเจ้าโดยมิได้พูดว่ากระไร หล่อนสอดแขนเกี่ยวกับแขนข้าพเจ้าด้วยกิริยาอันสนิทสนมเป็นกันเอง ขณะที่ลงบันไดหินตรงไปยังชายน้ำ เราผ่านดงสนซึ่งบังแสงเดือนแทบมิด ทำให้ต้องค่อย ๆ เดินเพราะค่อนข้างจะมืด วารยาจับแขนข้าพเจ้าแน่นเนื่องด้วยมีหินตะปุ่มตะป่ำมาก เมื่อพ้นดงสนแล้วก็ถึงเขตเดือนหงายสว่าง เราเดินตัดไปที่ท่าน้ำ พบเรือบดผูกอยู่ที่หลักข้างบันไดหินลำหนึ่ง ข้าพเจ้าสาวเชือกดึงเอาเรือเข้ามาเทียบบันได แล้วก็พยุงวารยาให้ลงไปนั่งยังกระทงท้าย ตัวเองลงไปนั่งกระทงกลาง ปลดเชือกออกจากหลัก พลางหยิบกรรเชียงมาสอดเข้ากับห่วงเหล็กทั้งสองข้าง แล้วพุ้ยน้ำถอยเรือห่างตลิ่งออกไป

คืนนั้นพระจันทร์ข้างขึ้นฉายแสงสว่างงดงามอยู่กลางท้องฟ้าสีน้ำเงิน ถึงจะไม่ใช่วันเพ็ญ แต่แสงก็สุกสว่างพอที่จะเห็นอะไรได้ถนัด พื้นน้ำในทะเลสาบคุ้นหมิงหูเรียบประดุจแผ่นกระจก ขณะที่มีลมพัดมาฉิว ๆ ก็กระเพื่อมเป็นระลอกน้อยๆ เป็นประกายอยู่ในแสงจันทร์ นั่งอยู่ในเรือแวดล้อมไปด้วยความอ้างว้างของท้องน้ำเช่นนี้ ความร้อนก็ทุเลาลง เมื่อสายลมพัดมาต้องกาย เรารู้สึกเย็นระรื่นชื่นใจ เรือแล่นไปช้า ๆ เสียงพายกระทบน้ำดังจ๋อม ๆ เราห่างฝั่งออกไปทุกทีจนกระทั่งในที่สุดก็แลเห็นทิวไม้บนฝั่งเพียงสลัว ๆ

วารยานั่งพิงพนักข้างหลังเฉยอยู่เป็นเวลานาน หล่อนมองดูข้าพเจ้าตีกรรเชียงอย่างใจลอย เมื่อเรือห่างฝั่งออกมามากแล้ว หล่อนก็เอ่ยขึ้นว่า

“พอทีจะดีกระมัง ระพินทร์ เราปล่อยให้เรือลอยดีกว่า เธอจะเหนื่อยเปล่า ๆ”

ข้าพเจ้ารูดพายทั้งสองมาขัดไว้กับกระทงที่นั่ง ลดตัวลงนั่งยังพื้นกระดานท้องเรือ เอนหลังพิงกราบเรือข้างหนึ่ง เหยียดขาไปยันอีกกราบหนึ่งในท่าสบาย ขณะนั้นหัวเรือเบนไปทางเขาหมื่นปี ดวงจันทร์จึงฉายแสงนวลส่องต้องหน้าวารยาเต็มที่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหน้านั้นอิ่มเอิบเปล่งปลั่งขึ้นเล็กน้อย ผมสีทองปลิวกระจายทำให้น่าเอ็นดูมากขึ้น

“ฉันรู้สึกตัวว่าเราโง่มาก กว่า ๑๐ วันแล้วที่มัวไปเก็บตัวอยู่บนเกาะ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น

“นั่นน่ะซี เราควรจะอยู่ในเรือลำนี้มากกว่า” วารยารับรอง “ดูพื้นน้ำซี ระพินทร์ ใสเหมือนแผ่นกระจก พระจันทร์ ท้องฟ้า ลมพัด เราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

“ถ้าโลกสงบอย่างนี้” ข้าพเจ้าพูด ตาจับอยู่บนพื้นน้ำ “เราก็คงเหมือนอยู่ในเมืองสวรรค์”

หล่อนหัวเราะ

“ฉันพอใจแล้ว ถ้าทุก ๆ สัปดาห์ได้มีคืนอย่างนี้สักคืนหนึ่ง มันต่างกับเวทีเต้นรำราวฟ้ากับดิน”

“ฉันไม่ได้ไปที่คาราซาร์ตั้งนาน เธอล่ะ?”

