๕๓

เวลาผ่านไปอีก ๑ สัปดาห์

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมวารยาอีกหลายครั้ง บางคราวก็ชวนมนัสไปด้วย วารยาสนทนากับเราอย่างสนุกสนานร่าเริง คล้ายกับชีวิตของหล่อนไม่มีรอยชอกช้ำอะไร มนัสแสดงกิริยาประหลาดใจ ข้าพเจ้าไม่ได้อธิบายอะไรมาก นอกจากบอกว่าไม่มีอะไรจะน่าห่วงแล้ว สำหรับวารยา หล่อนกำลังจะเดินทางไปสู่แผ่นดินแห่งความสุข แต่ความสุขของวารยาคืออะไร มนัสไม่ทราบและไม่ติดใจซักถาม

เมื่อ ๑ สัปดาห์ได้ล่วงพ้นไปแล้ว วารยาก็บอกข้าพเจ้าว่า เวลาที่เราจะได้พบหน้ากันยังเหลืออยู่อีกเพียง ๓ วันเท่านั้น

“ฉันอยากเห็นคุ้นหมิงหูอีกสักครั้งหนึ่ง” หล่อนกล่าวแก่ข้าพเจ้า “เธอรู้สึกว่าเธอว่างพอไหม ระพินทร์?”

“ฉันพร้อมเสมอที่จะรับคำสั่งจากเธอ วารยา” ข้าพเจ้าตอบอย่างร่าเริง แต่น้ำใจจริงค่อนข้างจะเศร้าหมอง

“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าเราจะไปคุ้นหมิงหูกัน” หล่อนพูดพลางยิ้มน้อย ๆ

รุ่งเช้า ขณะที่หมอกยังปลิวอยู่เหนือพื้นดิน เรา วารยากับข้าพเจ้าก็ขึ้นรถบัสสายปักกิ่ง–ชิ้งหวา บ่ายหน้าไปยังตำบลห่ายเตี้ยน ลงรถที่แยกถนนข้างสวนต้าหยวนซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่โบราณ เราชวนกันเดินไปบนแผ่นหินสีแดงเก่าคร่ำไปด้วยอายุซึ่งปูทอดตามถนนทั้งสองข้าง ต้นวิลโลว์ซึ่งปราศจากใบกำลังส่ายกิ่งอยู่ในสายลมหนาว ถึงแม้แดดจะอบอุ่น แต่ลมเหนือพัดค่อนข้างแรง จึงทำให้ลมหนาวจัดสักหน่อย ลำธารที่แล่นขนานไปตามถนนไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว แลเห็นแต่แผ่นน้ำแข็งอันปกคลุมไปด้วยฝุ่นสีแดงซึ่งลมหอบมาจากบริเวณทะเลทรายโกบี ระยะทางที่เราเดินไปนี้กินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งนับว่ากำลังพอเหมาะสำหรับฤดูหนาว เราเดินคุยกันไปตลอดทาง รู้สึกแจ่มใสชื่นบานผิดปรกติ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่าวารยากำลังจะจากไป และวารยาก็ดูเหมือนจะไม่ได้คิดว่าอีก ๓ วันหล่อนจะไม่ได้เห็นปักกิ่งแล้ว เรากำลังมีชีวิตใหม่ ชีวิตที่ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ชีวิตเพียงวันเดียวที่คุ้นหมิงหู!

