๔๔

อากาศในกรุงปักกิ่งเริ่มหนาวจัดยิ่งขึ้นทุกวัน น้ำในทะเลสาบคุ้นหมิงหูแข็งเป็นแผ่นไปทั่วทุกหนทุกแห่งที่ “ทะเลเหนือ” ทะเลสมมติอันเป็นที่เคยประพาสของพระเจ้าแผ่นดินในบริเวณพระราชวังฤดูหนาว มีเด็กหนุ่มพยายามลงไปเล่นสเกตหลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่ได้รับคำเตือนจากตำรวจว่า น้ำยังแข็งหนาไม่พอ อาจจะยุบลงไปและเกิดอันตรายได้ ที่บึงใหญ่ในมหาวิทยาลัยเยียนจิง (Yenching University) นิสิตหนุ่มที่คอยวันในฤดูหนาวมาตั้งแต่ฤดูออทัมน์ ทนความกระหายไม่ได้อุตส่าห์ฝ่าอันตรายสวมปิงเสียหรือรองเท้าสเกตลงไปวิ่งเล่นตั้งแต่วันที่เริ่มหนาวจัด ผลที่ได้รับก็คือน้ำแข็งบางตอนที่ยังหนาไม่พอได้ยุบฮวบลง และนักสเกตหนุ่มที่เคราะห์ร้ายก็ลงไปดิ้นอยู่ในน้ำอันเย็นเยือก เคราะห์ดีที่มีเพื่อนฝูงเล่นอยู่ด้วยหลายคน จึงช่วยกันฉุดลากเอาตัวขึ้นมาได้ กีฬาสเกตเป็นเกมที่สนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เขามีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด มีโอกาสได้จับมือกันเลื่อนลอยไปบนพื้นน้ำแข็งอันราบเรียบ ซึ่งเมื่อฤดูร้อนได้มีสภาพเป็นพื้นน้ำอันใสสะอาด เต็มไปด้วยเรือบดอันประดับด้วยสีเขียว ๆ แดง ๆ แห่งเสื้อผ้า ทั่วปักกิ่งอากาศกำลังหนาว หิมะกำลังเริ่มตก แต่ความสนุกสนานร่าเริงก็ยังคงมีอยู่ เป็นความร่าเริงของคนมีเท่านั้น ไม่ใช่ของคนจน!

