๔๒
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าวลาดิมีร์หมายความว่ากระไรเมื่อเขาพูดว่าข้าพเจ้าอย่าได้ตั้งตัววารยาไว้อีกเลย การพบปะระหว่างวารยากับข้าพเจ้าเท่าที่ได้เป็นมาแล้ว ไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่นอกจากความรู้สึกในมิตรภาพที่บริสุทธิ์ แต่วลาดิมีร์อาจคิดไกลออกไปจากความเป็นจริง เพราะคะเนเอาเองว่าตามนิสัยของคนหนุ่ม การคบกันอย่างมิตรแท้ ๆ อาจมีได้ยาก อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าเห็นใจวลาดิมีร์ ในโลกนี้ความบริสุทธิ์มีอยู่เป็นจำนวนไม่มากนัก ยิ่งแก่ตัวลง เราก็ยิ่งสงสัยความบริสุทธิ์ของคนมากขึ้นเสมอ วลาดิมีร์เป็นชายชราอายุมากกว่า ๕ รอบ เขาเห็นโลกมามาก เพราะฉะนั้นจึงย่อมเป็นของธรรมดาเหลือเกินที่เขาจะสงสัยความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า
การสนทนากับชายชราผู้นี้ที่หอสมุดแห่งชาติในวันนั้น ได้ก่อความพิศวงให้แก่ข้าพเจ้าหลายประการ ที่สำคัญก็คือ ข้าพเจ้าจับเสียงได้ว่าวลาดิมีร์กำลังจะเดินทางไปไหนสักแห่งหนึ่ง เพื่อไม่ให้วารยาต้องเป็นห่วงใยในตัวเขาอีกต่อไป เมื่อเขาได้จากไปแล้ว สิ่งที่วลาดิมีร์ต้องการก็คือชีวิตใหม่ของหล่อน วารยาจะต้องละทิ้งชีวิตที่เต็มไปด้วยการดิ้นรน จะต้องอยู่ในความสงบซึ่งไม่มีธาตุของความรักเจือปนอยู่ เขาลงความเห็นว่า วารยาไม่มีโชคในความรักและการแต่งงาน ความรักจะไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่วารยา นอกจากความพินาศล่มจมของชีวิต แต่ชีวิตใหม่ของวารยาจะมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร? ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกเลย
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปเยี่ยมวารยา พบหล่อนนั่งถักเสื้ออยู่ในห้องนั่งเล่น ยิ้มอย่างอ่อนหวานเป็นการต้อนรับเช่นเคย วารยากล่าวว่า
“หิมะตกมากเหลือเกินวันนี้ เธอยังอุตส่าห์มาจนได้ มานั่งข้างเตาผิงนี่แน่ะ ระพินทร์”
ข้าพเจ้านั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใกล้ข้างเตา ซึ่งถ่านหินกำลังลุกโชน เหยียดเท้าเข้าไปใกล้เพื่อได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่
“ไม่ไปไหนหรือวันนี้ เธอช่างอยู่ติดบ้านเสียจริง ๆ”
“นึกจะไปที่แคปิตอลสักหน่อย วันนี้มีเรื่องของตอลสตอย แต่ฉันไม่ชอบหิมะเลย”
“ตรงกันข้ามกับฉัน เวลาหิมะตกฉันชอบออกไปข้างนอกมากทีเดียว เธอเคยรู้สึกบ้างไหมว่าสีของหิมะเป็นสีของความบริสุทธิ์ ฉันอยากให้ปักกิ่งมีสีขาวอย่างนี้ตลอดปี ดูเป็นเมืองใหม่สวยงามเหมือนเมืองในเทพนิยาย”
“ถ้าเธอไปอยู่ในรัสเซีย เธอคงจะชอบมากกว่านี้”
“ฉันอาจจะชอบหิมะอย่างเดียวเท่านั้น!”
วารยาหัวเราะ
“อย่างอื่นเธอไม่ชอบอีกหรือ?”
“เห็นจะต้องรอไว้ก่อน ฉันอยากมีความคิดเห็นของฉันเองบ้างตามสมควร”
“เธอเห็นจะบูชาเสรีภาพเป็นพระเจ้า”
“เปล่า เธอเข้าใจผิด เสรีภาพเป็นของมีขอบเขต ฉันเพียงแต่ต้องการมันบ้างตามสมควรแก่เหตุการณ์เท่านั้น เราอาจจะต้องจำกัดเสรีภาพเพื่อสังคมและชาติบ้านเมือง แต่ถ้าในชีวิตของคนไม่มีเศษของเสรีภาพเสียเลย เราคงไม่ผิดอะไรกับทาส ฉันคิด ฉันเลือกเอาความตายมากกว่าความเป็นทาส”
“ฉันคงไม่ต้องอธิบายเกินกว่าที่ได้พูดมาแล้ว ว่าทำไมฉันจึงไม่กลับรัสเซีย เธอคงเข้าใจดีแล้วนะ ระพินทร์”
“เข้าใจดี แต่เธอจะไปไหนเล่า?”