ที่ประตูใหญ่นอกเขตภูเขาหมื่นปีและทะเลสาบคุ้นหมิงหูเราพบเพื่อนสองสามคน เขาแสดงกิริยาประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นข้าพเจ้าไปกับวารยา เพราะตามธรรมดาเราไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันไกล ๆ สองต่อสองเลย แต่จะแปลกอะไรในเมื่อข้าพเจ้าถือว่าวารยาเป็นแต่เพื่อน และวารยาก็คงไม่คิดว่าข้าพเจ้าเป็นอะไรมากกว่าเพื่อน เราซื้อตั๋วเดินเข้าประตูไปด้วยกิริยาอันผึ่งผาย ไม่สะทกสะท้านต่อการมองอย่างไม่พยายามเข้าใจของคนเหล่านั้น ในบริเวณเชิงเขาหมื่นปี ชายทะเลสาบเงียบสงัดวิเวกวังเวง ไม่พบคนเที่ยวเลยนอกจากผู้รักษาพระราชวัง ทั้งนี้เพราะอากาศหนาวจัด และไม่มีอะไรจะดูมากนักสำหรับฤดูหนาว เราหยุดพักดื่มน้ำชาร้อนที่เก๋งชายฝั่ง นั่งชมผืนน้ำอันกว้างไพศาล ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปทั่ว ครู่หนึ่งเราก็ออกเดินไปตามทางเล็ก ๆ เชิงเขา ตรงไปยังเรือหินอ่อนซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระนางสือสีผู้กำโชคชาตาของแผ่นดินจีน เมื่อใกล้อวสานของราชวงศ์ชิ้ง ที่ตรงเรือหินอ่อนนี้มีทางแคบ ๆ ตัดขึ้นไปบนภูเขา เราเดินขึ้นไปตามทางนี้จนถึงยอดเขาหมื่นปี และเข้านั่งพักอยู่ใต้ต้นสน มองดูภาพอันเพลินตาโดยรอบตัว น้ำแข็งในทะเลสาบกระทบแสงแดดส่องแสงเป็นประกายวาวคล้ายกระจก ไกลออกไปเล็กน้อยก็เห็นเกาะหลุงหวางต่าวซึ่งเราเคยไปพักร้อนกัน และวารยาเกือบจะยิงตัวตายในคืนวันนั้น ไกลออกไปอีกที่ขอบฟ้าสีเขียวอ่อน ก็แลเห็นพระเจดีย์สีขาวโพลนในพระราชวังฤดูหนาวแห่งนครปักกิ่ง สถานที่ซึ่งวลาดิมีร์ได้ปลิดชีวิตของตนเองด้วยวิธีการอันฉลาดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หันไปมองดูเบื้องหลังแลเห็นทิวเขาซีซานเป็นพืดยาว และชายเขาแห่งนี้ วลาดิมีร์กำลังนอนอยู่ในหลุมซึ่งก่ออย่างถาวร–นอนอยู่ในความเงียบเต็มไปด้วยความสุขสงบ ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ได้กระทบความรู้สึกเราอย่างแรง ข้าพเจ้ารู้ดีว่าวารยากำลังคิดถึงอะไร หล่อนนั่งนิ่งนัยน์ตาลอย มองยอดเจดีย์สีขาวที่ขอบฟ้าแล้วก็หันไปมองดูพูดเขาซีซาน ทันใดนั้นหล่อนก็เอ่ยขึ้นว่า

“ชีวิตเรานี่แปลกนะ ระพินทร์ ก่อนที่เราจะตาย เราต้องพบกับสิ่งที่คาดไม่ถึงมากมายเหลือเกิน เธอดูทางทิศตะวันตกนั่นซิ ถ้าเรามีสายตาไกลพอ เราจะเห็นเปโตรกราดเก่า ที่นั่นเมื่อปีฉันเกิดได้ชุลมุนวุ่นวายกันใหญ่ พวกกรรมกรและชาวนารวมทั้งเด็กและผู้หญิงได้พากันเข้าไปร้องทุกข์พระเจ้าซาร์ที่พระราชวังฤดูหนาว แต่ทหารคอสแซ็กและทหารรักษาการณ์ได้เข้าไล่ฆ่าฟันเอาอย่างไม่ปรานี มีคนเจ็บคนตายนับพัน ต่อจากนั้นอีก ๑๒ ปีก็เกิดการปฏิวัติใหญ่ ฉันนั่งอยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกคล้ายได้เห็นประเทศรัสเซียที่รักของฉันกระเถิบใกล้เข้ามาอยู่ที่ขอบฟ้า ได้แลเห็นความแตกตื่นวุ่นวายในวันปฏิวัติแล้วแม่ฉันก็เสียชีวิตไป กระดูกของแม่อยู่ในรัสเซีย แต่ฉันก็ไม่คิดหรอกว่าพวกน้อง ที่เราหอบหิ้วกันมา จะมาตายลงที่ฮาร์บินอีกจนเหลือแต่ฉันกับพ่อ กระดูกของน้องเวลานี้อยู่ในฮาร์บิน ห่างกับกระดูกของแม่หลายร้อยหลายพันไมล์ เวลานั้นฉันไม่นึกเลยว่ากระดูกของพ่อจะต้องมาถูกทิ้งอยู่แต่ลำพังที่ซีซาน” หล่อนหยุดถอนใจเบา ๆ “ครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ในรัสเซีย เราเคยร่วมโต๊ะอาหารกันทุกเช้าค่ำ แต่ผลที่สุดเราก็ต้องแยกกันไปคนละทางสองทางห่างไกลกันตั้งหลายร้อยหลายพันไมล์ แม่อยู่ในมอสโก น้อง ๆ อยู่ในฮาร์บิน ส่วนพ่ออยู่ที่นี่ เวลานี้เหลือฉันคนเดียว ฉันยังไม่รู้ว่าฉันจะไปตายที่ไหนดี ฉันอยากไปอยู่ใกล้ ๆ แม่ แต่มันหมดหวังเสียแล้ว”

