๓๕

วารยา ราเนฟสกายากำลังจะยิงตัวตาย

ความสำนึกนี้แล่นผ่านไปทั่วประสาทรู้สึก กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายข้าพเจ้าเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โจนจากยอดโขดหินที่ยืนอยู่ลงไปยังทางเดิน ซึ่งอยู่ต่ำลงไปประมาณ ๒ หลา พอตั้งตัวได้ข้าพเจ้าก็วิ่งอ้อมตึกไปทางประตูหน้าอย่างเต็มฝีเท้า กระโจนเข้าห้องโถงซึ่งไม่มีใครอยู่เลย แล้วก็เผ่นขึ้นบันไดทีละขั้นสองขั้นจนถึงชั้นบน ในเวลาไม่ถึง ๓ วินาทีต่อมา ข้าพเจ้าก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่หน้าห้องของวารยา ตลอดเวลาข้าพเจ้าภาวนาขออย่าให้ได้ยินเสียงปืนลั่นเสียก่อน การวิ่งแข่งกับการระเบิดของกระสุนแห่งความตาย ทำให้ใจเต้นแรงผิดปรกติ เมื่อถึงหน้าประตูเสียงในห้องก็ยังเงียบอยู่ ข้าพเจ้าลงมือเคาะประตูอย่างถี่รัว และตะโกนเรียกหล่อนอย่างค่อนข้างดังหลายครั้ง

ประตูยังไม่เปิด ข้าพเจ้าลงมือเขย่าลูกบิด โดยไม่เอาใจใส่ว่าประตูอันเก่าคร่ำคร่านั้นอาจจะพังลงมาก็ได้ไม่ทราบว่าเวลาผ่าน ไปนานเท่าใด ในที่สุดก็ได้ยินเสียงถามมาจากข้างในว่า “ใคร ต้องการอะไร?”

ข้าพเจ้าตอบสวนไปโดยเร็ว

“นี่ระพินทร์ เปิดประตูหน่อย วารยา”

นิ่งเงียบไปอีกนาน ข้าพเจ้าเคาะประตูอีก ได้ยินเสียงลากลิ้นชักและเสียงลั่นกุญแจ หลังจากนั้นก็มีเสียงถอดกลอนประตู

เมื่อเปิดประตูออกมา วารยายืนอยู่อย่างสง่า เตรียมตัวที่จะเผชิญหน้าข้าพเจ้า หล่อนแต่งสีหน้าเก่งมาก ไม่มีรอยพิรุธแห่งความเศร้าเหลืออยู่เลย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าได้ลอบเห็นเมื่อตะกี้ บัดนี้เปล่งปลั่งเหมือนกำลังสุขกายสบายใจ ดวงตากลมโตจ้องดูข้าพเจ้าเขม็ง คล้ายกับจะถามว่าข้าพเจ้าตื่นเต้นอะไรกัน

เมื่อรู้สึกตัวว่าข้าพเจ้าจะกลายเป็นจำเลยไป ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นโจทก์และผู้ช่วยชีวิตของหล่อน ข้าพเจ้าก็ขมวดคิ้วเข้ารุกวารยาทันที

“เรื่องอะไรกัน ทำไมเธอจึงคิดจะฆ่าตัวเอง?”

วารยาเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ

“ฆ่าตัวเอง!” หล่อนทวนคำ “ว่าอะไรนะระพินทร์ นี่เธอฝันไปหรือ?”

