๔๓

ข้าพเจ้าไม่เคยนึกฝันว่าจะได้ยินวารยาพูดเช่นนี้ หล่อนหมายความว่ากระไร? ถ้าท่านเป็นข้าพเจ้า ท่านจะรู้สึกอย่างไร ข้าพเจ้านั่งตะลึงสบตาหล่อนเฉยครู่หนึ่ง รู้สึกว่าแววตาของวารยามีความรู้สึกพิกล เหมือนคนสิ้นหวังที่พยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย อาการที่หล่อนมอง ทำให้ข้าพเจ้าเย็นวาบเข้าหัวใจ วารยาได้สะกดจิตข้าพเจ้าเสียแล้ว

ไฟในเตายังลุกโชน เสียงลมพัดข้างนอกดังได้ยินถนัด เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ปรากฏ ในที่สุดข้าพเจ้าก็ถอนตัวออกจากความคิดอันเลื่อนลอย เต็มไปด้วยความงวยงงนั้น แล้วกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่เข้าใจเธอเลย วารยา เราพูดกันนานแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้เรื่องว่าเธอจะทำอะไร”

หล่อนหัวเราะอย่างฝืน มีกิริยาคล้ายกับสังเวชตัวเอง

“เธอจะต้องรู้ในวันหนึ่ง ระพินทร์ แต่ฉันรับรองว่ามันไม่ใช่เรื่องร้าย สิ่งที่ฉันจะทำนี้เป็นส่วนหนึ่งของความดี”

มองดูดวงตาสีน้ำเงินอย่างไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าถามว่า

“ฉันมืดแปดด้านอยู่ตามเดิม เธอจะบอกฉันตามตรงได้ไหม วารยา ว่าเธอจะทำอะไร?”

“พูดง่าย ๆ ก็คือ ฉันจะต้องจากไปอยู่ที่อื่น”

“เธอก็ดูเหมือนจะบอกฉันแล้ว ฉันจะรู้ได้ไหมว่าที่ไหน?”

“อย่าให้ฉันพูดดีกว่า ระพินทร์”

“ฉันไม่รู้จะเข้าใจนักว่าทำไมเธอจึงจะต้องไป” ข้าพเจ้าพูดพลางสั่นศีรษะ “เท่าที่ฉันได้ยินจากคุณพ่อเธอ ดูเหมือนท่านจะกลัวชีวิตแทนเธอเกินไปสักหน่อย”

วารยานิ่งอย่างเข้าใจความหมาย

“ท่านพูดเสมอว่าเธอไม่มีโชคในความรัก เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากจะให้พบความรักอีก” ข้าพเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา

หล่อนก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กล่าวว่า “เป็นจริงเช่นนั้น ฉันไม่เคยมีโชคในความรักเลย”

“เพราะฉะนั้นเธอจึงพยายามจะหนีความรัก!”

คำพูดของข้าพเจ้าทำให้วารยานิ่งอั้นไปอีก หลบตาลงต่ำ แลเห็นขนตาอันงอนงามของหล่อนเป็นเงาประหนึ่งชุ่มด้วยน้ำตา อาการนิ่งของวารยาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดถึงอะไร แต่ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่า ความรู้สึกในหัวใจของวารยาเต็มไปด้วยความเศร้า ไม่มีส่วนของความสุขปนอยู่เลย

วารยาถอนใจน้อย ๆ ชำเลืองดูตาข้าพเจ้าอย่างขลาด ๆ แล้วพูดว่า

“ถูกของเธอ ระพินทร์ ฉันพยายามหนีความรัก หนีไปให้ไกล เพราะฉันรู้ว่าความรักของฉันเป็นไปไม่ได้ ถึงจะไม่ใช่ความรักครั้งแรก แต่ฉันคิดว่ามีความแน่นอนยิ่งกว่าความรักครั้งแรกมากนัก ชีวิตได้สอนให้ฉันรู้จักความรักที่แท้จริง ฉันพึ่งทราบว่ารักที่แท้นั้นคือการเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ตื่นเต้นขาดสติ ไม่ตามใจตัวเอง รักที่แท้อยู่ในหัวใจ ไม่ใช่อยู่ที่การจับต้อง เราอาจจะอยู่ห่างกันคนละมุมโลก แต่เราอาจรักกันได้ และมีความสุขเพราะความรักของเรา”