ข้าพเจ้าบีบแขนวารยาเบา ๆ

“แต่เธอจะได้พบแม่ในเมืองสวรรค์ ขอให้เชื่อเถิด”

“โลกของวิญญาณ ฉันอยากให้มีโลกเช่นนี้ ฉันต้องการพบแม่ พบน้อง และพบพ่อ เราอยากอยู่ด้วยกันสักครั้งหนึ่ง”

“แต่เราจะต้องต่อสู้กับชีวิตอย่างใจเย็น ก่อนที่เราจะพบโลกนั้น”

“ฉันรับรองว่าฉันจะต่อสู้กับชีวิตอย่างใจเย็นเสมอ” วารยากล่าวด้วยความมั่นใจ “ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง ฉันก็ไม่เคยนึกกลัวว่าต่อไปนี้ฉันจะต้องมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน เวลาตายก็จะต้องตายคนเดียว คงมีแต่ไม้กางเขนเท่านั้นที่จะช่วยให้ฉันได้รับความอบอุ่นได้”

“ถึงเราจะต้องจากกัน” ข้าพเจ้ากล่าวเสียงเบาแต่ชัดและหนักแน่น “ฉันอยากให้เธอเชื่อว่าฉันจะไม่ลืมเธอเลย”

“ขอบใจ ระพินทร์” หล่อนพูดพลางยิ้มเศร้า ๆ “ฉันนึกถึงเธอเสมอ เวลาฉันรู้สึกว้าเหว่”

ข้าพเจ้าเดินหน้าไปเสียทางหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าคงจะคุมสติไว้ไม่ได้ถ้าขืนมองตาหล่อนอยู่เช่นนั้น พยายามทำใจให้เข้มแข็ง พยายามลืมภาพทุกภาพที่อยู่ในชีวิตของวารยา แต่หัวใจของข้าพเจ้าทำด้วยเนื้อที่อ่อนนุ่ม ไม่ใช่เหล็กไม่ใช่หิน เพราะฉะนั้น ถึงจะพยายามสะกดกลั้นความตื้นตันสักเพียงใดก็หาสำเร็จไม่ คำพูดของวารยาประโยคสุดท้ายมีอำนาจเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาตรงกลางหัวใจ “ฉันจะนึกถึงเธอเสมอเมื่อฉันรู้สึกว้าเหว่” แปลว่าอะไรกัน? น้ำเสียงและถ้อยคำได้บอกอยู่อย่างชัดเจนแล้วว่าวารยามีความรู้สึกอย่างไรต่อข้าพเจ้า ระพินทร์จะใจดำไปถึงไหน อย่างน้อยก็เป็นเรื่องของมนุษยธรรม เรื่องที่หัวใจซึ่งทำด้วยเนื้อจะทนเย็นชาอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้าได้แพ้ต่อตัวเองแล้วทุกประการ เรานิ่งเงียบ กำลังคิด–คิด–คิด คิดด้วยหัวใจอันสั่นสะท้าน คล้ายกับคนไข้หนัก ผลที่สุดข้าพเจ้าก็หันมาทางวารยา จับมือหล่อนมาบีบไว้แน่น

“วารยา ฉันทนไม่ได้–ทนไม่ได้จริง ๆ” น้ำเสียงข้าพเจ้าแหบแห้งและสั่นผิดปรกติ “เธอจะไปแมนจูเรียไม่ได้ ฉันจะยอมให้เธอไปทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนั้นไม่ได้ ฉันรักเธอ–วารยา ได้ยินไหม?”