ข้าพเจ้าจ้องหน้าหล่อนอย่างหัวเสีย

“ฉันเห็นกับตา อย่ามาเล่นละครหน่อยเลย”

วารยาส่ายหน้าช้า ๆ ทำทีคล้ายกับรำคาญในถ้อยคำและกิริยาอันขึงขังของข้าพเจ้า

“เข้ามานั่งข้างในก่อนเถอะ นี่เธอมาจากไหนกัน ฉันไม่เข้าใจเลย”

ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ไม้ดำอย่างอ่อนเพลีย วารยาปิดประตูห้องแล้วตามมานั่งเก้าอี้ตรงหน้าข้าพเจ้า หล่อนยังคงทำท่าฉงนสนเท่ห์อยู่ตามเดิม

“ฉันวิ่งเหนื่อยเกือบตาย” ข้าพเจ้ากล่าวเป็นเชิงบ่น “นี่เธอเล่นตลกอะไรกัน มีเรื่องอะไรก็ควรปรึกษากันบ้าง? ทำไมจึงหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น?”

วารยาจ้องหน้าข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าถ้าหลบตาก็อาจจะแสดงพิรุธออกไป จึงพยายามที่จะสู้หน้าอยู่เสมอ

“นี่เธอจะเหมาว่าฉันคิดอ่านจะฆ่าตัวตายจริง ๆ หรือนี่?” ถามอย่างอารมณ์เย็น

“ก็อะไรเสียอีกเล่า เธอกำลังจะยิงตัวตาย”

“แปลกจริง ระพินทร์ นี่เธอเห็นจะนอนหลับแล้วฝัน พอตกใจตื่นก็วิ่งแน่วมานี่ ใช่ไหมล่ะ?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะอย่างไม่พอใจ

“ฉันเห็นกับตา มีประโยชน์อะไรจะทำไก๋ ทำไมจึงต้องปิดฉันด้วย”

หล่อนนิ่งอย่างลังเลใจ คงรู้สึกสงสัยว่าข้าพเจ้าคงจะได้แอบดูอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง

“เธอจะสารภาพไหมว่า เธอได้เสียกิริยาเมื่อกี้?”

ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่า “เสียกิริยา” จึงตอบว่า

“ไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูเธอหรอก ฉันเห็นโดยบังเอิญ”

สีหน้าของวารยาคลายความแจ่มใสลงเล็กน้อย

“นี่ ระพินทร์ เธอควรจะละอายใจ” เสียงของหล่อนค่อนข้างจะจริงจัง

“ละอายหรือ? ควรจะยินดี”

“ยังจะยินดีอีกหรือ?”

“ทำไมจะไม่ยินดี ถ้าฉันไม่แอบเห็น ป่านนี้เธอก็เป็นศพไปแล้ว”

“พูดเพ้อไปได้ ใครว่าฉันจะยิงตัวตาย?”

“เมื่อกี้หยิบปืนออกมาทำไม?”

“แปลกด้วยหรือที่ฉันหยิบปืน?”

“เธอร้องไห้ แล้วก็หยิบปืนออกมาถือไว้ ยังเหลืออยู่แต่จะปลดเซฟและเหนี่ยวไกเท่านั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าเธอจะยิงตัวตาย แล้วจะให้เรียกว่ากระไร”

“ประหลาดใจจริง ระพินทร์ ฉันถือปืนเล่นบ้างไม่ได้หรือ?”

“ท่าทางของเธอไม่ได้บอกว่าเล่นสักนิด”

“นั่นเธอเข้าใจเอาเอง แต่นี่แน่ะ พ่อคนดี เมื่อกี้ไปแอบอยู่ที่ไหน?”

“ด้วยเกียรติยศ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบดู” ข้าพเจ้าพูดพลางขยับคอเสื้อเพราะรู้สึกร้อน “ฉันเดินผ่านมา ตั้งใจจะลัดไปทางตึกโน้น แต่พอขึ้นมาถึงก้อนหินนั้น ก็เห็นเธอกำลังจะยิงตัวตาย”

วารยาหยิบหมอนอิงที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นวางบนตัก เอาข้อศอกเท้าหมอน ฝ่ามือยันคาง แล้วจ้องหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่เกรงขาม

“เห็นจะแอบดูอยู่ตั้งชั่วโมงละซี” หล่อนถามเสียงขุ่น

“เปล่า เรื่องอะไรฉันจะต้องแอบดูเธอตั้งชั่วโมง”