“ไปไหน? หมายความว่ากระไร”
ข้าพเจ้ามองตาหล่อน แต่ไม่พบแววพิรุธอะไรเลย
“เมื่อวานนี้ฉันคุยกับบิดาเธอที่หอสมุดได้ฟังเสียงอะไรแปลก ๆ”
หล่อนจ้องหน้าข้าพเจ้าอย่างกระวนกระวายใจ
“ว่าอย่างไร?”
“เห็นพูดว่าเธอเป็นห่วงท่านมากไป ฟังดูคล้าย ๆ กับท่านเป็นผู้ที่ทำให้เธอลำบาก”
“พ่อเคยพูดกับฉันเหมือนกัน แต่เป็นหน้าที่ของฉันนี่ ระพินทร์”
“ฉันสะดุดใจอยู่หน่อยหนึ่ง ตอนที่ว่าท่านจะไม่ให้เธอต้องลำบากอีก เธอรู้บ้างไหมว่าท่านจะทำอะไร?”
วารยาหลบตาลงต่ำ คล้ายกับจะซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างสักครู่จึงเงยหน้าขึ้น แล้วตอบว่า
“ฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีพอสำหรับเรา พ่อก็คงคิดเช่นนั้น จึงบอกเรื่องนี้แก่เธอ พ่อเคยบ่นบ่อย ๆ ไม่อยากจะให้ฉันเดือดร้อน แต่ฉันควรทำหน้าที่ของลูกบ้าง ตลอดเวลา ๒–๓ ปีนี้ฉันพยายามหางานทำ แต่ก็ยังหาไม่ได้ เรามีเงินเหลือเก็บอยู่ในธนาคารบ้าง แต่เมื่อไม่หามาเพิ่มเติม มันก็ร่อยหรอลงไปทุกที พ่อร้อนใจเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้นจึงเกิดความคิดแปลก ๆ แต่อย่าให้ฉันต้องพูดหมดเลย”
ข้าพเจ้ามองตาหล่อนอย่างเห็นใจ ก่อนจะพูดว่ากระไร วารยาได้กล่าวต่อไปว่า
“บางทีเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีคนสุดท้ายของฉัน เพราะฉะนั้นฉันควรจะเล่าให้เธอฟังบ้างตามสมควรก่อนที่เราจะจากกัน” หยุดถอนใจเว้นระยะ “เมื่อฉันตกลงใจจะแต่งงานกับเหลียง พ่อก็ยินดี ที่ยินดีไม่ใช่เพราะเราจะหวังเงินทองอะไรจากเขา แต่เพราะพ่อเห็นว่าฉันจะได้มีชีวิตเป็นหลักแหล่งมั่นคงเสียทีหนึ่ง พูดกันจริง ๆ แล้วพ่อไม่ชอบให้ฉันแต่งงาน มันเป็นเรื่องเข้าใจยาก พ่อยังเป็นห่วงเรื่องวงศ์ตระกูล ไม่อยากให้ฉันแต่งงานกับใครที่เป็นคนชาติอื่น”
“ฉันพอจะเดากิริยาได้เหมือนกันเรื่องนี้” ข้าพเจ้ากล่าว พลางนึกไปถึงถ้อยคำที่วลาดิมีร์กล่าวเป็นเชิงกีดกันเมื่อวันวาน
“แต่เธอต้องไม่คิดว่า เรามีความเย่อหยิ่งดูถูกคนชาติอื่น” วารยาพูดอย่างออกตัว “เรื่องวงศ์ตระกูลของเราเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็ไม่ใหญ่พอที่จะลบล้างความต้องการของชีวิตเสียได้ ครอบครัวของเราไม่เหมือนแต่ก่อน เรากำลังอยู่ในฐานะคล้ายลอยอยู่กลางทะเล เพราะฉะนั้นเหลียงกับฉันชอบพอกัน พ่อก็ต้องยินยอม ไม่อยากจะขัดใจฉันอย่างหนึ่ง และอยากจะเห็นฉันเป็นฝั่งเป็นฝาหมดห่วงอีกอย่างหนึ่ง”
ข้าพเจ้ายังไม่ทันตอบว่ากระไร วารยาก็ชิงกล่าวต่อไปโดยเร็ว
“แต่พ่อผิดหวังที่ฉันกับเหลียงต้องแตกกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการให้ฉันแต่งงานกับคนชาติอื่น พ่อก็อดเสียใจไม่ได้ ที่เสียใจก็เพราะเป็นห่วงว่าฉันจะต้องหลักลอยอีกครั้งหนึ่ง พ่อคิดเสมอว่าพ่อคงจะตายในไม่ช้า เพราะมีโรคประจำตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อฉันจะต้องหลักลอย พ่อก็เป็นห่วงมาก”
“เห็นพูดว่าเธอเป็นคนไม่มีโชคในเรื่องความรัก” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นเบา ๆ
วารยายิ้ม–เป็นอาการยิ้มที่ขมขื่นจนสังเกตเห็นได้
“พ่อพูดถูกแล้ว ระพินทร์ ฉันไม่มีโชคในความรัก”
“และดูเหมือนท่านไม่ต้องการให้เธอมีความรักอีกครั้งหนึ่ง”
หล่อนพยักหน้า
“เป็นจริงเช่นนั้น ข้อนี้อาจเป็นเหตุให้ฉันต้องจากปักกิ่งเร็วขึ้น”
“เธอจะไปไหน?” ข้าพเจ้าถามโดยเร็ว
วารยาเบือนหน้าไปทางหนึ่ง มีกิริยาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“อย่าถามฉันเลย ระพินทร์ ฉันอยากให้เธอรู้แต่เพียงว่า ฉันอาจจะต้องทิ้งโลกนี้ไปอยู่โลกใหม่”
“อะไรนะ วารยา” ข้าพเจ้าร้องค่อนข้างดัง “นี่เธอจะเล่นตลกอย่างคืนวันนั้นอีกหรือ?”
