๑๑
ลาตัวเล็กสูงเพียงสะเอว พาเราท่องเที่ยวไปตามถนนใหญ่ บ่ายหน้าไปทางว่านโส้วซาน หรือภูเขาหมื่นปี ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบคุ้นหมิงหู การขี่ลาเป็นเกมสนุกเกมหนึ่ง สำหรับการเที่ยวเตร่ตามชนบทชานกรุงปักกิ่ง ในชั้นแรกข้าพเจ้าเห็นเป็นของขบขันที่ต้องนั่งไปบนหลังเจ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ดื้อด้านและโกงที่สุด ซึ่งในเมืองไทยนาน ๆ จะได้พบสักครั้งหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ชินเข้าก็รู้สึกว่าการขี่ลาเป็นเกมที่ปอบปิวลาร์และสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูสปริง ซึ่งดอกไม้กำลังบานสะพรั่งเต็มต้นจนแลไม่เห็นใบ เสียงลูกพรวนหรือกระดิ่งเล็ก ๆ ที่คอเจ้าลาโง่ขณะที่มันวิ่ง ดูเหมือนจะเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะ ซึ่งดังเคล้าไปกับเสียงตัวผึ้งและเสียงนกร้องเพลง วารยานำหน้า มีเจ้าของลาถือแส้วิ่งตามไปข้าง ๆ เหลียงกับข้าพเจ้าขี่เคียงกันไป ส่วนเพื่อนอีก ๒–๓ คนอยู่รั้งท้าย เราคุยกันถึงเรื่องร้อยแปดสุดแท้แต่จะนึกได้ อากาศอบอุ่นกำลังสบาย มีลมพัดฉิว ๆ ยอดสนโอนอ่อนไปมา กิ่งวิลโลว์ที่ห้อยย้อยลงมาระพื้น น้ำในลำธารข้างถนน ปลิวสะบัดเหมือนหางว่าว ข้าพเจ้ามองดู รอบ ๆ พิจารณาดูภาพชีวิตอันสดชื่นไปด้วยสีและเสียงแห่งฤดูใบไม้ผลิ ความสวยงามของธรรมชาติอันคละเคล้าไปด้วยความเงียบสงบ ทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงแมนจูเรียและเซี่ยงไฮ้ ที่นั่นก็มีสปริงเหมือนกัน แต่เป็นสปริงที่นองไปด้วยเลือด–สปริงที่ดอกไม้ถูกทำลายราบไปด้วยอำนาจของดินระเบิด
วารยานำหน้าเราไปสักสองวา หล่อนไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง สำรวมกิริยานิ่งเงียบประหนึ่งว่ากำลังตกอยู่ในความฝันอันเต็มไปด้วยภาพอันสวยงาม ช่างเป็นชั่วโมงที่แสนสุขอะไรเช่นนั้น สุขที่มีผู้ซึ่งพอใจอยู่ใกล้ชิด สุขที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เต็มไปด้วยภาษารัก ซึ่งผู้ที่กำลังมีความรักเท่านั้นสามารถจะเข้าใจได้ ข้าพเจ้าคิดว่าวารยาและเหลียงคงจะมีความสุข เพราะเขาเป็นคู่รักกัน แต่ข้าพเจ้าน่ะหรือจะบังอาจเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคนทั้งสองได้? ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้ามีความชำนาญในชีวิตดีแล้วหรือ ที่จะรอบรู้ไปถึงส่วนลึกของหัวใจมนุษย์? เหลียงกับวารยาเป็นคู่รักกัน เขาควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะเขาไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเงาตามตัว แต่ในหัวใจของคนทั้งสองมีอะไรซุกซ่อนอยู่อีกบ้างใครจะรู้ วารยาเศร้าเสมอ หล่อนไม่แสดงว่ามีความตื่นเต้นในชีวิตเท่าที่ควรจะเป็น ส่วนเหลียงก็ดูเหมือนจะเป็นคนมักง่ายเกินไปสำหรับการมีคู่รัก เขาไม่ตื่นเต้นมากมายในการที่วารยาอยู่เคียงข้าง เขาชินกันจนเกินที่จะรู้สึกตื่นเต้นเสียแล้วหรือ? ข้าพเจ้าพิจารณาดูท่วงทีของคนทั้งสองแล้ว ก็เข้าใจอะไรไม่ได้ นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้วิสาสะกับวารยา