“เธอเห็นฉันทำอะไรบ้าง?” ถามคล้ายกับจะสอบไล่ น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงกังวลเล็กน้อย

“เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น” ข้าพเจ้าชี้มือไปทางเก้าอี้ข้างโต๊ะกลางห้อง “นั่งนิ่งเหมือนตุ๊กตาหินกำลังคิดอย่างเต็มที่ สีหน้าเธอเศร้าอย่างที่ฉันไม่เคยพบ สักครู่เธอลุกขึ้นไปที่หน้าลิ้นชักนั้น” ข้าพเจ้าชี้มือไปที่ลิ้นชักซึ่งวารยาคงจะเอาปืนเก็บซ่อนไว้ก่อนจะเปิดประตูห้อง “เธอชักลิ้นชักออกมาหยิบปืนมาถือไว้ในมือ มองดูปืนอย่างพยายามตัดสินใจ ถ้าฉันช้าไปอีกนาทีเดียว–วารยา เธอคงไม่ได้มานั่งพูดกับฉันอย่างแน่ ๆ”

วารยาฟังอย่างอารมณ์เย็นที่สุด ไม่ได้แสดงกิริยาตื่นเต้นเลย ดูเหมือนว่าหล่อนมีความพอใจที่ข้าพเจ้าไม่ได้แลเห็นอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อยังนิ่งอยู่โดยมิได้พูดว่ากระไร ข้าพเจ้าก็ถามว่า

“ฉันพิสูจน์พอหรือยัง เธอเห็นไหมว่าฉันไม่ได้พูดปด เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?”

“ภาพต่าง ๆ ที่เธอเห็น ฉันรับรองว่าเป็นอย่างนั้นจริง” หล่อนพูดโดยมิได้แสดงกิริยาสะทกสะท้าน “แต่เธอดูผิดไปทั้งหมด ฉันไม่ได้เศร้า ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย”

ข้าพเจ้าหงายหลังพิงหมอนแพรอย่างเบื่อหน่าย นิ่งอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า

“นี่แน่ะ วารยา ฉันคิดว่าฉันสนิทกับเธอพอที่จะพูดกับเธออย่างไม่เกรงใจ เธอจะอนุญาตให้ฉันพูดไหม?”

“เธอจะพูดว่ากระไร?”

“พูดทุกอย่างที่ฉันคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเธอ”

หล่อนมองดูตาข้าพเจ้าด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง ซึ่งข้าพเจ้าเดาไม่ถูก

“เชิญพูดเถิด ระพินทร์” เสียงหล่อนแผ่วเบาและอ่อนโยน

ข้าพเจ้าชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ แล้วถามว่า

“เธอกำลังจะฆ่าตัวตาย เพราะเรื่องเหลียงใช่ไหม?”

หล่อนหลบตาลงต่ำทันที ดูเหมือนจะพยายามรวบรวมกำลังใจที่เหลืออยู่ทั้งหมด เพื่อต่อสู้กับความตื้นตันที่อัดอั้นขึ้นมาในทรวงอก สีหน้าของหล่อนได้เผยความรู้สึกภายในให้ข้าพเจ้าทราบอย่างชัดเจน

เงยหน้าขึ้น พยายามรักษาแววตาให้กล้าแข็งอยู่ วารยาพูดว่า

“ฉันไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาด”

“เปล่า ฉันไม่ได้หาว่าเธอขี้ขลาด” ข้าพเจ้ารีบสวนขึ้นโดยเร็ว “เธอเบื่อโลกเพราะเธอผิดหวัง”

“เธอกำลังดูถูกฉัน ระวังหน่อย ระพินทร์”

“ฉันจะไม่เสียใจเลยถ้าเธอจะโกรธ” ข้าพเจ้าพยายามระงับใจให้เยือกเย็นที่สุด “เธอเป็นเพื่อนที่ดียิ่งของฉัน วารยา ฉันไม่ต้องการให้เธอตาย”