“เหมือนกัน” ตอบสั้น ๆ แล้วก็นิ่งเงียบไป ดูประหนึ่งว่าคำว่าคาราซาร์ได้กระทบความรู้สึกอันราบรื่นเข้า

ข้าพเจ้าจับตาอยู่ที่หน้าหล่อน วารยาสบตานิดหนึ่งแล้วก็หลบมองไปทางอื่น

“อยากจะนั่งอยู่อย่างนี้” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นลอย ๆ “ฉันคิดว่าสบายเสียยิ่งกว่าฤดูสปริง”

“ถ้าเธออยู่ปักกิ่งเรื่อยไป เธอก็คงจะมานั่งได้บ่อย ๆ” วารยาตอบ “แต่อีกไม่ช้าเธอก็จะกลับเมืองไทยเสียแล้ว”

ข้าพเจ้ายิ้มอย่างเศร้า

“ฉันจะต้องคิดถึงคืนเช่นนี้ในปักกิ่ง–คงจะลืมไม่ได้เป็นแน่”

หล่อนส่ายหน้าช้า ๆ

“ความหลังที่สวยงามเป็นของตายยาก เช่นเดียวกับความหลังที่มืดมัว เออ ระพินทร์ เธอไปเมืองไทยเธอจะทำอะไร?”

“ฉันจะไปทำนา” ข้าพเจ้าตอบโดยไม่ต้องใช้ความคิด

“อ้อ เป็นกสิกร เธอไม่คิดจะทำอะไรอีกหรือ?”

“ฉันคิดจะทำเยอะแยะ แต่ยิ่งอยู่ในโลกนี้นานไปก็ยิ่งท้อจนบอกไม่ถูก ฉันคิดว่าฉันอาจจะต้องบ้าตาย ถ้าฉันต้องติดต่อกับคนมาก ๆ”

“เป็นโรคเบื่อคน”

“อาจเป็นได้ แต่คนเราไม่น่าเบื่อดอกหรือ วารยา?”

หล่อนหัวเราะไม่ได้ตอบว่ากระไร

“ฉันมีชีวิตที่จะเล่าให้เธอฟังมาก ที่จริงฉันยังเป็นหนุ่มมากทีเดียว แต่ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันแก่ก็ต้องผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่เรื่องผู้หญิงหรือเรื่องส่วนตัวดอกนะ ฉันคิดว่าวันหนึ่งฉันจะเริ่มเห็นแก่ตัวบ้าง ฉันจะไม่คิดถึงใครหรืออะไรทั้งหมด นอกจากตัวของฉันเอง”

“แล้วเธอจะทำอย่างไร?”

“ง่ายนิดเดียว กิน ดื่ม ร่าเริงให้เต็มที่ เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว”

“ถ้าทุกคนทำอย่างเธอ โลกนี้ก็เห็นจะไม่มีวันก้าวหน้า”

“แน่ละ มันจะก้าวหน้าได้อย่างไร ในเมื่อคนเราคิดแต่เรื่องส่วนตัว ไม่ต้องการจะเอาธุระกับสังคม สังคมของเรามันจึงแย่ลงทุกวัน”

“ฉันรู้ใจเธอ” วารยากล่าวอย่างจริงจัง “เธอจะไปทำนาก็เพราะเธอเบื่อสังคม”

“แต่นั่นแหละ ชีวิตคือการต่อสู้ ฉันยังต่อสู้กับชีวิตอยู่เสมอ การทำนาก็คือการต่อสู้ในความเงียบสงบ ฉันคิดว่าถึงฉันจะเริ่มเห็นแก่ตัวจนถึงกับหนีไปอยู่ป่า ฉันก็ยังคงทำประโยชน์ให้แก่สังคมอยู่ ฉันไม่ได้ไปนอนอยู่ในโรงนาเฉย ๆ ฉันฟันดินกินหญ้า อาบเหงื่อต่างน้ำ ฉันทำให้พืชผลเกิดเพิ่มขึ้น ฉันต้องดีกว่าเจ้าพวกหากินกับเงิน ที่นั่งกินนอนกินดอกเบี้ยอยู่กับบ้านอย่างแน่ ๆ คนพวกนี้สร้างความหมดเปลือง เอาเปรียบสังคม แล้วยังขูดรีดกินแรงเพื่อนร่วมโลกอีกด้วย ฉันไม่ได้ทำให้โลกหมดเปลือง เพราะฉันไปทำไร่ทำนา ฉันทำให้ของในโลกนี้มีมากขึ้นอีก”

“เป็นความคิดที่ดี” หล่อนพูด ตาจับอยู่ที่พื้นน้ำ

“นี่เป็นความตั้งใจของฉัน ต่อไปนี้ฉันอยากจะถามความตั้งใจของเธอบ้าง”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