มนัสได้พบหิมะเป็นครั้งแรก เขาบอกข้าพเจ้าว่ามันทำให้เขาเพลิดเพลินมาก เหมือนปุยสำลีที่ปลิวลงมาจากท้องฟ้า เขาชอบดูเวลามันเริ่มตก ดูกิ่งไม้ใบสนและพื้นดินที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีขาวไปทีละน้อย หิมะในปักกิ่งตกอย่างมากก็หนาเพียง ๘ นิ้วฟุต ซึ่งต่างกับในแมนจูเรียมาก ข้าพเจ้าชวนมนัสไปเที่ยวตามสวนสาธารณะหลายครั้ง เวลาหิมะตกใหม่ ๆ เราชอบเข้าไปนั่งรับประทานน้ำชาในเก๋งกระจกซึ่งปิดหน้าต่างประตูอย่างมิดชิด นั่งข้างเตาไฟและชุดน้ำชาร้อน ๆ ทำให้อบอุ่นสบายดี เราไม่เดือดร้อนเพราะเรามีเสื้อผ้าหนาพอ มีอาหารดี ๆ กิน และมีไฟสำหรับให้ความอบอุ่น แต่เมื่อหันไปดูพวกคนจน เราก็สังเวชใจไปนาน ในเมืองไทยธรรมชาติไม่ทำให้คนจนต้องเดือดร้อน แต่ในเมืองจีนธรรมชาติที่มีประโยชน์และสวยงาม ได้กลายเป็นเครื่องประหารชีวิตคนไปเนือง ๆ ในจีนเหนือ คนจนต้องตายเพราะความร้อนและความหนาว ในลุ่มแม่น้ำเหลือง คนก็ตายเพราะน้ำท่วมบ่อย ๆ เวลาแล้งจัดในมณฑลชั้นในคนก็ตายเพราะไม่มีอะไรจะกินแทบทุกปี ธรรมชาติภัยเหล่านี้เราไม่ค่อยได้พบในเมืองไทย แต่ในเมืองจีนท่านจะได้เห็นเสมอ ๆ เพิร์ล เอส. บั๊ก ได้วาดภาพธรรมชาติภัยเวลาแล้งจัดไว้อย่างตรงต่อความจริงทุกประการ ภัยที่ข้าพเจ้าได้พบในเมืองจีน ได้ช่วยให้ข้าพเจ้ามีความรักเมืองไทยทวีขึ้นโดยไม่มีที่สิ้นสุด ความเป็นคนไทยของข้าพเจ้าก็ทำให้ข้าพเจ้ารักเมืองไทยมากจนประมาณไม่ได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่ได้ผ่านเมืองจีนมาข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกว่าตนเป็นคนเคราะห์ดีมากที่ได้มาเกิดในเมืองไทย ท่านเป็นคนไทยท่านคงมีความรู้สึกพ้องกันกับข้าพเจ้า ในข้อที่ว่าเมืองไทยเป็นเมืองสวรรค์ เราไม่เคยร้อนตาย หนาวตาย เราไม่เคยถูกน้ำท่วมตายกันเป็นแพ เราไม่เคยอดข้าวตาย แหลมทองของไทยเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ แต่บางทีอาจสมบูรณ์มากไป จนกระทั่งพวกเราหลายคนเห็นเป็นของธรรมดา ในขณะที่ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าเป็นคนเคราะห์ดีที่ได้มาเกิดเป็นคนไทย ในแผ่นดินไทย ข้าพเจ้าอดมีความรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่า ความสบายของคนไทยจะกลายเป็นภัยอะไรขึ้นได้บ้างไหม? ในเมืองจีน ธรรมชาติได้กลายเป็นภัย ในเมืองไทย ธรรมชาติภัยไม่มี แต่ “สุขภัย” อาจมาแทนที่ธรรมชาติภัยบ้างก็ได้ ท่านคงไม่ปฏิเสธ ถ้าแม้ข้าพเจ้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า คนไทยสบายมาก–บางทีจะมากไปอย่างน่าเดือดร้อนทีเดียว เรามีข้าวในนา มีปลาในน้ำ เรากินมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกินได้หมด ๒๔ ชั่วโมงของเราได้ผ่านไปอย่างสุขกายสบายใจไม่มีทุกข์มีร้อน ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าในโลกนี้มีประเทศไทยแต่ประเทศเดียว เราคงจะสุขสบายมากทีเดียว แต่เคราะห์ร้ายหน่อย ที่บังเอิญเหตุการณ์มิได้เป็นไปเช่นนั้น ความสบายของเราจึงกลายเป็น “สุขภัย” ที่คนคิดทุกคนพากันเดือดร้อน โลกนี้เป็นโลกของการแข่งขัน–โลกของทีใครทีมันและใครดีใครได้นี่สิ เป็นเคราะห์ร้ายสำหรับพวกเรา หลาย ๆ คนที่รักสบายตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง เมื่อคิดถึงเมืองไทย ข้าพเจ้าก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ความสบายของเราอาจกลายเป็นภัยขึ้นก็ได้ ถ้าคนไทยหลายคนไม่รีบเลิกสบายเสียเดี๋ยวนี้ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว! ก็ดีแล้วที่เรายังมีข้าวและมีปลา แต่เราไม่ได้อยู่เพื่อจะกิน เรากินเพื่อจะอยู่ต่างหาก–อยู่เพื่อทำงานไม่ใช่เพื่อนอน ถ้าท่านจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าพูดต่อไป เราก็คงจะได้คุยกันเรื่อง “สุขภัย” นี้ต่อไปอีกเมื่อโอกาสมาถึง

ในขณะที่อยู่ด้วยกันในเก๋งกระจกที่เป๋ห่าย หรือที่เราเรียกกันว่าพระราชวังฤดูหนาว มนัสบังเอิญพูดถึงประนุทว่า

“ก่อนผมมา เคยได้ยินคุณประนุทบ่นว่าอยากมาเที่ยวปักกิ่งบ้าง ดูเหมือนจะมาเรียนหมอที่ พี.ยู.เอ็ม.ซี.”