ด้วยกิริยาอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิดฝันว่าข้าพเจ้าจะกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนั้น วารยาเงยหน้าขึ้นมองข้าพเจ้าตะลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แววตาของหล่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกพิศวงและตกใจนิดหน่อย ความรู้สึกนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกยินดี–อบอุ่น–และพอใจ ดูคล้ายกับเด็กที่หลงทางอยู่ในป่าเปลี่ยวแล้วบังเอิญเดินไปพบบ้านคนอยู่ข้างหน้า หล่อนมองตาข้าพเจ้าเฉยอยู่ ความอ่อนหวานในดวงใจปรากฏอยู่ในแววตาคู่นั้นอย่างถนัดชัดเจน วารยาบีบมือข้าพเจ้าแน่น–แน่นกว่าที่ข้าพเจ้าบีบหล่อนมีกิริยาคล้ายกับจะโผเข้ามาอยู่ในวงแขนข้าพเจ้า แต่ในทันใดนั้นเอง ดวงหน้าหล่อนก็เหี่ยวแห้งลงทันที ชะงักนิ่งอย่างลังเลใจ ริมฝีปากเม้มสนิท ตาหลบต่ำลง ครั้นแล้ววารยาก็ถอนมือไปอย่างเชื่องช้า

“ขอบใจเธอ ระพินทร์” หล่อนกล่าวพลางพยายามยิ้ม “ความรักความเห็นใจของเธอฉันยินดีรับ แต่ฉันจะรักเธอไม่ได้”

“ฉันรู้ว่าเธอรักฉัน” ข้าพเจ้ากล่าวอย่างดื้อดึง

“เธอเข้าใจผิด” เสียงหล่อนค่อนข้างเด็ดขาด “ฉันไม่ได้รักเธออย่างที่เธอเข้าใจ ฉันรักเธออย่างเพื่อน เธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ขอให้เราจงเป็นแต่เพื่อนกันเถิด ระพินทร์”

ข้าพเจ้าคล้ายถูกตีศีรษะอย่างแรง แน่แล้วหรือที่วารยาพูดเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อเลย ข้าพเจ้าอยู่ในโลกนี้มานานพอที่จะรู้ว่า กิริยาและถ้อยคำของหล่อนที่เคยแสดงต่อข้าพเจ้านั้นหมายความว่ากระไร แต่ต่อหน้าข้าพเจ้าในบัดนี้ วารยากับบอกว่าหล่อนไม่ได้รักข้าพเจ้าเลยสักนิด!

เมื่อเห็นข้าพเจ้านิ่งอั้น วารยาก็กล่าวต่อด้วยความเยือกเย็น

“ขอให้เชื่อเถิด ระพินทร์ ว่าฉันไม่ได้รักเธอ ฉันต้องการเธอเป็นเพื่อน และเธอก็ได้อุปการะฉันมาก ข้อนี้ฉันไม่ขอลืม ขอให้ฉันตอบแทนความรักของเธอด้วยความกตัญญูจะดีกว่า” หล่อนเอื้อมมือมาบีบแขนข้าพเจ้าเบา ๆ “เธอต้องเป็นผู้ชายตัวอย่างที่เคยเป็นมาแล้ว เธอมีคนคอยอยู่ในเมืองไทยไม่ใช่หรือ ระพินทร์? เธอต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง”

ข้าพเจ้าพยายามที่จะอ้าปากขึ้นปฏิเสธคำโกหกที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปในวันนั้น ปฏิเสธประโยคที่ทำให้วารยาต้องออกเดินทางไปอีกทิศหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่มีกำลังพอที่จะเอ่ยปากว่ากระไรได้ ขณะที่ต่อสู้กับความลังเลใจอยู่นี้ วารยาก็พูดขึ้นว่า

