๑๔
วลาดิมีร์เป็นชายชราอายุพ้นวัยหกสิบ มีผิวหนังเหี่ยวและผมขาว แสดงให้เห็นความเก่าคร่ำของชีวิตวิญญาณที่ได้มาอาศัยอยู่ในโลกนี้เป็นเวลานานปี ชายผู้นี้เป็นคนมีอัธยาศัยใจคอสุภาพนุ่มนวล มีแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดนึกอย่างลึกซึ้ง ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องที่จะต้องคิดอยู่เสมอ เรื่องที่ไม่มีผู้ใดอาจล่วงรู้ได้ แม้แต่ผู้จัดการโฮเต็ลคาบารอฟสก์ ซึ่งเป็นเพื่อนชาวรัสเซียที่ชอบพอกันอย่างที่สุด วลาดิมีร์พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ภาษาจีนเหนือก็พูดได้พอควร เป็นผู้ที่มาพำนักอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลานานมาก จนเคยชินต่อดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง
ตามธรรมดาข้าพเจ้ามักจะออกไปรับประทานอาหารเย็นนอกบ้านในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ถือโอกาสเชิญมิตรสหาย หรือปล่อยให้ตัวเองถูกเชิญเป็นการซ้อมความเป็นเพื่อนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภัตตาคารในปักกิ่งมีอยู่มากมายหลายแห่ง แต่ละแห่งล้วนมีรสชาติต่าง ๆ กัน เริ่มแต่อาหารรัสเซีย อาหารชิ้งเจิ๊นของพวกมุสลิม อาหารฝรั่งธรรมดาลงไปจนถึงอาหารจีน ในจำพวกอาหารจีนด้วยกันก็ยังแบ่งออกไปหลายชนิดตามสำเนียงภาษาของผู้ปรุง ประเทศจีนมีอาณาเขตใหญ่โตปานทวีปยุโรป จังหวัดบางจังหวัดมีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่าประเทศบางประเทศในยุโรปเสียอีก ชาวจีนแม้จะเรียกตัวว่าเป็นคนจีนและมีวัฒนธรรมอันเดียวกัน ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นพวกเป็นเหล่า ตามสำเนียงภาษาที่พูด เช่นมีพวกกวางตุ้ง พวกฮกเกี้ยน พวกเซี่ยงไฮ้ พวกจีนเหนือ เป็นต้น อาหารที่ปรุงโดยฝีมือพวกเหล่านี้ ก็มีรสต่างกันเป็นพวก ๆ เช่นอาหารกวางตุ้งรวมทั้งแต้จิ๋วมีรสแหลม อาหารเซี่ยงไฮ้มีรสมันเลี่ยน อาหารจีนเหนือมีรสเค็มเดินหน้า อาหารก้วยโจวและซื่อชวน (เสฉวน) มีรสเผ็ดร้อน ฯลฯ ภัตตาหารของจังหวัดต่าง ๆ เหล่านี้มีอยู่โดยทั่วไป บางร้านมีป้ายบอกอย่างชัดแจ้งว่าเป็นอาหารของจังหวัดใด ปักกิ่งเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและวัฒนธรรม ชาวเมืองเป็นชาวจีนที่มาจากแทบทุกจังหวัด รวมทั้งชาวแมนจูและมองโกลตลอดจนทิเบต ชาวจีนเหล่านี้เมื่อออกไปรับประทานอาหารตามภัตตาคารก็มักเลือกไปภัตตาคารของจังหวัดที่เป็นบ้านเดิมของตน เรามักจะพบชาวกวางตุ้งและแต้จิ๋วตามภัตตาคารกวางตุ้ง และมักจะพบชาวก้วยโจวและซื่อชวน (เสฉวน) ตามภัตตาคารที่มีอาหารรสเผ็ดร้อน บางทีเผ็ดยิ่งกว่าอาหารไทยเสียอีก ข้าพเจ้ารับประทานอาหารได้ทุกภัตตาคาร และออกจะชอบภัตตาคารกวางตุ้งมากกว่าแห่งใด ๆ เพราะมีโอกาสเรียกบะหมี่ได้ แต่ท่านต้องไม่เข้าใจว่าก๋วยเตี๋ยวบะหมี่กวางตุ้งที่ปักกิ่งมีรสเช่นเดียวกับที่เราพบในเมืองไทย นอกจากที่ซัวเถาแล้ว ดูเหมือนเราจะไม่ได้พบก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ที่เราเคยชอบมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเลย ที่ซัวเถามีการติดต่อกับเมืองไทยใกล้ชิดมาก เพราะฉะนั้นรสอาหารอันมีรสแหลมของเราจึงระบาดไปอยู่ที่ซัวเถามากกว่าแห่งอื่น