ข้าพเจ้านิ่งฟังอย่างใจเต้น คำพูดของวารยาเต็มไปด้วยความหมายที่แปลความไปได้ไกล ความรัก! แม้ในชั่วโมงอันเยือกเย็นเช่นนี้ หล่อนก็ยังพูดถึงความรักอีกหรือ? วารยามีความรักที่เป็นไปไม่ได้! หล่อนหมายถึงอะไร? หล่อนอาจกำลังรักใครคนหนึ่งเช่นนั้นหรือ? ข้าพเจ้าอยากจะแปลความว่าหล่อนหมายถึงความรักสำหรับเหลียง ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะได้ล่มจมไปแล้ว แต่ความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่แวดล้อมอยู่ ได้กระซิบบอกข้าพเจ้าเสมอว่าวารยาไม่ได้หมายถึงเหลียง ข้าพเจ้านึกถึงแววตาที่บอกความรู้สึกในหัวใจของหล่อน–นึกถึงกิริยาอาการอันอ่อนโยนที่หล่อนแสดงต่อข้าพเจ้า–นึกถึงคืนที่เดือนหงายในทะเลสาบคุ้นหมิงหู สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าใจหายวาบ วารยารักข้าพเจ้ากระมัง? เป็นไปได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ถ้าเป็นจริงตามที่ข้าพเจ้าเดา ก็เป็นเรื่องที่สลดใจอันใหญ่ยิ่ง เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่าจะรักวารยาไม่ได้ ที่รักไม่ได้ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ชอบวารยา หรือรังเกียจความหลังของวารยา วารยาเป็นคนดีที่ข้าพเจ้าต้องการจะรัก แต่ข้าพเจ้าเป็นคนช่างคิด ความไม่เหมาะสมกันในเรื่องเชื้อชาติ เรื่องประเพณี เรื่องศาสนา ตลอดจนเรื่องความรู้สึก อาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการร่วมชีวิตกันในวันข้างหน้าก็ได้ ความระแวงเหล่านี้ได้เป็นกำแพงที่กั้นไว้ ไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าคิดเลยไปถึงความรัก ข้าพเจ้าไม่กล้าคิด หมดความพยายามและความหวังที่จะคิด ข้าพเจ้าได้แต่ชอบหล่อน ชอบอย่างเพื่อนที่ดีจะพึงมีความรู้สึกต่อกันเท่านั้น อีกประการหนึ่งวารยาไม่ใช่มีหัวใจว่างเปล่า ถึงแม้จะเกิดบาดหมางกันขึ้นกับเหลียง จนแทบไม่มีทางจะร่วมชีวิตกันได้ แต่ข้าพเจ้ายังหวังอยู่ว่า น่าจะมีอุบัติเหตุอะไรขึ้นสักวันหนึ่งที่จะทำให้คนทั้ง ๒ กลับคืนดีต่อกันได้อีก ถึงจะรู้ว่าความหวังเช่นนี้เป็นความหวังที่เลื่อนลอย แต่ข้าพเจ้าก็อดหวังไม่ได้ และก็เพราะหวังอยู่เช่นนี้แหละ ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะรักวารยาได้อย่างไร

เมื่อรู้สึกว่าการนิ่งอาจทำให้วารยาเข้าใจผิด ข้าพเจ้าจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันเห็นใจเธอเสมอ ความรักก็คือความหวัง แต่มันยากนะ วารยา เธอคงรู้ดีแล้วว่า เรายิ่งหวังมาก เราก็ยิ่งผิดหวังมาก”

หล่อนยิ้มอย่างเหี่ยวแห้ง

“ก็นั่นน่ะซี ระพินทร์ แต่ถ้าเราไม่มีความหวังเสียเลย ชีวิตเราก็ต้องแห้งแล้งเหมือนหลงอยู่กลางทะเลทราย?”