ความแข็งกระด้างในแววตาของหล่อนค่อย ๆ ลดหายลงไป วารยาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ หงายศีรษะเบือนหน้าไปทางหนึ่ง คล้ายกับจะซ่อนความรู้สึกในดวงตาทั้งคู่ให้พ้นไปจากความสังเกตของข้าพเจ้า ผมหล่นปลิวกระจายเพราะลมพัดกระโชกเข้ามา แม้สีหน้าจะเคร่งขรึมไปเล็กน้อย แต่เมื่อดูอย่างพิศ ข้าพเจ้าไม่สามารถจะบอกได้เลยว่าวารยาไม่ใช่คนสวย

ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสังเกตกิริยาของหล่อนอยู่นั้น วารยาก็พูดขึ้นเบา ๆ โดยมิได้หันหน้ามาอย่างเคย

“ระพินทร์ ทำไมเธอจึงไม่ต้องการให้ฉันตาย?”

ข้าพเจ้านิ่งคิดก่อนที่จะตอบ

“อายุเธอยังน้อย เธอเป็นคนดีที่จะทำประโยชน์ให้แก่โลกอีกมาก”

หล่อนหัวเราะ คล้ายกับจะเย้ยตัวเอง

“คนดี! ฉันน่ะหรือเป็นคนดี ดูเหมือนเธอจะตาบอดมากไปเสียแล้ว ระพินทร์”

“ฉันไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุ ๑๘ นะ วารยา” ข้าพเจ้าพูดยิ้ม ๆ “ฉันคบคนที่หัวใจ”

“เธอไม่รู้อะไรเลย” หล่อนหันมาสบตาข้าพเจ้า “เธอรู้จักฉันยังไม่พอ”

“รู้จักพอหรือไม่พอ ฉันก็ต้องตั้งตัวเป็นองครักษ์ของเธอละ ฉันจะยอมให้เธอตายไม่ได้”

“อย่าพูดเรื่องตาย เธอดูหมิ่นฉัน ถ้าขืนพูด” เสียงหล่อนแข็งขึ้นอีก

“เธอไม่ยอมรับว่าเธอพยายามจะฆ่าตัวตาย ฉันรู้ว่าทำไมเธอจึงจะต้องทำเช่นนั้น มีประโยชน์อะไรนะ วารยา ชีวิตเป็นของเรา เราต้องเป็นนายมัน เราจะยอมให้มันมาเป็นนายเราไม่ได้”

วารยาก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นข้าพเจ้าก็ใจหายวาบ ขอบตาของหล่อนกำลังเยิ้มไปด้วยน้ำตา

“โปรดอย่าพูดถึงเรื่องตายเลย ระพินทร์ เดี๋ยวฉันจะตายขึ้นมาจริง ๆ เท่านั้นเอง” หยุดถอนใจเบา ๆ “ฉันทนไม่ได้แล้วห้องนี้ โปรดพาฉันออกไปข้างนอกสักครู่ได้ไหม”

ข้าพเจ้ามองดูดวงตาอันเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มของหล่อน รู้สึกว่าวารยาต้องการอากาศ ต้องการความเย็นของน้ำค้าง ต้องการธรรมชาติที่เงียบสงัด ในหัวอกของหล่อนคงกำลังเต็มไปด้วยกองเพลิงที่เผาชีวิตให้เหี่ยวแห้ง กำลังใจและความอดทนที่เคยมีอยู่คงจะเสื่อมถอยลงไปทุกขณะ น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าขืนทิ้งให้หล่อนอยู่ในห้องนี้แต่ลำพัง

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “เราไปเดินเล่นกันข้างนอกก็ดีเหมือนกัน เอาเรือออกไปพายเล่นก็ได้ คืนนี้เดือนหงายกำลังเหมาะทีเดียว”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