๓๑
คำบอกเล่าของแอลเลนทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจและเศร้าใจระคนกัน ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดวารยาจึงมีดวงตาเศร้ากว่าเดิม ตลอดเวลาหลายวันมานี้ข้าพเจ้าไม่ได้พบวารยากับเหลียงไปไหนมาไหนด้วยกัน ในขณะที่สปริงกำลังจะผ่านไป และซัมเมอร์กำลังจะผ่านเข้ามาแทนที่ ณ บัดนี้กลีบของดอกไม้อันสวยงามร่วงลงมากระจายอยู่กับพื้นดิน พระอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรงยิ่งขึ้นเสมอ สีเขียวอ่อนของสปริงได้เขียวเข้มจัดเข้า ดินที่ชุ่มอยู่ด้วยกระไอน้ำค้างกำลังแตกระแหงไปทั่ว ฝุ่นและความร้อนอันแห้งผากได้กระจายไปตลอดนครปักกิ่ง สปริงได้ผ่านเลยไปแล้ว–ผ่านไปเช่นเดียวกับชีวิตรักของวารยา ราเนฟสกายา!
ข้าพเจ้าพยายามไปพบวารยาครั้งหนึ่ง หลังจากแอลเลนได้กลับเทียนสินแล้ว แต่ไม่สามารถจะพบหล่อนได้ วารยาได้หายตัวไปจากคาบารอฟสก์ คงพบแต่วลาดิมีร์ซึ่งไม่ทำความสว่างให้แก่ ข้าพเจ้าเลย เขาบอกข้าพเจ้าว่าวารยาออกไปเยี่ยมเพื่อนที่นอกเมือง อาจจะพักอยู่สักวันหนึ่งหรือสองวัน ข้าพเจ้าอยู่คุยกับชายชราชาวมอสโกผู้ไม่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ผู้นี้ครู่ใหญ่ สังเกตเห็นสีหน้าเขาแฝงความไม่สบายใจบางอย่าง ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าคงเกี่ยวกับเรื่องธิดาผู้เป็นยอดดวงใจมากกว่าเรื่องอื่น ตามธรรมดาวลาดิมีร์เป็นคนร่าเริง มีลักษณะเป็นผู้มีหัวใจเข้มแข็งบึกบึน แต่เมื่อข้าพเจ้าพบเขาครั้งนี้ เขาอ่อนแอไปถนัด ดูแก่ไปมาก ดวงตาไม่แจ่มใส รอยย่นที่หน้าผากทวีจำนวนมากขึ้น หนวดเคราค่อนข้างรุงรัง ไม่สู้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่อย่างไรก็ดี กิริยาท่าทางของวลาดิมีร์ยังคงพึ่งผายมีสง่า เหมือนท่าของพญาราชสีห์ที่ถูกบาดเจ็บ
ออกจากคาบารอฟสก์ ข้าพเจ้าเลยไปยังหอพักของนักเรียนแพทย์ที่ซานเถียวหูทุ่งตงตันผายโล่วเพื่อเยี่ยมมนัส นายแพทย์ของเราผู้นี้ถูกจัดให้อยู่ห้องพิเศษชั้นกลางไม่รวมกับพวกนักเรียน ที่หอพักเหล่านี้มีนายแพทย์จากที่ต่าง ๆ มาพักอยู่หลายคน ล้วนมาดูงานในโรงพยาบาล Peiping Union Medical College ทั้งสิ้น ค่าเช่าห้องที่หอนี้เขาคิดราคาถูกมาก ให้ความสะดวกทุกอย่างตั้งแต่การกินอยู่ไปจนถึงการกีฬา มนัสของเราถูกจัดให้อยู่ห้องเลขที่ ๑๓ เขาบ่นว่าไม่ชอบ แต่ข้าพเจ้าบอกว่าเลข ๑๓ เดี๋ยวนี้เป็นเลขของโชคดี ข้าพเจ้าเคยถูกลอตเตอรี่บำรุงโรงพยาบาลรางวัลที่สุดท้ายได้เงิน ๑๐๐ เหรียญ เพราะวันที่ซื้อเป็นวันที่ ๑๓ และตัวเลขในสลากก็มีเลข ๑๓ ถึงสองคู่เรียงอยู่ติด ๆ กัน