“อ๋อ ผมเคยพูดให้ฟัง” ข้าพเจ้าตอบโดยเร็ว “เขาเคยปรารภว่าเรียนจบแปดแล้วไม่รู้จะไปไหนดี ผมก็เลยแนะนำให้เรียนแพทย์”

“อ้อ นั่นเองถึงได้อยากมาปักกิ่ง”

“เปล่า ผมไม่ได้ชวนแกเลย” ข้าพเจ้ารีบปฏิเสธโดยเร็ว “ผมคัดค้านเสียด้วยซ้ำ เวลาแกหารือเรื่องจะมาเรียนต่อที่ปักกิ่ง การแพทย์ที่ พี.ยู.เอ็ม.ซี. ดีพอใช้ ถึงแม้พวกนักเรียนจะมีโอกาสเรียนทางปฏิบัติได้น้อยกว่าพวกเราที่ศิริราช แต่คนไทยที่จะเข้าเรียนต้องขลุกขลักเรื่องภาษาอยู่บ้าง อย่างประนุท แกจะต้องไปทำเตรียมแพทย์ที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น ที่เยียนจิงถึง ๓ ปี กว่าจะเข้า พี.ยู.เอ็ม.ซี. ได้ การทำเตรียมแพทย์เขามีภาษาจีนเหมือนกัน ต้องคลำกันไม่น้อย”

“นั่นซี ผมโดนเข้าบ้างก็แย่เท่านั้นเอง” มนัสพูด พลางขว้างก้นบุหรี่เข้าไปในเตาไฟ

“คุณมาดูงานเพียงปีสองปีก็กลับได้ ไม่ต้องการภาษาเท่าไหร่นัก แต่เดี๋ยวนี้คุณก็ทุ้ยไปได้แล้วนี่”

มนัสหัวเราะ

“พอปลดพวกล่ามได้แล้ว” หยุดนิ่งคล้ายกับสะดุดใจถึงอะไรสักอย่างหนึ่ง “ประนุทเป็นคนน่ารักนะครับ ประมัย พี่ชายรู้สึกจะภาคภูมิใจมากสำหรับน้องสาวคนนี้”

ข้าพเจ้าลอบสังเกตดูสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่ามนัสมีอาการใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่เขากำลังคิดอยู่คงจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากประนุท

“คุณรู้สึกเช่นนั้นหรือ?” ข้าพเจ้าย้อนถาม

มนัสยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ทุกคนควรจะรู้สึกเช่นนั้น ผมคิดว่าเวลาคุณจากมา ประนุทยังเป็นเด็กดี ๆ”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“คงจะจำไม่ได้เวลาผมกลับ” แกล้งพูดอย่างมีเจตนา “คุณพบประนุทบ่อยไหม?”

มนัสมีท่าลังเลใจเมื่อถูกถามเช่นนี้ แต่ก็ตกลงใจได้อย่างว่องไวตามนิสัยซึ่งไม่มีลักษณะเป็นคนช้า

“ผมไปเยี่ยมประมัยเสมอ”

“อ้อ” ข้าพเจ้าปล่อยให้เสียงผ่านลำคอออกไปโดยไม่รู้สึกตัว “ที่บ้านคงจะเปลี่ยนไปมาก?”

“ก็เห็นเป็นปรกติดีอยู่นี่” มนัสว่า “แต่ต้นพิกุลกลางสนามประมัยโค่นทิ้ง สนามหญ้าจึงดูกว้างขึ้น”

“น่าเสียดาย” ข้าพเจ้าพูดพลางสั่นศีรษะ “ผมยังจำได้เมื่อเป็นเด็กเราเล่นเอาเถิดกันบนต้นพิกุลนี้ คราวหนึ่งประมัยตกลงมาจุก เลยถูกห้าม เมื่อประนุทโตขึ้น แกชอบเงาร่มใต้ต้นพิกุล เพราะมีลมโกรกเย็นสบายตลอดวัน”

มนัสเอามือเคาะเท้าแขนเก้าอี้เล่น ตามองดูเปลวไฟในเตาที่แลบออกมาจากซอกก้อนหิน ความหลังเรื่องต้นพิกุลคงจะทำให้เขาเข้าใจดีว่า ข้าพเจ้าสนิทสนมกับพวกบ้านประนุทตลอดจนตัวประนุทเองเพียงไร กิริยาของมนัสมีอาการไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่เขาพยายามซ่อนความรู้สึกอันแท้จริงอย่างระมัดระวัง

“ประนุทเห็นจะเล่าเรื่องเมืองไทยให้ฟังแทบทุกเดือน” เขาพูดอย่างมีความหมาย

“ประนุทขยันเขียนมาก ผมรวบรวมเย็บปกแข็งได้เล่มหนึ่งแล้ว”

