๒๙
เที่ยงตรง วันพุธ
รถด่วนสาย ผิง-ผู่ แล่นเข้าเทียบชานชาลาซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัย ทุกคนชะเง้อมองที่หน้าต่างรถ พวกกุลีส่งเสียงเอ็ดตะโร พวกผู้แทนโรงแรมพยายามจับตัวผู้โดยสารหน้าใหม่ ๆ ซึ่งไม่มีท่าทางว่ามีบ้านพักอยู่ในปักกิ่ง เสียงร้องเรียก เสียงหัวเราะ เสียงล้อรถเข็นซึ่งขาดการหยอดน้ำมัน ดังเคล้าไปกับเสียงไอน้ำที่พ่นออกจากใต้ล้อรถจักร ตลอดชานชาลาเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวน่าเวียนศีรษะ ข้าพเจ้าถูกชนหลายครั้ง ขณะที่ดูพลางเดินพลางโดยมิได้ระวังตัว ทุก ๆ หน้าต่างรถแม้จนกระทั่งรถชั้น ๓–ไม่มีดวงหน้าที่ควรจะเป็นนายมนัสเลย พยายามค้นหาอยู่สองตลบ ก็ยังไม่ได้ตัว เพื่อนใหม่ของข้าพเจ้า เขาควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? อย่างน้อยก็ควรจะมีเค้าของคนไทยติดอยู่บ้าง–นั่นคือตาสองชั้น ผิวคล้ำสักหน่อย มีชาวจีนตาสองชั้นหลายคนโผล่หน้าอยู่ตามหน้าต่าง ถึงแม้จะมีตาอย่างคนไทยแต่ผิวหาได้บอกไม่ว่าเป็นคนไทย ท่าทางก็แสดงว่าเป็นคนเจนต่อถิ่นฐานบ้านเมือง ซึ่งจะเป็นมนัสแขกหน้าใหม่ของชาวจีนเหนือไม่ได้เลย ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะเห็นใครสักคนหนึ่งเยี่ยมหน้าออกมา คอยดูคนที่จะผ่านไปมาด้วยความเร่าร้อนใจ แต่บุคคลเช่นนี้ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ตามหน้าต่างตลอดขบวนอันยาวยืด เมื่อได้เดินทวนไปมาแล้วถึงสองตลบโดยปราศจากผล ข้าพเจ้าก็อ่อนใจ เริ่มหมดความพยายามที่จะค้นหา คิดว่านายมนัสผู้นี้คงจะไปตกรถที่เซี่ยงไฮ้หรืออาจจะเปลี่ยนใจเดินทางโดยลงเรือไปที่เทียนสินก่อนก็ได้ ยืนรออยู่จนคนบาง ก็บังเอิญแลเห็นบุรุษนายหนึ่งในชุดสีเทายืนเก้กังอยู่ข้างกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เขามองไปรอบ ๆ ตัวคล้ายจะค้นหาใครสักคนหนึ่ง “มนัสเสียละกระมัง?” ข้าพเจ้านึกในใจแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหา ในระยะสองวาเขาได้หันหน้ามาทางข้าพเจ้า ใบหน้านั้นค่อนข้างยาว ผิวคล้ำ และมีตาสองชั้น! ข้าพเจ้าใจเต้นด้วยความยินดี ถ้าผิดจากคนไทยก็คงเป็นคนฟิลิปิโน ไม่เห็นมีส่วนไหนที่ควรจะเป็นคนจีน
“คุณมนัสใช่ไหม?” ข้าพเจ้าทักขึ้นก่อน
เขาแย้มตากว้าง ยิ้มอย่างตื่นเต้นและดีใจ รีบสาวเท้าเข้ามาและตอบว่า
“ผมมนัสครับ–คุณระพินทร์กระมัง?”
“ระพินทร์ ครับถูกแล้ว ผมตามหาเสียแทบแย่ มีของมากไหมครับ?”
