๑
เมื่อพูดถึงชีวิต ข้าพเจ้าก็อดเศร้าใจไม่ได้ ชีวิตคืออะไร? ทำไมเราจึงจะต้องเกิดมา? ข้าพเจ้าคิดว่าถึงเราจะอยู่ในโลกนี้นานสักเท่าใด เราก็คงยากที่จะเข้าใจชีวิตได้ ที่ยากจะเข้าใจได้ก็เพราะว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ชีวิตเต็มไปด้วยความดีความชั่ว ชีวิตเต็มไปด้วยความสูงความต่ำ ชีวิตเต็มไปด้วยความเป็นอนิจจังอย่างพระท่านว่า บางทีจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าชีวิตคืออะไร ข้าพเจ้าได้ผจญกับชีวิต และได้พยายามเรียนเรื่องชีวิต เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีอายุเพียงสามสิบสองปี ยังเป็นหนุ่มอยู่ ถึงแม้จะยังเข้าใจอย่างละเอียดไม่ได้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ก็พอจะสรุปความได้ว่าชีวิตคือทางเดินเส้นหนึ่งราบเรียบในบางแห่ง ขรุขระในบางตอน บางทีก็เต็มไปด้วยขวากหนาม บางทีก็เต็มไปด้วยรุกขชาติอันมีดอกหอมตลบและสวยงาม เราเดินไปตามทางเส้นนี้–เดินไป–เดินไป ถ้าโชคดีเราก็ได้ทางราบเรียบเป็นส่วนมาก ถ้าโชคร้ายเราก็ต้องลุยเลนตมและบุกป่าฝ่าหนามเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าทางเส้นนี้ใครจะเดินก็ตาม ย่อมจะไปจบลงในที่อันเดียวกัน คือที่ซึ่งมีความเสมอภาค ไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีนาย ไม่มีทาส ไม่มีรวย ไม่มีจน ที่นั้นคือหลุมฝังศพและเชิงตะกอน!
ข้าพเจ้าชอบพูดถึงชีวิต ชอบพูดถึงโชคและวาสนา ชอบพูดถึงสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่ควรจะเป็น ทำไมข้าพเจ้าจึงชอบพูดถึงสิ่งเหล่านี้? มันสนุกสนานนักหรือที่จะพูดถึงความเศร้าและความผิดหวัง? เมื่อระลึกถึงความหลังที่ได้ผ่านไปแล้วทุก ๆ ระยะ ข้าพเจ้าก็บังเกิดความรู้สึกว่าในชีวิตของเรา โชคเป็นนายที่ใจร้ายและใจดี โชคให้เราทั้งความยุติธรรมและความอยุติธรรม โชคทำให้เราขาดความเสมอภาค และทำให้เราสูญสิทธิที่เราควรจะได้ โชคให้ความสุขแก่เราทั้ง ๆ ที่เราไม่ควรจะได้รับ และในทำนองเดียวกัน โชคก็ให้ความทุกข์แก่เรา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ควรจะได้รับความทุกข์นั้นเลย โชคตัวเดียวที่ทำให้ชีวิตกลายเป็นปุยนุ่นอันลอยอยู่ในอากาศ–เป็นเรือที่ปราศจากหางเสือ คนทั่วไปจะรู้สึกเรื่องโชคอย่างที่ข้าพเจ้ารู้สึกหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง อย่างน้อยโชคก็ได้ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าหมุนเวียนไปในความเศร้ามากกว่าความสุข ท่านเชื่อไหมว่า โชคได้พาข้าพเจ้าเตร็ดเตร่ไปถึง ปักกิ่ง–นครแห่งวัฒนธรรมของจีน–มีความสวยงามของศิลปะอันลึกซึ้งยากที่จะพรรณนาถูก แต่เบื้องหลังแห่งความสวยงามนั้น ความเศร้าและความเยือกเย็นของชีวิตได้ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ
เรื่องเมืองปักกิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ตาย ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้ข้าพเจ้าลืมปักกิ่งได้ พูดเช่นนี้ท่านคงประหลาดใจ เพราะโดยสภาพที่เห็นได้ด้วยตา ปักกิ่งไม่ควรจะมีอะไรมากมายจนกระทั่งจะลืมไม่ได้ บ้านเรือนผุพังยังไม่ทิ้งแบบเก่าเหมือนที่ได้เป็นมาแล้วในสมัยโบราณ ถนนหนทางเป็นหลุมเป็นบ่ออุดมไปด้วยฝุ่น ฝุ่นปักกิ่งร้ายนัก นักเขียนฝรั่งทุกคนเมื่อเขียนถึงเรื่องเมืองปักกิ่ง เป็นต้องพูดถึงฝุ่น ดูเหมือนว่าถ้าใครไม่เขียนเรื่องฝุ่น ผู้นั้นก็วาดภาพปักกิ่งคลาดเคลื่อนไปถนัด นอกจากฝุ่นแล้ว ภาพที่ทำให้ใจไม่สบายก็คือภาพของคนจน ชาวปักกิ่งจนมาก–จนอย่างที่เราคาดไม่ถึง–จนอย่างที่จะเป็นจะตายเอาทีเดียว พวกเราคนไทยไม่เคยจนอย่างนั้น คนจนของเมืองไทยไม่เคยจนตาย แต่คนจนของปักกิ่งและตลอดจีนเหนือจนตายเอาบ่อย ๆ วันที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับคนจนในจีนเหนือก็คือวันในฤดูเหมันต์ ตลอดวันแห่งความทุกข์ยากเหล่านั้น พวกฝรั่งมิชชันนารีได้มีโอกาสทำบุญกันใหญ่โต คณะ Salvation Army อันเป็นองค์การศาสนาคริสเตียนมีสาขาอยู่ทั่วตะวันออก ตลอดจนคณะ Y.M.C.A. และ Y.W.C.A. ได้ช่วยกันออกแจกจ่ายเสื้อผ้าและอาหารแก่คนจน คริสต์ชนเหล่านี้มีทั้งจีนและฝรั่ง เมื่อมองดูผิวพรรณและหน้าตา ข้าพเจ้าก็อยากจะคิดว่า ผิวเหลืองกับผิวขาวควรจะร่วมมือช่วยกันสร้างความวัฒนาถาวรให้แก่โลกได้บ้าง ถ้าทั้งสองฝ่ายมีใจสูงพอที่จะหนีให้ไกลจากธรรมดาฝ่ายต่ำทั้งปวงได้ตามสมควร บรรดาคริสต์ชนพวกนี้ได้ช่วยชีวิตคนจนในจีนเหนือไว้ในปีหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนมาก นี่เป็นความจริงที่ควรจะเตือนให้เราเร่งพินิจพิจารณาดูว่า ศาสนาไม่ควรจะเป็นเรื่องของจิตใจเท่านั้น แต่ควรจะเป็นเรื่องของวัตถุบ้างตามสมัยเวลา