“ไม่จำเป็น” หล่อนตอบอย่างมั่นคง “ฉันยังไม่ตายดอก ระพินทร์ โลกใหม่ของฉันเป็นโลกที่สงบ ไม่ต้องยุ่งกับความรัก ไม่ต้องยุ่งกับความมีความจน บางทีฉันอาจจะมีความสุขได้บ้าง”
เราต่างคนต่างเงียบ ข้าพเจ้ามองดูเปลวไฟในเตาที่แลบออกมาตามซอกถ่านหินก้อนโต ๆ ชีวิตของมนุษย์เป็นของประหลาดพิสดาร เรายิ่งอยู่ในโลกนี้นานไป เรายิ่งแทบไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไรแน่ ชีวิตของวารยาเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความสวยงาม ความสดชื่น ความมืด ตลอดจนความเศร้า เพียงชั่วเวลา ๒๐ กว่าปีที่เอากำเนิดมาในโลกนี้ วารยาได้พบทั้งความรู้สึกที่ดีและที่เลว ความสุขความมั่งคั่งสมบูรณ์ที่ได้ล่วงพ้นไปแล้ว ได้ช่วยให้ความเศร้าของชีวิตในปักกิ่งทวีความเด่นชัดยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าฤดูสปริงของชีวิตจะได้ผ่านไปอย่างไม่มีวันกลับ วารยาได้เคยพยายามหวังว่า หล่อนจะได้พบสปริงอีกครั้งหนึ่ง แต่ในบัดนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าวารยาไม่พยายามหวังอะไรอีกแล้ว หล่อนพูดถึงโลกที่สงบ–ไม่มีความมีความจน–ไม่ต้องยุ่งกับความรัก ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่าหล่อนหมายความว่ากระไร
“บางทีเราจะต้องจากกันในไม่ช้านี้” หล่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ ในท่ามกลางของความเงียบ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหล่อนสั่นเล็กน้อย “ฉันยินดีที่ได้พบกับเธอ ฉันจะไม่ลืมเธอเลย ระพินทร์”
“เธอจะไปไหน วารยา?” ข้าพเจ้าถาม
“ไปในที่ที่เธอไม่คิดว่าฉันจะไป”
“คุณพ่อเธอเล่า?”
หล่อนนิ่งอั้น สักครู่จึงตอบว่า
“ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าพ่อจะไม่ไปด้วย”
ข้าพเจ้ามองดูตาหล่อนด้วยความประหลาดใจ
“แล้วจะไปไหนเล่า ถ้าไม่ไปกับเธอ”
วารยาถอนใจ
“พ่อยังไม่เคยบอกฉันเรื่องนี้ เป็นแต่พูดว่าท่านได้เตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว อย่าให้ฉันต้องเป็นห่วงอะไรเลย แต่ฉันคิดว่าท่านคงจะไปเข้าพวกหมอสอนศาสนา อาจไปอยู่ตามโรงพยาบาลหรือโรงเรียนก็ได้ พ่อเคยพูดว่าอยากจะทำตัวให้มีประโยชน์ต่อโลกบ้าง”
“ก็เป็นความคิดที่ดี แล้วตัวเธอเล่า วารยา?”
“อย่าให้ฉันต้องพูดอะไรในเวลานี้เลย ระพินทร์” หล่อนพูดพลางสั่นศีรษะ “ฉันยังไม่อยากพูดถึงตัวฉันเวลาที่อยู่กับเธอ มันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรหรอก แต่ถ้าฉันเพียงแต่กล่าวอะไรออกไปสักคำเดียว ชั่วโมงสุดท้ายที่ฉันเหลืออยู่ก็คงจะเศร้ามากไป รู้ไหม ระพินทร์ ว่าฉันอยากจะพูดถึงความสุขเท่านั้นเวลาที่พบหน้าเธอ ฉันอยากจะมีความสุขเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ฉันจะจากไป”