“มีหีบใบใหญ่อีกสองใบอยู่ในรถตู้ ที่เอามากับตัวมีกระเป๋าใบเดียว”
“ไม่เป็นไร เราไปบ้านกันก่อน แล้วให้คนใช้มารับของก็ได้ แต่กระเป๋าใบนี้เราเอาไปด้วย”
ข้าพเจ้าเรียกกุลีมาแบกกระเป๋า แล้วก็ชวนเพื่อนคนใหม่เดินออกมาที่หน้าสถานี เรียกรถยนต์เช่าได้คันหนึ่ง ก็บอกให้ขับไปตรอกเฉียนเลี่ยง เลขบ้าน ๓๓
ขณะที่นั่งอยู่ในรถ มนัสแนะนำตัวเองให้ข้าพเจ้ารู้จัก เขาไม่ใช่เด็กหนุ่ม อายุไม่ถึงยี่สิบ อย่างที่ข้าพเจ้าได้เคยเอาไว้ล่วงหน้า มนัสเป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองไทย คะเนอายุราวสามสิบกว่า ท่าทางบอกว่าช่ำชองต่อชีวิตเป็นอย่างดี เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอย่างย่อ ๆ ว่า เขาต้องการจะมาดูงานในโรงพยาบาล พี.ยู.เอ็ม.ซี. ที่ปักกิ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชั้นเยี่ยมของตะวันออก
“ผมได้ตำบลของคุณจากประมัย” เขาบอกข้าพเจ้าในตอนหนึ่ง
“ประมัยหรือครับ” ข้าพเจ้าร้องด้วยความแปลกใจ “อ้อ! คุณรู้จักกับประมัยดีหรือ?”
“เราเป็นเพื่อนเก่าแก่ เขาฝากจดหมายมาให้คุณฉบับหนึ่ง”
“ผมดีใจจัง”
“แล้วทางบ้านคุณยังฝากของมาอีกหลายอย่าง เห็นจะมีน้ำพริกเผาอย่างหนึ่งละ เพราะผมได้กลิ่น”
“เหมาะทีเดียว ของโปรดของผม”
“อ้อ! แล้วประนุทน้องประมัยยังฝากของกระจุกกระจิกมาอีกเยอะแยะ”
ข้าพเจ้าใจเต้นเมื่อเขาออกชื่อประนุท ยิ้มพลางกล่าวว่า
“พุโธ่! ทำให้คุณหอบแย่ แล้วประนุทไม่ฝากจดหมายมาบ้างหรือครับ?”
มนัสมองตาข้าพเจ้า คล้ายกับจะค้นหาความจริงบางอย่าง
“ฝากมาฉบับหนึ่ง” เขาตอบ พลางควักซองสีน้ำเงินอ่อนออกมาจากกระเป๋าใน ท่าทางคล้ายกับจะรู้ที่ว่าข้าพเจ้ากำลังต้องการของสิ่งนั้น
รับซองมาถือไว้ในมือ พิศดูลายมือที่หน้าซองก็จำได้ ลองเดาดูว่าหล่อนจะพูดว่ากระไรบ้าง ซองนั้นหนักมาก แสดงว่านอกจากจดหมายอันยืดยาวตามเคยแล้ว คงจะมีรูปถ่ายแนบมาด้วย ถ้าไม่มีมนัสนั่งอยู่ข้าง ๆ ข้าพเจ้าคงจะรีบฉีกออกอ่านให้สมกับความกระหาย มนัสมีท่าทางพิกล ดูเขาไม่ค่อยมีสีหน้ายินดีนักที่เห็นข้าพเจ้าพิศดูจดหมายนั้นไม่วางตา เป็นเพื่อนเก่าของประมัย ไม่ต้องสงสัย เขาคงชอบพอกับประนุท สมมุติว่ามนัสยังไม่ได้แต่งงาน เขาอาจจะรักกับประนุทได้บ้างไหม?
ข้าพเจ้าสอดซองสีน้ำเงินอ่อนนั้นลงกระเป๋าเสื้อชั้นบนทางเบื้องซ้าย จดหมายของประนุทแนบอยู่กับหัวใจ ทันใดนั้น ข้อความในจดหมายของวารยาก็มาปรากฏให้เห็น คำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ดังกังวานอยู่ในช่องหู ข้าพเจ้านั่งนิ่ง...ถอนใจยาว...