ข้าพเจ้าพบมนัสนั่งท่องตำราแบบสนทนาภาษาปักกิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาวางหนังสือโดยเร็วแล้วลุกขึ้นต้อนรับ
“ขยันจริง” ข้าพเจ้าทักเป็นคำแรก “คุณจะพูดภาษาปักกิ่งได้ในสามเดือน ถ้าคุณขยันอย่างนี้”
“ผมไม่รู้จะออกเสียงอย่างไร จึงจะชัดพอที่คนใช้จะรู้เรื่อง” มนัสพูดพลางสั่นศีรษะ “เดี๋ยวนี้เพิ่งจะทำให้เขาเข้าใจได้ว่าผมต้องการน้ำอุ่น ต้องการข้าวสุก ไม่ต้องการซาลาเปา”
“เขาเรียกว่า หมานโท่ว” ข้าพเจ้าสวนขึ้น “แต่คุณก็ออกตลาดได้แล้วนี่ เมื่อวานผมเห็นเดินไว ๆ อยู่ในตงอันซื่อฉ่าง”
“รำคาญ ไม่รู้จะไปไหน” มนัสพูดพลางเอามือปิดปากหาว “นี่ดอกเตอร์หวูเชิญผมไปกินข้าวพรุ่งนี้ เป็นคนใจดีพิลึก”
“ดอกเตอร์หวูผมรู้จัก หัวหน้าแผนกผ่าตัดใช่ไหม แกเกือบจะจับผมไปผ่าท้องทีหนึ่งแล้ว”
“เป็นอะไร?” มนัสถามโดยเร็ว
“ทำท่าเหมือนกับจะเป็นไส้ตัน แต่ไม่ใช่เลยไม่ต้องผ่า”
“ผมมีเพื่อนหลายคนแล้วเดี๋ยวนี้” มนัสพูดอย่างอวด “ที่นี่เขารับรองดีมาก พบแต่คนใจดี ต้องการเป็นเพื่อนด้วย ไม่ถือตัว”
“พวกที่นี่เขาดีอย่างหนึ่ง เห็นคนเป็นมิตร ยิ่งแปลกหน้ายิ่งอยากรู้จัก ถ้าเราบังเอิญมองหน้าเขา เขามักคิดว่าเราอยากรู้จักเขามากกว่าจะเห็นเขาแปลก อยู่ที่นี่ผมสบายใจ ไม่ต้องระวังตัว ไปที่ไหนก็พบแต่คนใจกว้างโอบอ้อมอารี ไอ้ที่เอาเรื่องก็มีเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”
คุยกันเรื่องเบ็ดเตล็ดครู่ใหญ่ ในที่สุดเราก็หวนมาหาเรื่องเมืองไทย และกินวงแคบเข้าไปจนถึงเรื่องที่บ้าน
“ประนุทเห็นจะโตมากแล้ว” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “เมื่อผมจากมา แกเพิ่งจะเรียนจบ”
มนัสนิ่งคิดก่อนจะตอบ สังเกตดูเขาระมัดระวังคำพูดมาก
“คุณเห็นจะจำแกไม่ได้เมื่อคุณกลับ”
“ยังงั้นเทียวหรือ? แกส่งรูปมาให้รูปหนึ่ง ผิดตาไปมาก แต่ผมก็ยังอุตส่าห์จำได้ดี”
มนัสยิ้ม ข้าพเจ้าบังเอิญสังเกตเห็นอาการยิ้มนั้นถนัด เขายิ้มคล้ายกับมีอะไรซุกซ่อนอยู่ในใจ
“ประนุทพูดถึงคุณเสมอ ผมรู้จักคุณดีก่อนที่จะออกเดินทาง แกอธิบายเสียละเอียดลออ”
ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ ด้วยความสุข
“ประนุทกับผมเคยไปโรงเรียนด้วยกันเมื่อแกเป็นเด็กเล็ก ๆ แกอ่อนกว่าผมหลายปี มีนิสัยดีมาก คุณรู้จักแกนานแล้วกระมัง?”
