๑๙

เมื่อระลึกถึงชั่วโมงแห่งความหลังซึ่งได้ผ่านไปแล้วในนครหลวงเก่าของประเทศจีน ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับว่าได้กลับไปเดินอยู่ในถนนซึ่งเต็มไปด้วยภาพอันชินตาอีกครั้งหนึ่ง สปริง ค.ศ. ๑๙๓๒ ความสวยสดงดงามกำลังแวดล้อมอยู่รอบข้าง ตามถนนทุกสายเราพบแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใสในดวงหน้า เสื้อผ้าซึ่งกรุขนแกะไว้ข้างในได้ถูกเก็บลงหีบไปแล้ว ทั้งผู้หญิงผู้ชายสามัญชนชาวจีนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิ ยังคงเป็นเสื้อยาวคลุมข้อเท้าและมีแขนยาวจดข้อมือ แต่ข้างในไม่กรุขนสัตว์ เย็บด้วยผ้าธรรมดาสีน้ำเงินแก่ ซึ่งเป็นสีที่นิยมใช้กันทั่วไปในจำนวนคนชั้นต่ำ คนชั้นกลางและคนชั้นสูงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างดีสีต่าง ๆ มองดูปราดเดียวก็เดาฐานะได้ พวกผู้ชายนิยมแบบสากลไม่น้อยกว่าแบบจีน แต่พวกผู้หญิงมากกว่าเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ยังคงนิยมแบบจีนอยู่ เป็นเสื้อยาวถึงข้อเท้ารัดรูปกระชับ แขนหดสั้นหรือยืดออกตามสมัยนิยมซึ่งมักระบาดมาจากเซี่ยงไฮ้ อันเป็นนครของแบบเสื้อและแบบการแต่งหน้าและแต่งผม เสื้อรัดรูปเหมือนกระโปรงนี้ แม้แต่ผู้หญิงฝรั่งก็นิยมใช้กันอย่างเปิดเผยตลอดจีนเหนือ เป็นแบบที่งามกว่ากระโปรงในสายตาของข้าพเจ้าและคนในส่วนมาก เพราะรัดรูปรัดทรงกะทัดรัด ทำให้ผู้แต่งปราดเปรียวขึ้น ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ในเรื่องรูปสมบัตินักก็ดี สีของเสื้อที่ประดับอยู่ตามถนนและสวนสาธารณะได้แสดงว่าฤดูดอกไม้บานได้มาถึงแล้ว เมื่อสีของเสื้อเหล่านี้ได้กลายเป็นสีซีดมากขึ้น เราก็ได้รับความรู้สึกอีกว่า ฤดูร้อนกำลังย่างกรายเข้ามา แต่ในชั่วโมงที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ สีของเสื้อผ้ายังคงฉูดฉาดอยู่ สีโศก สีชมพู สีน้ำเงิน สีจำปา ฯลฯ ยังคงคละเคล้าปะปนสลับกันอยู่ตลอดมอริสสันสตรีต ตลอดลิเกชั่นควอเตอร์ ตลอดเฉียนเหมิน ตลอดฉางอันเจี๊ย ตลอดสวนสาธารณะอันประดับด้วยพันธุ์รุกขชาตินานาชนิด สีของสปริงทำให้หัวใจของข้าพเจ้าแจ่มใสชื่นบาน คล้ายกับว่าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ สีดอกไม้ใบหญ้าและสีเสื้อผ้าของเพศงามซึ่งอ่อนระทวย ได้หลอกข้าพเจ้าไปพักหนึ่งว่า โลกนี้เป็นเมืองสวรรค์ มีแต่ความสงบเงียบร่มเย็น มีแต่ตัวผึ้งและดอกไม้ มีแต่เสียงนกร้องเพลงและเสียงน้ำไหลในลำธาร มีแต่ดวงตาอันเต็มไปด้วยความกรุณาและริมฝีปากที่มีรอยยิ้ม ข้าพเจ้าหลงไป–เพลิดเพลินไป–ท่องเที่ยวไปในดงของดอกท้อ ดอกโบตั๋น ดอกเหมย ดอกสาวเย่า แต่มันก็ยุติธรรมดีแล้วที่เราได้มีโอกาสหายใจอากาศอันหอมหวานของฤดูสปริงเสียบ้าง เพียงเดือนสองเดือน เพื่อเตรียมจิตใจไว้ต่อสู้กับความเหี้ยมเกรียมของชีวิตอันจะผ่านเข้ามาในฤดูร้อนและฤดูหนาว

