๑๐
วารยา ราเนฟสกายา ยืดตัวขึ้น แล้วมองไปทางเสาหิน ซากปราสาทซึ่งยังเหลือตั้งอยู่เสาหนึ่ง เพื่อนของเรายังคงนั่งอยู่บนกองอิฐปูนข้างเสาหินนั้น สนทนากันอย่างเพลิดเพลิน แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นสบายมาก ภาพน้ำอันใสสะอาดในบึง และภาพสวอนขาวแหวกว่ายไปมา ทำให้เกิดเป็นฉากอันสวยงามเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกวัน เหลียงกวงต้านยังไม่กลับจากมหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณครึ่งไมล์ เราพบกันที่ซากปราสาทนี้โดยไม่ตั้งใจ ข้าพเจ้าไปกับสหาย ๒–๓ คน เมื่อพบกันแล้ว เหลียงก็ฝากวารยาไว้กับข้าพเจ้า เพราะเขาจะต้องไปติดต่อกับหัวหน้าทีมฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยสักครู่ วารยาไม่มีความประสงค์จะไปด้วย เพราะที่ชิงหวาหล่อนเคยไปหลายครั้งแล้ว หล่อนออกมาเที่ยวนอกเมืองกับเหลียงแต่ลำพังสองคน เป็นการเที่ยวตามความพอใจ เที่ยวไปในดงดอกท้ออันกำลังบานสะพรั่ง เที่ยวไปในท่ามกลางของเสียงนกร้องเพลง สปริงกำลังต้อนรับอยู่ตรงหน้า ช่างยั่วเย้าอารมณ์อะไรเช่นนั้น!
“ไม่นึกว่าจะมาพบกันที่นี่ ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นอีกภายหลังที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เธอไปที่คาราซาร์อีกหรือเปล่า?”
วารยาสั่นศีรษะอย่างชาเย็น
“คาราซาร์ไม่มีอะไรที่น่าดู เธอคงชอบคาราซาร์มากกระมัง?”
“ฉันยังไม่ได้โผล่ไปเลยตั้งแต่พบเธอวันนั้น”
“ฉันชอบดอกไม้ที่เซนทรัลปาร์กมากกว่า”
ข้าพเจ้าชำเลืองดูดวงหน้าของหญิงสาว สังเกตเห็นดวงตาค่อนข้างเศร้าหมอง ขาดความแจ่มใส ในใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงบเยือกเย็น วารยาชอบดอกไม้มากกว่าเต้นรำ ในใบหน้านั้นก็บอกอยู่แล้ว หล่อนควรจะเป็นศิลปินที่รู้จักคุณค่าของธรรมชาติ มากกว่าจะเป็นวารยา ราเนฟสกายา ซึ่งแอลเลนไม่เคยมีความเข้าใจไปในทางที่ดีเลย
เราสนทนากันถึงเรื่องธรรมชาติและชีวิต พูดถึงความงามของท้องฟ้าในฤดูที่ความหนาวกำลังจะผ่านเลยไป พูดถึงดอกไม้ใบหญ้าตลอดจนถึงคน วารยาถามถึงแอลเลน ข้าพเจ้าบอกว่าเขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ มีสำนักงานอยู่ที่เทียนสิน หล่อนไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่าหล่อนไม่มีความรู้สึกดีต่อแอลเลนเท่าใด ความจริงกิริยาที่แอลเลนแสดงต่อหล่อนก็ไม่หยาบคายอะไรมาก แต่วารยาอาจประสาทไวเกินไป หล่อนอาจนับถือตนเองจนเกินที่จะทนได้ กิริยาของวารยาทำให้ข้าพเจ้าแทบจะเข้าใจอะไรไม่ได้ เป็นผู้หญิงที่มีความรู้สึกสูงและไว้ตัว แต่หล่อนไปกับเหลียงผู้มีจิตใจเป็นเครื่องจักร ไปทุกหนทุกแห่งตามความพอใจของเขา จะให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร? แต่แปลกอะไรเล่า เขาเป็นคู่รักกัน และอาจแต่งงานกันในวันใดวันหนึ่งก็ได้
เหลียงกวงต้านกลับมาพร้อมด้วยช่อดอกท้อพวงใหญ่ เขายื่นให้วารยา แล้วหันมากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า
“ไปว่านโส้วซานกันไหม หรือเธอจะกลับเมือง?”