ปัญหาที่ยังขบไม่ออกเลยก็คือ วารยาเป็นใคร? หล่อนอยู่ที่ไหน? มีหลักฐานและประวัติมาอย่างไร? แอลเลนบอกว่า วารยาก็คือผู้หญิงรัสเซียที่เขาพบในเทียนสินและเซี่ยงไฮ้ แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อ ท่วงทีของวารยาไม่บอกว่าจิตใจหล่อนเต็มไปด้วยวัฒนธรรมเซี่ยงไฮ้ หล่อนอ่อนหวาน นุ่มนวล และมีแววตาเศร้าลึกซึ้งอย่างประหลาด วารยายังคงเป็นคนลึกลับสำหรับข้าพเจ้าอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะได้ร่วมทางกันไปเที่ยวเกือบทั้งวัน
ข้าพเจ้าปล่อยอารมณ์ให้เลื่อนลอยไปตามสบาย มองดูปลายกิ่งวิลโลว์หรือต้นหลิวที่ห้อยระย้าอยู่บนพื้นน้ำในลำธารข้างทาง แล้วก็ระลึกไปถึงหน้าหนึ่งในสมุดประวัติศาสตร์ของปักกิ่ง วันหนึ่งเมื่อประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว เวลา ๔.๐๐ น. ก่อนรุ่งอรุณแห่งวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๐๐ พระนางสือสีฮองไทเฮา ผู้กำประเทศจีนไว้ในอุ้งพระหัตถ์ มีอำนาจและพระปรีชาสามารถเสมือนพระนางเอลิซาเบทของอังกฤษ ได้เสด็จหนีกองทัพคนผิวขาวไปตามถนนที่เรากำลังผ่านไปในบัดนี้ พระนางทรงตื่นบรรทมเวลา ๓.๐๐ น. ทรงแต่งพระองค์ด้วยเสื้อผ้าอย่างเลวที่หญิงสามัญใช้ ทรงรื้อเรือนพระเกศาออก และเกล้าให้ผิดจากแบบแมนจูเป็นแบบจีนแท้ เพื่อจะลวงตาไม่ให้ใครจำได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงเกล้าพระเกศาแบบจีนสามัญ ซึ่งเป็นเหมือนข้าทาสของชาวแมนจูทั้งหลาย แต่ทรงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะภัยของผิวขาวได้กระเถิบเข้ามาถึงกำแพงเมืองแล้ว ปักกิ่งเมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๐! การจลาจลของพวกนักมวยได้กระจายไปตลอดจีนเหนือ พวกฝรั่งถูกเกลียดชังอย่างเข้ากระดูก พวกจีนที่มีความคิดไกลได้เห็นพ้องต้องกันว่า จีนกำลังจะพินาศล่มจมไปสู่ความเป็นทาส จีนกำลังจะถูกแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะการขยายอำนาจ อำนาจของมหาประเทศในอัสดงคตทวีป จีนไม่มีทางจะรักษาเอกราชไว้ได้ต่อไป เพราะแผ่นดินได้ถูกเฉือนเอาไปทีละชิ้นสองชิ้น จีนจะต้องปฏิวัติใหญ่ หรือมิฉะนั้นก็จะต้องหันหน้าเข้าสู้อิทธิพลของชาวตะวันตกอย่างจนตรอก พวกจีนที่มีความคิดเห็นรุนแรง และมีความเชื่อถือในทางความคงกระพันชาตรี ได้รวมกันเข้าเป็นกลุ่มก้อน แล้วเที่ยวฆ่าฟันพวกฝรั่งตายลงอย่างไม่เลือกหน้า เลือดของชาวผิวขาวได้นองไปทั่วจีนเหนือ ผู้ที่ถูกฆ่าโดยมากเป็นพวกหมอสอนศาสนา พวกชาวจีนที่ถือศาสนาคริสเตียนก็ถูกฆ่าตายเกลื่อนกลาด เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศต่อชาติ ในสมัยนั้นความปั่นป่วนอย่างร้ายแรงได้กระจายไปทั่วเมืองจีนและกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของความยุ่งยาก ก็เต็มไปด้วยซากศพและแสงเพลิง ฝรั่งทุกชาติได้พากันหนีเข้าไปในเขตสถานทูตนานาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของเมือง สถานทูตเหล่านี้ตั้งอยู่เป็นกระจุกมีกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบ พวกฝรั่งรวมทั้งผู้หญิงและเด็กได้เข้าไปตั้งมั่นในนิคมสถานทูต