“เธอลืมประนุทของเธอเสียแล้วหรือ ระพินทร์? ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไทย รู้จักชอบพอกับเธอมาตั้งแต่เล็ก เหมาะสมกับเธอทุกอย่าง เธอจะต้องรักษาตัวรักษาใจไว้สำหรับเขา เมื่อเธอเรียนสำเร็จ แล้ว เธอก็จะกลับไปแต่งงานกับประนุท งั้นไม่ใช่หรือระพินทร์? ไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว ฉันรู้ สำหรับฉัน ฉันมีหน้าที่สำคัญต่อเธออยู่อย่างหนึ่ง หน้าที่ของเพื่อนที่ดี–หน้าที่ของผู้ที่จะตอบแทนบุญคุณของเธอด้วยความกตัญญู หน้าที่อันนี้ก็คือคอยเอาใจช่วยพร้อมด้วยพรทุก ๆ ประการ ฉันขอพิสูจน์ความสุจริตใจของฉันด้วยของสิ่งนี้—” พูดพลางหล่อนก็ถอดแหวนทองเกลี้ยง ๆ ปราศจากเพชรหรือพลอยออกจากนิ้วนาง แล้วยื่นให้ข้าพเจ้าพร้อมกล่าวสืบไปว่า “นี่เป็นแหวนที่แม่ให้ไว้แก่ฉัน เป็นของมีค่าสิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่ เธอจงเอาไปสวมแก่ประนุทของเธอเถิด บอกว่าเธอซื้อมาจากปักกิ่งก็แล้วกัน”

เหตุการณ์ที่วารยาสร้างขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนนี้ ทำให้ข้าพเจ้านิ่งตะลึงไปอีก มองดูแหวนนั้นอย่างประหลาดใจ แล้วตอบว่า

“ขอบใจมาก วารยา แต่ฉันจะรับของสำคัญชิ้นนี้จากเธอไม่ได้”

“ถ้าเธอไม่รับ” หล่อนพูดอย่างขู่ “ฉันจะถือว่าเธอไม่ได้รักฉันเลย”

หล่อนยัดแหวนวงน้อยนั้นลงในมือข้าพเจ้าอย่างบังคับกลาย ๆ ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะพูดว่าอย่างไร รู้สึกคล้ายกับกำลังตกอยู่ในความฝันที่ปราศจากความจริง มองดูแหวนแล้วก็มองดูหน้าผู้ให้ วารยาสบตาข้าพเจ้าเฉยอยู่โดยมิได้สะทกสะท้าน ในแววตาของหล่อนแสดงความเด็ดขาดอยู่ในตัว แต่เป็นความเด็ดขาดที่อ่อนละมุนละไมอย่างที่จะอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ได้

“ฉันรับไว้ไม่ได้ วารยา” ข้าพเจ้ายังคงยืนยันอยู่ตามเดิม “แหวนนี้มีค่าสำหรับเธอ อย่าลืมว่าแม่เธอคงไม่ต้องการให้เธอถอดให้แก่ใคร”

“แต่ฉันรู้ว่าแม่ยินดีให้ฉันถอดให้แก่คนที่ได้ช่วยชีวิตฉันไว้จากความชั่ว” หล่อนกล่าวอย่างหนักแน่น “ถ้าเธอไม่รับ ฉันจะเสียใจมาก”

ข้าพเจ้ามองตาหล่อน ไม่รู้จะโต้เถียงอย่างไรต่อไปอีก น้ำเสียงของหล่อนเฉียบขาด แน่วแน่ แสดงว่าจะไม่ยอมถอยหลังให้แม้แต่ก้าวเดียว แหวนวงนี้วารยามอบให้ข้าพเจ้าไปสวมนิ้วของประนุท! ดูเอาเถิด หมายความว่ากระไร? ทำไมหล่อนจึงชอบพูดถึงประนุทบ่อย ๆ? จะให้ข้าพเจ้าเชื่อหรือว่าวารยามอบแหวนวงนี้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ?

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกเป็นเวลานาน วารยานั่งมองดูขอบฟ้าทางเขาซีซานอย่างใจลอย ข้าพเจ้าคิดว่าได้เห็นชอบตาของหล่อนชุ่มไปด้วยน้ำตา

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