“ไปซี เราก็ตั้งใจไว้เหมือนกัน ว่าจะไปกินกลางวันที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ “แต่ว่า.... เธอล่วงหน้าไปก่อนไม่ดีหรือ เราพบกันที่มาร์เบิลโบตก็ได้”
“ไปพร้อมกันเถอะ” วารยารีบพูดขึ้น เพื่อแสดงความจริงใจว่ามิได้รังเกียจ ในการที่ข้าพเจ้าและเพื่อนอีก ๒–๓ คนจะร่วมทางไปด้วย
ออกจากหยวนหมิงหยวน เราเช่าลาขี่ไปตามทางเล็ก จนกระทั่งออกถนนใหญ่ ในจีนเหนือ ลาและอูฐเป็นพาหนะที่สำคัญมากสำหรับการเดินทางตามชนบท เมื่อไปถึงปักกิ่งใหม่ ๆ ข้าพเจ้าแปลกใจที่พบลากับอูฐทุกหนทุกแห่ง ตามธรรมดาเมื่อพูดถึงอูฐเรามักนึกถึงภาพทะเลทราย ภาพคนมีหนวดเครา โพกศีรษะรุ่มร่าม ภาพต้นปาล์ม และโอเอซิส เมื่อแลเห็นอูฐในปักกิ่งในนาทีแรก ข้าพเจ้าก็คิดว่าควรจะพบคนพวกนี้ด้วย แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ได้จากวิชาภูมิศาสตร์ ได้บอกข้าพเจ้าว่าปักกิ่งจะมีคนหนวดเครารุงรังไม่ได้ แล้วก็เป็นจริงเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้พบคนที่มีหนวดเครารุงรัง แต่พบพวกจีนมุสลิมเป็นอันมาก ชาวมุสลิมเหล่านี้โดยมากโกนหนวดเคราเรียบร้อย แต่งตัวอย่างจีนแท้ ถ้าไม่ใช่เพราะผิวคล้ำและลักษณะของวงหน้าอันมีเหลี่ยมอย่างคมสันแล้ว ก็บอกไม่ได้เลยว่า เป็นจีนหรืออิสลามิก ศาสนาอิสลามได้แพร่เข้าไปในเมืองจีนและเริ่มเติบโตขึ้นในศตวรรษที่เก้าและที่สิบ ในแผ่นดินซุ่ง (ซ้อง พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๘๒๑) ชาวอิสลามิกได้เริ่มเข้าไปอยู่ในปักกิ่งเป็นจำนวนมาก ในแผ่นดินชิ้ง (เช็ง) รัชกาลพระเจ้าเฉียนหลุง อิสลามิกหญิงผู้หนึ่งก็ได้เป็นพระสนมเอกของพระเจ้าแผ่นดิน และในขณะนั้นอำนาจของอิสลามิกก็เฟื่องฟูขึ้นเป็นอันมาก จนกระทั่งราชองครักษ์บางส่วนก็เกณฑ์เอาอิสลามิกมาเป็น ในเวลาปัจจุบันมีอิสลามิกในปักกิ่งประมาณเกือบสามหมื่นคน อิสลามิกเหล่านี้ถือขนบธรรมเนียมประเพณีเช่นเดียวกับอิสลามิกทั่วโลก เช่นประเพณีแต่งงาน ประเพณีทำศพ ตลอดจนประเพณีการกินอยู่ หมูเป็นอาหารที่เขาไม่แตะต้อง เช่นเดียวกับอิสลามิกในเมืองไทย ตามถนนต่าง ๆ ทั่วกรุงปักกิ่ง มักมีร้านขายอาหาร แขวนป้ายอักษรจีนว่า “ชิ้งเจิ๊น” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์สะอาดของอาหารที่ควรบริโภคได้ตามลัทธิของศาสนาพระมะหะหมัด คนพวกนี้เป็นพ่อค้ากันโดยมาก พูดภาษาจีนเป็นภาษาของเขาเอง มีชื่อเป็นจีน และเขียนหนังสือเก่งเหมือนคนจีน นอกจากลัทธิศาสนาและเลือดเนื้อเชื้อไขแล้ว อิสลามิกจีนก็คือคนจีนดี ๆ นี่เอง
อูฐกับ “แขก” เป็นของห่างกันยากกระมัง ข้าพเจ้าจึงได้พบอูฐตลอดจนล่อที่เทียมเกวียนอยู่ในมือของอิสลามิกมากกว่าอยู่ในมือของชาวจีน อาชีพขนส่งมักอยู่ในกำมือของอิสลามิกแทบทั้งสิ้น เจ้าของล่อที่เราเช่าในวันนั้นก็มีอิสลามิกปนอยู่ถึง ๒ คน ชาวจีนกับจีนอิสลามในปักกิ่งมีความกลมเกลียวกันเป็นอันดี ไม่มีความรู้สึกแตกต่างอะไรกันเลยนอกจากลัทธิทางศาสนา จังหวัดที่มีอิสลามิกมากที่สุดก็คือ จังหวัดกานซู ซินเกียง และชิ้งห่าย ผู้ที่ได้อำนาจในทางการปกครองในดินแดนภาคนี้ ก็เป็นอิสลามิกโดยมาก เช่น หม่าหุงก้วย เป็นต้น ในสมัยที่จีนได้ปฏิวัติเปลี่ยนการปกครองแล้ว รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจยื่นมือเข้าไปควบคุมดินแดนเหล่านี้ได้อย่างสิทธิ์ขาด ถึงแม้ว่าอิสลามิกในจังหวัดที่กล่าวนี้จะถือตัวเป็นส่วนหนึ่งของชาวจีนก็ดี แต่เมื่อไม่มีความพอใจในรัฐบาลกลางสมัยใด เขาก็วางตัวเป็นอิสระสมัยนั้น