“สักสองปีเห็นจะได้ ผมไปรักษาคุณแม่ ประมัยเป็นคนดึงไปแล้วเลยได้รู้จักกัน จริงอย่างคุณว่า ประนุทเป็นคนดีมากทีเดียว”
คุยกันอีกสองสามคำ ข้าพเจ้าก็ชวนมนัสไปรับประทานอาหารข้างนอก เขาตกลงทันที เพราะดูเหมือนจะเบื่อข้าวเย็นที่หอพักเต็มทน เราเรียกรถตรงไปที่เฉียนเหมิน เลือกภัตตาคารที่โอ่โถงได้แห่งหนึ่ง มนัสทำท่าแปลกใจเมื่อข้าพเจ้าบอกว่า นี่เป็นร้านขายอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในปักกิ่ง เขามองดูความเก่าชราของพื้น ผนัง บันได และประตูตลอดจนผ้าม่าน มองดูฝุ่นตามร่องกระดาน มองดูโป๊ะไฟและหลอดไฟฟ้าที่ขาดการเช็ดถู มองดูผู้คนที่มาชุมนุมกันสั่งอาหารส่งเสียงเอะอะ มนัสสบตาข้าพเจ้าคล้ายกับจะถามว่า “นี่หรือภัตตาคารที่ดีที่สุดในปักกิ่ง?” ข้าพเจ้ารู้ที เพราะตัวเองก็เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาแล้วเมื่อถึงปักกิ่งใหม่ ๆ จึงอธิบายว่า
“ประหลาดใจหรือ คุณมนัส? ผมก็เคยงงอย่างคุณเหมือนกัน ที่นี่เขามีร้านขายอาหารที่สร้างแบบใหม่น้อยมาก โดยมากเป็นร้านเก่าแก่ เหลือเป็นมรดกมาจากสมัยมีฮ่องเต้ บางร้านมีอายุเหยียบร้อย ๆ ปี คุณจะหวังให้สวยสดงดงามเหมือนกับร้านในเซี่ยงไฮ้หรือฮ่องกงไม่ได้ ที่นี่เรามากินรสอาหารชั้นที่หนึ่ง มาดูความเก่าแก่ของร้านและของป้าย คุณรู้ไหมว่าที่ร้านนี้เขาเอาป้ายชื่อร้านเก็บไว้ในที่บูชา เพราะมันมีอายุมากกว่าร้อยปี ป้ายที่เราเห็นที่หน้าร้านเป็นป้ายอันใหม่ เพิ่งจะเขียนขึ้นเมื่อสมัยรีพับลิกนี่เอง”
มนัสฟังข้าพเจ้าอธิบายอย่างงง ๆ ในที่สุดเขาพึมพำว่า “แปลว่าเรามาดูพิพิธภัณฑ์ร้านขายอาหารมากกว่ามากินข้าว!”
“มาดูด้วย แล้วมากินข้าวอร่อยด้วย ฝีมือเขาเก่าแก่เหมือนกับตัวร้านนี่แหละ”
มนัสหัวเราะดัง
“ผมเข้าใจละ เรามากินวัฒนธรรมกัน!”
การรับประทานอาหารได้ผ่านไปค่อนข้างล่าช้า เพราะเราได้คุยกันถึงเรื่องเมืองไทยอย่างใจ มนัสเป็นผู้เล่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ซัก เขาเป็นคนพูดคล่องพอใช้ และรู้จักชีวิตเป็นอย่างดี เมื่อเสร็จการรับประทานอาหารแล้ว ข้าพเจ้าก็ชวนเขาไปดูภาพยนตร์รอบ ๒๑.๑๕ ที่แพวิลเลียน ซื้อตั๋วขึ้นไปยังชั้นบน เลือกได้เก้าอี้ตรงกึ่งกลาง นั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็จวนได้เวลา ขณะนั้นมีคนสองคนเดินเข้ามาทางหัวเก้าอี้ เก้าอี้ข้างข้าพเจ้ามีว่างอยู่สองตัวพอเหมาะสำหรับรับรองบุคคลทั้งสองนั้น พอผู้มาใหม่นั่งลง ข้าพเจ้าก็ได้กลิ่นน้ำหอมเคยชินกับประสาทรู้สึก จึงหันไปดู บุคคลที่นั่งอยู่ชิดกับข้าพเจ้าคือวารยา!