เมื่อเขียนมาถึงตอนนี้ ท่านคงเข้าใจว่าข้าพเจ้าอาจเป็นบุคคลที่มองชีวิตในแง่ร้าย เป็นคนช่างจำ ไม่ยอมลืมรอยยิ้มและคราบน้ำตา ท่านอาจสงสัยว่าทำไมข้าพเจ้าจึงจะต้องมองดูชีวิตในแง่ที่ไม่ดี ทำไมข้าพเจ้าจึงพูดถึงความแห้งแล้งของฤดูร้อนและฤดูหนาว ทำไมข้าพเจ้าจึงนิยมยินดีในฤดูสปริง คล้ายกับว่าฤดูนี้เป็นเสมือนวันอาทิตย์ที่เราได้พักผ่อนนอนกลางวันอยู่กับบ้าน ข้าพเจ้าหวาดกลัวชีวิตนักหรือ? ข้าพเจ้าเบื่อโลกมนุษย์เต็มทีแล้วหรือ จึงได้แต่พรรณนาถึงความทุกข์ยากและความผิดหวัง? เพื่อความเข้าใจที่ถูก ขอให้ข้าพเจ้าได้ชี้แจงว่า เมื่อพูดถึงชีวิต ข้าพเจ้าหมายถึงละครฉากหนึ่ง ชีวิตคือละคร! ไม่มีปัญหาเลย ละครที่เต็มไปด้วยเรื่องของโชค มีทั้งความชั่วและความดี มีทั้งความรักและความเกลียด ละครของเราจะจบเรื่องก็เฉพาะเมื่อความตายได้มาถึงแล้ว ละครของข้าพเจ้า–ระพินทร์ พรเลิศ–เป็นละครเรื่องยาว–เป็นละครที่จะไม่จบเรื่อง นอกจากหัวใจจะได้หยุดเต้นเสียในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เรื่องละครของระพินทร์เป็นเรื่องของความเศร้าและความอยุติธรรม ฉากต่าง ๆ ที่ได้เปิดม่านไปแล้วตลอดเวลาสามสิบกว่าปี เป็นฉากของความผิดหวังในความดีของมนุษย์ แต่ความผิดหวังเหล่านั้นได้เป็นบทเรียนที่มีค่า ซึ่งสอนว่าหัวใจของคนยังไม่มีความเชื่องพอที่จะเชื่อกันได้ เมื่อข้าพเจ้าพบคนปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ข้าพเจ้าจะเชื่อเขาได้สักเพียงไหน มันเป็นปัญหาที่ตอบไม่ได้ เพราะถ้าข้าพเจ้าตอบก็มักจะผิด คนทำให้ข้าพเจ้าต้องกลายเป็นคนช่างจำ และความจำที่ข้าพเจ้าสะสมไว้ก็คือความหลังที่ไม่มีวันตาย คนทำให้ข้าพเจ้ามองดูชีวิตด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ก็เพราะบังเกิดความรู้สึกว่า ชีวิตคือละครที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ และการต่อสู้นี้หาได้เป็นไปโดยมีกติกาเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ ตรงกันข้าม มันเป็นการต่อสู้อย่างทีใครทีมัน ใครดีใครได้ เป็นการต่อสู้ที่ขาดวิสัยของนักกีฬา น่าอนาถใจ น่าเศร้าใจ น่ารังเกียจ ไม่มีปัญหาเลย การต่อสู้จะต้องดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีเวลาหยุดพัก เราจะต้องเผชิญกับความชั่วจนกระทั่งชินกับความชั่ว จะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากจนกระทั่งชิ้นต่อความทุกข์ยาก จะต้องเผชิญกับความผิดหวังจนกระทั่งชินต่อความผิดหวัง สำหรับข้าพเจ้า ความเลว ความทุกข์ ความเจ็บ ตลอดจนความเศร้า เป็นเสมือนยากำลัง น้ำตาเป็นที่เกิดของความทรหด ส่วนรอยยิ้มเป็นแต่เครื่องยั่วให้เกิดความประมาท ข้าพเจ้านึกถึงด้านที่มืดมัวของชีวิต และพูดถึงด้านที่น่ารังเกียจของชีวิต ก็เพื่อให้ชินชากับสิ่งเหล่านี้ เพื่อเตือนใจไม่ให้ประมาท เพื่อปลุกความรู้สึกให้ตื่นอยู่เสมอ คือรู้สึกว่าในโลกนี้ความเลวมีมากกว่าความดี ความทุกข์มีมากกว่าความสุข ความผิดหวังมีมากกว่าความสมหวัง ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ความสุขจะเกิดมีขึ้นได้อย่างยาวนานก็เพราะเรามีความชาเย็นต่อความทุกข์ จนกระทั่งความทุกข์ทำอะไรเราไม่ได้ ก็ความชาเย็นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่าถ้าเราไม่ได้พบความทุกข์ ไม่ได้คลุกคลีกับความทุกข์ และไม่ได้เอาใจใส่จดจำความทุกข์ไว้เสียเลย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