พวกผู้ชายทุกคนได้จับปืนขึ้นต่อสู้กับชาวเมือง ซึ่งพยายามตีหักเข้ามาทุกด้าน ลำดับนั้นรัฐบาลจีนก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเสีย มิหนำซ้ำยังเข้าร่วมมืออยู่ทางเบื้องหลังของชาวเมืองอีกด้วย การสู้รบอย่างตัวตายตัวแทนได้ดำเนินไปสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า จนกระทั่งพวกฝรั่งต้องหันเข้าฆ่าม้ากินเป็นอาหาร และกระสุนดินดำก็ร่อยหรอลงไปทุกที แต่ในที่สุดกองทัพแห่งประเทศมหาอำนาจทั้งแปดก็บุกเข้าไปถึง และทลายประตูเมืองอันสูงใหญ่มหึมาเข้าไป ณ บัดนั้น ปักกิ่งนครหลวงอันเก่าคร่ำด้วยจำนวนศตวรรษก็ถูกเหยียบย่ำตามความพอใจของผู้ชนะอีกครั้งหนึ่ง
ความพินาศอันแท้จริงของเกียรติศักดิ์แห่งกรุงปักกิ่ง ก็คือการหนีเตลิดของพระนางสือสีฮองไทเฮา พระนางเป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้ บัดนี้ได้ถึงแก่ความปราชัยอีกครั้งหนึ่งแล้ว ช่างน่าอัปยศเพียงไรที่พระแม่เจ้าอยู่หัว เจ้าชีวิตของชาวแมนจูและชาวจีน ๔๐๐ ล้านต้องทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าป่านอย่างเลว ๆ เกล้าเกศาอย่างหญิงจีนสามัญ ทรงเกวียนที่ใช้ขนสัมภาระเกรอะกรังไปด้วยฝุ่นและโคลนแทนพระเกี้ยวทองคำ ซึ่งสร้างด้วยฝีมืออันประณีต ดาวประจำพระองค์ของพระนางสือสีฮองไทเฮาได้อับแสงลงแล้ว เป็นการแสดงอยู่ในตัวว่า อำนาจของชาวแมนจูได้เริ่มเสื่อมทรามลง หลังจากนั้นอีก ๑๑ ปี จีนก็ปฏิวัติใหญ่ ราชบัลลังก์ของราชวงศ์ชิงก็พลันถึงแก่ความพินาศ
เมื่อนาฬิกาตี ๔ แห่งวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๐๐ ตามถนนสายเดียวกันกับที่เรากำลังเที่ยวไปอย่างเพลิดเพลินนี้ เกวียนเก่า ๆ ขบวนหนึ่งได้วิ่งเตลิดไปโดยด่วน บ่ายโฉมหน้าไปทางว่านโส้วซาน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Summer Palace พระแม่เจ้าอยู่หัวชาวแมนจูได้ถูกเกวียนกวัดไกวโยกคลอนไปตามทางเป็นเวลา ๔ ชั่วโมงเต็ม นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของพระองค์ ที่ได้รับความลำบากอย่างสาหัสถึงปานนั้น เมื่อถึงประตูข้างของปราสาทพักร้อนอันสถิตอยู่ ณ ภูเขาหมื่นปี ริมทะเลสาบคุ้นหมิงหู ทหารที่รักษาการณ์ก็เข้าขวางทางไม่ให้เสด็จเข้า เพราะไม่มีใครนึกว่าพระนางผู้ทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะชี้พระหัตถ์ให้ราษฎรทุกคนในแผ่นดินจีนตายได้ จะเสด็จมาอย่างไพร่สามัญชนเช่นนั้น ต้องเสียเวลาชี้แจงกันหลายนาที ทหารเหล่านั้นจึงจำพระองค์ได้ พระนางเสด็จเข้าปราสาทพักร้อนเวลา ๘ นาฬิกา ทรงเสวยน้ำชาอย่างเร่งรีบ แล้วก็ทรงระลึกถึงบรรดาของมีค่า ซึ่งมิได้ขนออกจากพระราชวังหลวงในกรุงปักกิ่ง จึงส่งขันทีให้กลับไปจัดการรวบรวมฝังไว้ยังใต้พื้นปราสาทหนิงโส้ว ประทับอยู่ที่ปราสาทพักร้อนไม่นาน ข้าราชบริพารและพระราชวงศ์ก็ตามเสด็จไปถึง จึงรวมกันเข้าเป็นขบวนใหญ่ รีบหนีไปประทับยังเมืองจางจาโข่ว มีทหารรักษาพระองค์ติดตามไปเพียงพันคนเท่านั้น
นั่นเป็นละครฉากหนึ่ง เมื่อกรุงปักกิ่งถูกย่ำเหยียบเป็นครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๐