คำตอบอย่างไม่ปิดบังของข้าพเจ้าทำให้มนัสยิ่งคอแข็ง เขามองลอดกระจกออกไปข้างนอก ทำคล้ายกับจะดูปุยหิมะซึ่งปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างกระวนกระวายใจ กิริยาของมนัสชวนให้ข้าพเจ้าบังเกิดความแน่ใจยิ่งขึ้น ว่าอย่างน้อยเขาจะต้องนึกชอบประนุท และมนัสเป็นชายโสด! เขายังไม่ได้แต่งงาน! เขาบอกกับข้าพเจ้าเมื่อเดือนก่อน

ในที่สุดมนัสชะโงกตัวมาทางข้าพเจ้า กิริยาอาการรวดเร็วผิดปรกติ แววตาค่อนข้างกระด้าง ดูเหมือนอารมณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเพราะเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ

“แล้ววารยาเล่า–คุณมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”

ข้าพเจ้ามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ เพราะไม่นึกว่าอยู่ดี ๆ เขาจะเอ่ยถึงวารยา

“คุณหมายความว่ากระไร?”

มนัสดูเหมือนจะได้สติ รีบสำรวมอิริยาบถโดยเร็ว ยิ้มน้อย ๆ เพื่อกลบความพิรุธในสีหน้า

“เปล่า ผมเห็นคุณสนิทกับวารยามากจึงถามดู”

ข้าพเจ้ารู้ว่ามนัสพยายามจะต่อว่าอยู่ในที คือคล้ายกับจะพูดว่าข้าพเจ้าก็มีความเอนเอียงไปทางวารยา เหตุไฉนจึงยังติดต่อกับประนุทอยู่ ความเข้าใจของมนัสห่างไกลกับความเป็นจริงมากเท่าที่ดวงอาทิตย์ห่างไกลจากโลก วารยากับข้าพเจ้าเป็นเพื่อนกัน ข้าพเจ้าไม่เคยมีความรู้สึกในตัวหล่อนมากกว่าความเป็นเพื่อนที่เต็มไปด้วยมนุษยธรรม เรื่องประนุท มนัสก็อาจเข้าใจผิด ข้าพเจ้ายังไม่เคยเชื่อว่าประนุทมีความรู้สึกต่อข้าพเจ้าผิดไปจากความรู้สึกของน้องสาวที่มีต่อพี่ชาย ข้าพเจ้ายังถืออยู่เสมอว่า ประนุทเป็นเด็กที่ข้าพเจ้าเคยพาไปส่งโรงเรียน ประนุทยังเป็นเด็กที่ไม่เดียงสาต่อชีวิต–เด็กที่ข้าพเจ้าจะต้องสละทุกอย่างเพื่อให้ความคุ้มครองป้องกันถ้าหากมีอันตรายเกิดขึ้น

“วารยาเป็นคนดีมาก” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นลอย ๆ “เราคบกันอย่างเพื่อนที่ดี ไม่มีอะไรมากกว่านี้ คุณคงไม่ทราบว่าอีกไม่ช้าวารยาก็จะจากไป”

“อ้าว จะไปไหน?”

“ผมเองก็ไม่ทราบ ดูลึกลับเต็มทน”

“ผมรู้สึกยังไงไม่รู้ เรื่องชาวรัสเซีย”

“ผมเคยมีความรู้สึกเหมือนคุณครั้งหนึ่ง” ข้าพเจ้าชี้แจง “แต่แรก ๆ ผมเห็นชาวรัสเซียเป็นตัวคอมมิวนิสต์หมด อยู่ไป ๆ จึงรู้ว่าที่นี่เต็มไปด้วยรัสเซียขาว”

นิ่งไปครู่หนึ่ง มนัสเอ่ยขึ้นว่า

“ผมสังเกตดูรู้สึกว่าวารยาวางใจคุณมาก”

“อาจเป็นจริงเช่นนั้น”

“เป็นผู้หญิงงามพอตัวทีเดียว”

ข้าพเจ้ามองตาเขาอย่างองอาจ ไม่แสดงพิรุธอะไรให้เห็น เพราะตามความเป็นจริงข้าพเจ้าก็ไม่มีรอยพิรุธอะไรอยู่ในหัวใจ

“แต่วารยาจะไม่แต่งงาน ผมรู้ดี”

คำพูดอันมั่นคงประโยคนี้ทำให้มนัสนิ่งงันไป แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าเขายังคงไม่เข้าใจข้าพเจ้าอยู่นั่นเอง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