ข้าพเจ้าไปคาบารอฟสก์สองครั้ง หลังจากที่ได้พบวารยาแล้ว ที่ภัตตาคารโรงแรมแห่งนี้ เจ้าของเป็นชาวรัสเซียชื่อคอสซาเรฟ รูปร่างอ้วนเตี้ยไว้เครารุงรัง เขาเป็นคนชอบคุย พูดได้หลายภาษา ลูกค้าติดมาก ข้าพเจ้ารู้จักคอสซาเรฟที่เทียนสิน แอลเลนเป็นคนแนะนำให้รู้จักกัน เขาตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย คอสซาเรฟเป็นคนใจกว้าง ชอบสนุก ไม่ถือตัว เป็นรัสเซียขาวอีกคนหนึ่งที่ต้องเนรเทศตนเองออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เพราะไม่ต้องการจะอยู่ในกรงเหล็กของพวกคอมมิวนิสต์
คอสซาเรฟแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับวลาดิมีร์ ในตอนเย็นวันอาทิตย์วันหนึ่งปลายเดือนมีนาคม วลาดิมีร์เช่าห้องอยู่ในโรงแรมแห่งนี้มานานแล้ว เมื่อพบข้าพเจ้า ชายผู้นี้ได้ถามถึงเมืองไทย ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่าเมืองไทยเป็นเมืองสวรรค์ที่มีความสุขที่สุดในโลก เรามีอิสรภาพกว้างขวาง มีอาหารการกินบริบูรณ์ การทำมาหากินสะดวก กรรมกรว่างงานไม่มี ปัญหาสังคมยังไม่เกิด เรามีแต่ความสุขสงบอันราบรื่นชื่นใจ เราภูมิใจในประเทศชาติของเรามาก วลาดิมีร์ฟังแล้วก็นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตามีแววค่อนข้างจะเศร้าหมอง ยกมือขึ้นลูบหนวดสีเทาซึ่งตัดไว้อย่างงดงามแล้วก็พูดว่า
“ท่านเป็นคนเคราะห์ดีมากที่ได้เกิดเป็นคนไทย ถ้าฉันได้มีโอกาสเป็นคนไทยบ้าง ก็จะเป็นสุขที่สุด”
“ท่านไม่คิดจะกลับรัสเซียบ้างหรือ?” ข้าพเจ้าถามอย่างพาซื่อ
วลาดิมีร์ถอนใจเบา ๆ
“ท่านรู้ดีว่ารัสเซียเป็นอย่างไร เราไม่มีทางจะอยู่ได้หรอก เรายินดีจะมาเป็นคนที่ไม่มีชาติในเมืองจีน มากกว่าจะเข้าไปอยู่ในคุกตะรางของสตาลิน”
เราคุยกันถึงเรื่องในรัสเซียเกือบตลอดเวลา ข้าพเจ้าได้ความว่า วลาดิมีร์ได้หลบหนีออกมาจากรัสเซีย หลังจากที่พวกคอมมิวนิสต์ได้อำนาจแล้ว เขาเข้าไปทำการค้าขายอยู่ที่ฮาร์บินสิบกว่าปี หลังจากที่จางโซหลินผู้ครองแมนจูเรียได้ถึงแก่กรรมแล้ว โดยลูกระเบิดลึกลับที่ใกล้สถานีมุกเด็นในตอนเช้าแห่งวันที่ ๔ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๒๗ ความปั่นป่วนของแมนจูเรียได้ทำให้การค้าตกต่ำจนตั้งอยู่ไม่ได้ จึงต้องอพยพลงมาอยู่ที่ปักกิ่ง วลาดิมีร์ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกสะเทือนมากเพราะเหตุการณ์เหล่านี้ เขามีความเยือกเย็นเป็นนิสัย เล่าให้ข้าพเจ้าฟังอย่างเปิดเผย ด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้มผิดกับเมื่อตอนแรก เมื่อจบแล้วเขาก็ถามว่า
“ท่านจะว่ายังไง นี่แหละที่เขาเรียกว่าเรื่องของชีวิต”
“โชคร้ายพอดู” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความจริงใจ