๔๖
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เสียงเคาะประตูดังรัวถี่ผิดปรกติ ข้าพเจ้าตกใจตื่น รีบลุกขึ้นลงจากเตียงมาเปิดประตูห้อง คนใช้ซึ่งเป็นทั้งต้นห้องและคนครัวยืนหน้าตื่นอยู่ตรงหน้า เขารีบรายงานโดยข้าพเจ้ายังไม่ทันจะถาม ว่าวารยามาคอยอยู่ในห้องรับแขก มีธุระด่วนมาก ต้องการจะพูดด้วย
เกิดเหตุอะไรขึ้นหรือ วารยาจึงฝ่าความหนาวมาในเวลาวิกาลเช่นนี้? ข้าพเจ้าใจเต้นแรงคว้าเสื้อคลุมสวมทับเสื้อนอนอย่างเรียบร้อย แล้วรีบออกไปที่ห้องรับแขก วารยายืนอยู่ข้างเก้าอี้นวมหน้าซีดขาว มีกิริยากระวนกระวายจนสังเกตได้
“มีเรื่องอะไรหรือ วารยา?” ข้าพเจ้าถามขึ้นก่อน
หล่อนมองดูข้าพเจ้าอย่างตื่นกลัว
“พ่อหายไปตั้งแต่เมื่อคืน ไม่รู้ว่าไปไหน แต่ฉันคิดว่า...”
“อะไรนะ?” ข้าพเจ้าสวนขึ้นทันที พลางสืบเท้าเข้าไปใกล้ “หายไปไหนกัน?”
วารยานิ่งคอแข็ง น้ำตาคลอตา
“เธอแน่ใจหรือว่าหายไป? อาจออกไปข้างนอกก็ได้” ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่เชื่อ
แทนคำตอบ หล่อนยื่นจดหมายภาษาอังกฤษให้ข้าพเจ้าดูฉบับหนึ่ง คลี่ออกอ่านพบใจความสั้น ๆ ดังนี้
“วารยา ลูกรัก
พ่อจากไปเพื่อความสุขของลูก พ่อได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พ่อแก่ลงทุกวัน ไม่มีประโยชน์แก่ใครอีกต่อไป ถ้าพ่อขืนอยู่ ลูกจะต้องกังวลและจะทิ้งชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ พ่อต้องการให้ลูกเปลี่ยนชีวิตใหม่ ต้องการให้มีชีวิตที่เงียบสงบ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับความยุ่งร้อยแปดในโลกนี้ จงเชื่อพ่อ อย่าเสียใจ จงยินดี และจงทำตามที่พ่อเคยสั่งไว้ ถึงเวลาที่พ่อจะไปแล้ว นาฬิกาตีสี่เดี๋ยวนี้เอง ขอให้ลูกมีความสุขเสมอ
พ่อที่รัก”
“นาฬิกาตีสี่” ข้าพเจ้าทวนคำเบา ๆ พลางระลึกไปถึงคำพูดของวลาดิมีร์เมื่อเช้าวาน เขาพูดถึงความสุขสงบเมื่อนาฬิกาตีสี่–พูดถึงการจากกัน และกล่าวว่าวารยาจะต้องอยู่คนเดียว ข้าพเจ้ายังจำดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันล้ำลึกของเขาได้ ข้าพเจ้าเย็นวาบที่สันหลัง เมื่อคิดว่าป่านนี้วลาดิมีร์คงจะได้จากไปแล้วโดยไม่มีวันกลับ
ข้าพเจ้าเดาเรื่องได้ทั้งหมด จึงไม่ได้ซักถามวารยาให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ รีบกลับเข้าไปข้างใน ใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพียง ๓–๔ นาทีก็เสร็จ ออกมาข้างนอกพบหล่อนนั่งซึมอย่างหมดสติ ข้าพเจ้าประคองให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า
“เราต้องรีบ บางทีจะตามทัน”
“แต่เราไม่รู้ว่าพ่อไปไหนนี่ ระพินทร์” หล่อนพูดเสียงสะอื้น
“ไม่เป็นไร ไปที่คาบารอฟสก์ก่อน”
เรารีบกลับไปที่คาบารอฟสก์โดยด่วน คอสซาเรฟกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องโถงอย่างกระวนกระวายใจ พอเห็นข้าพเจ้าก็เดินเข้ามาหา
“นี่จะทำอย่างไรกัน ระพินทร์ ฉันไม่รู้จะไปตามที่ไหน?” เขาพูดค่อนข้างเร็ว
“ถามคนใช้ดูหมดแล้วหรือ” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่มีใครรู้เรื่องเลย”
ยืนสงบใจนิ่งอยู่ในขณะหนึ่ง ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็นึกถึงรถลากประจำโฮเต็ลได้ จึงรีบออกไปข้างนอก สอบถามคนรถดูทุกคน ในที่สุดก็ได้ความจากคนรถชาวซานตุง รูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ว่าวลาดิมีร์ได้ว่าจ้างให้ไปส่งที่พระราชวังฤดูหนาวเมื่อนาฬิกาตีสี่กว่า ๆ ข้าพเจ้าเดาเรื่องได้ทันที รีบชวนคนทั้งสองนั่งรถตรงไปยังที่หมายโดยเร็ว
ประตูใหญ่พระราชวังฤดูหนาว หรือที่เรียกว่าสวนสาธารณะเป๋ห่าย เพิ่งจะเปิดเมื่อตอนวลาดิมีร์มาถึง เขาคงเข้าไม่ได้ ข้าพเจ้านึกถึงสะพานหินหน้าสวนสาธารณะแห่งนี้ ซึ่งทอดข้าม “ทะเลเหนือ” ไปยังเกาะเจดีย์รูประฆัง มีทางเข้าไปในสวนสาธารณะได้ทางเดียว คือปืนลงไปทางสะพานหินนี้ แล้วเดินบุกหิมะข้ามไปบนพื้นน้ำแข็งซึ่งเกาะกันเป็นพืดแผ่ไพศาลไปทั่ว “ทะเลเหนือ” อันล้อมพระราชวังฤดูหนาวอยู่โดยรอบ ข้าพเจ้าไม่ยอมเสียเวลา รีบชวนคนทั้งสองให้เดินอ้อมไปที่สะพานหิน ชะโงกหน้าลงไปดูแล้วใจหาย มีรอยคนปืนลงไปข้างล่าง บนพื้นหิมะเหนือแผ่นน้ำแข็ง ปรากฏรอยเท้าคนเดินตัดไปทางทิศเหนือ บ่ายหน้าตรงไปยังท้องน้ำอันกว้างใหญ่ ซึ่งบัดนี้กำลังกลายเป็นน้ำแข็ง และปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ขณะนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่ก็มีแสงสว่างของอรุณฉายสะท้อนถูกหิมะ ทำให้แลเห็นอะไรได้ถนัดพอสมควร
รอยเท้าที่เราเห็นอยู่บนพื้นหิมะเบื้องล่าง เป็นรอยเท้าใหม่ ๆ แสดงว่าผู้เหยียบเพิ่งจะผ่านไปเมื่อไม่นานนี้เอง