ข้าพเจ้าพยักหน้ารับรอง

“เราอยู่ได้ด้วยความหวัง วารยา”

“แต่ความหวังของเธอคงมีช่องทางสำเร็จได้เสมอ ต่างกับความหวังของฉัน ฉันอาจจะมีความหวัง แต่เป็นความหวังที่ตายเสียแล้ว ฉันได้แต่หลอกตัวเองให้มีชีวิตอยู่เพื่อความหวังอันนี้ แต่ฉันรู้ดีว่าฉันจะหวังอะไรไม่ได้ ความหวังของฉันไม่มีประโยชน์”

“เธอคงเข้าใจดีว่าความสุขเกิดจากความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่”

“ฉันเข้าใจ แต่หัวใจของเราไม่ใช่เครื่องจักรนี่ ระพินทร์” หล่อนสั่นศีรษะเล็กน้อย “เรายังต้องการคิด–ต้องการหวังอยู่เสมอ ฉันรู้ว่าชั่วโมงแห่งความเศร้าของฉันได้มาถึงแล้ว ฉันจะต้องจากไป จะต้องหนีสิ่งที่ฉันหวังไป แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังอดหวังไม่ได้”

“วารยาที่น่าสงสาร...” ข้าพเจ้ากล่าวเบา ๆ หลบตาหล่อน เพราะรู้ว่าไม่สามารถจะทนมองได้

“เธอมีความหวังที่เต็มไปด้วยความรุ่งเรือง ฉันขออวยพรให้เธอมีความสำเร็จทุก ๆ อย่าง”

“ขอบใจ วารยา ทุก ๆ แห่งที่เธอไป ขอจงคิดว่าฉันติดตามไปอวยพรให้เสมอ”

“ฉันอยากจะหวังเช่นนั้น แต่เธออาจลืมฉันเสียก็ได้ในสองสามปีข้างหน้า”

ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าตกอยู่ในที่ลำบากมากขึ้นทุกขณะ แต่พยายามทำใจให้กล้า วางอารมณ์ให้เป็นปรกติ แล้วตอบว่า

“ฉันขอสัญญาว่า ฉันจะไม่ยอมลืมเธอเลยเมื่อฉันนึกถึงปักกิ่ง ฉันจะต้องนึกถึงเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันคนหนึ่งเสมอคือเธอ”

“ขอบใจ ถ้าเธอจะทำเช่นนั้นได้ ฉันก็เหมือนกัน ระพินทร์ ฉันเห็นจะลืมเธอได้ยาก” หล่อนถอนใจเบา ๆ “ชีวิตต่อไปของฉันคงจะเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความสงบ แต่ฉันยังสงสัยว่า ฉันจะมีอำนาจใจที่เข้มแข็งพอที่จะลืมปักกิ่งได้หรือไม่”

คำว่า “ปักกิ่ง” สะท้อนใจข้าพเจ้า วารยาคงไม่หมายถึงอะไรนอกจากระพินทร์ ข้าพเจ้าคงไม่เข้าใจผิดเป็นแน่ในข้อนี้ นิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็กล่าวออกไปโดยไม่ตั้งใจว่า

“พยายามสิ วารยา ถ้าเธอพยายาม เธอก็คงจะลืมได้ ฉันไม่อยากให้เธอนึกถึงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เธอเลย”

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองข้าพเจ้าทันที ในดวงตาคู่นั้นมีความกระวนกระวาย ความเหี่ยวแห้งและความน้อยใจ

“ถูกแล้ว สิ่งที่ฉันหวังจะไม่เกิดประโยชน์แก่ตัวฉันเลย” หล่อนพูดเสียงเครือ “หวังไปคนเดียว–จะเกิดประโยชน์ได้อย่างไรเล่า ระพินทร์ ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนไม่มีโชค คิดไปก็ไม่มีประโยชน์”

ข้าพเจ้านั่งฟังอย่างสงบสติอารมณ์ พยายามที่จะไม่คิดอะไรมาก แต่ทุก ๆ คำที่หล่อนกล่าวออกมาได้บีบคั้นหัวใจอย่างแรง

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพูดอะไร วารยาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า

“ฉันได้ตัดสินใจแล้ว ระพินทร์ ฉันจะต้องลาจากเธอไปในไม่ช้า”

หล่อนไม่ได้มองดูข้าพเจ้า พยายามก้มหน้าเพื่อซ่อนความรู้สึกในดวงตา แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่าหัวใจของวารยาก็คงถูกบีบเช่นเดียวกับหัวใจของข้าพเจ้าเหมือนกัน

ไฟในตายังลุกโชน และหิมะก็ยังตกปลิวว่อนอยู่ข้างนอก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