๙
วันคืนผ่านไป–ผ่านไป
ปักกิ่งยังคงสวยงามอยู่ในท่ามกลางแห่งบุปผชาติของฤดูใบไม้ผลิ ในเวลาเดียวกัน แมนจูเรียกับเซี่ยงไฮ้ก็ยังคงนองเลือดอยู่ตามเดิม ความรุนแรงของการรบได้กระเทือนไปถึงยุโรป แต่สันนิบาตชาติจะทำอะไรกัน? เพราะแม้ในองค์การที่มีลักษณะคล้ายกับว่าเต็มไปด้วยมนุษยธรรมแห่งนี้ ก็ยังยากที่จะมองเห็นความเสมอภาคและความร่วมมือได้ เราชาวผิวเหลืองมองดูสันนิบาตชาติด้วยความหวังว่า เราจะได้พบความเสมอภาคที่นั่น แต่เราพบอะไร? อย่าได้พูดต่อไปเลย ขอกล่าวแต่เพียงว่า ตราบใดที่ชาติมหาอำนาจยังเห็นแก่ตัวอยู่ นั่นคือ ตราบใดที่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ การเมืองและทางผิวยังมีอยู่ไม่ได้–ตราบนั้นเราก็จะไม่พูดกันถึงสันติภาพอีก
ที่หยวนหมิงหยวน ใกล้บริเวณมหาวิทยาลัยเยียนจิงและชิงหวา เราพบความไม่เสมอภาคปรากฏรูปอยู่อย่างถนัดชัดเจน เราพบกองอิฐปูนซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อ ๘๐ กว่าปีมาแล้ว ได้เป็นส่วนของพระราชวังอันงดงาม เหมือนวิมานในสวรรค์ พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับร้อนของพระเจ้าแผ่นดินแห่งราชวงศ์แมนจู ปลูกสร้างด้วยไม้จันทน์อันหอมตลบ โดยฝีมือของสถาปนิกชั้นเลิศ งดงามไม่แพ้พระราชวังหลวง พระราชวังประทับร้อนนี้สร้างอยู่เคียงทะเลสาบคุ้นหมิงหู อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งออกไปทางตะวันตกประมาณสิบไมล์ ความไม่เสมอภาคของผิวได้เกิดขึ้น ณ พระราชวังนี้เมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๐ ในปีนั้นทัพอังกฤษกับทัพฝรั่งเศสได้ตีทัพจีนแตกและบุกขึ้นไปถึงกรุงปักกิ่ง พระราชวังหยวนหมิงหยวนถูกฝรั่งเศสจงใจระเบิดพังพินาศราบลงกับพื้นดิน เจดีย์ของวัฒนธรรมจีนแห่งนี้ ต้องพังทลายไปเพราะฝีมือของผู้เจริญแห่งทวีปยุโรป ขณะที่ข้าพเจ้าขึ้นไปยืนอยู่บนกองอิฐปูนอันสูงเสมือนเนินเขาที่หยวนหมิงหยวน ข้าพเจ้าก็รู้สึกสังเวชใจ ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าความเจริญแปลว่าอะไร ทำไมมนุษย์ที่เจริญแล้วจึงจะต้องประพฤติเยี่ยงชาวป่าดงเช่นนี้ เขาไม่ต้องการจะเหลียวแลดูความงามของศิลปะ ไม่ต้องการจะนึกถึงวัฒนธรรมของมนุษย์ ผู้มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปไกลถึงสี่พันปี เขาต้องการแต่ความพอใจของตนเอง เมื่อโกรธก็ทำลาย ไม่จำเป็นจะต้องคิดเป็นห่วงถึงอะไรให้เสียเวลา มันเป็นเรื่องของความไม่เสมอภาค มันเป็นเรื่องของการย่ำเหยียบกดขี่ อนิจจา! ท่านผู้เจริญแห่งทวีปตะวันตก! จะให้เราเข้าใจท่านว่าอย่างไร!
ที่หยวนหมิงหยวน–ปราสาทร้างซึ่งเหลือแต่ซากอิฐและปูนแห่งนี้ ข้าพเจ้าได้พบวารยา ราเนฟสกายาอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องมาพบกันในที่อันปราศจากชีวิตเช่นนี้ ทำไมเราจึงไม่พบกันที่ขอบทะเลสาบซึ่งดอกไม้กำลังบานอยู่เต็มต้น
ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าประมาณ ๙ นาฬิกากว่า พระอาทิตย์แห่งฤดูสปริงฉายแสงสว่างสุกใสอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงิน มีเกล็ดเมฆสีขาวลอยอยู่ทางขอบฟ้า เหนือยอดวิลโลว์ซึ่งขึ้นขนานไปกับถนนใหญ่ที่เชื่อมนครปักกิ่งกับทะเลสาบคุ้นหมิงหู อากาศกำลังอุ่นสบาย มีลมอ่อน ๆ พัดมาจากทะเลทรายโกบี สวอนคู่หนึ่งว่ายน้ำมาทางที่เรายืนอยู่ ข้าพเจ้าชี้ให้วารยาดู พลางกล่าวว่า
“เธอคิดบ้างไหม สมมุติว่าเรามีชีวิตอย่างนั้นบ้าง เราจะสุขสักเพียงไร”
วารยามองตามมือข้าพเจ้าไป นิ่งคิดอยู่ขณะหนึ่งจึงได้ตอบ
“พวกสวอนเหล่านี้มีจิตใจดีกว่ามนุษย์เรามาก คนเราเห็นจะมีชีวิตอย่างนั้นไม่ได้ดอก เพราะจิตใจของเรายังห่างไกลกับสวอนนัก”
ข้าพเจ้ารู้สึกงง เพราะไม่นึกว่าวารยาจะตอบอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าพเจ้าต้องการให้แอลเลนมาอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเขาจะได้มีข้อสังเกตใหม่ ๆ สำหรับหล่อน ถ้อยคำของวารยาทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจหล่อนขึ้นเล็กน้อย คือเข้าใจว่าอย่างน้อยวารยาจะต้องเป็นคนช่างคิด และอย่างมากคงได้ผ่านชีวิตอันเศร้าหมองมาแล้ว จึงรู้จักเปรียบเทียบความดีกับความชั่วได้อย่างแนบเนียน
“เธอพูดเหมือนนักปราชญ์” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น ตาจับที่ดวงหน้าหล่อน “เธอเห็นคนชั่วไปหมดแล้วหรือ?”
หล่อนหัวเราะคล้ายกับจะพยายามแก้ตัว
“คนดีก็มีมาก แต่ไม่มากพอที่จะทำให้โลกเจริญได้ เรายังต้องการเวลาอีกมากนัก”
“เธอรู้สึกเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”
หล่อนนิ่งอย่างใช้ความคิด สั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างชาเย็น
“เราอาจจะสนทนากันถึงเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับฤดูสปริง เราควรจะพูดถึงดอกไม้มากกว่ากระมัง?”
“จริงซี ฤดูสปริงสั้นนิดเดียว อีกหน่อยก็ร้อน ร้อนแล้วก็ออทัมน์ แล้วก็วินเตอร์ ฤดูหนาวที่นี่มันยาวเหลือเกิน ฉันไม่ชอบเลย”
“เธอทนหนาวได้ดีไหม” หล่อนถาม พลางชำเลืองดูเสื้อผ้าที่ข้าพเจ้าสวมอยู่
“แรก ๆ ก็รำคาญบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ชำนาญเสียแล้ว ฉันเกลียดลม”
“จริงซี ลมที่นี่ร้ายมาก ถ้าไม่มีลม ฤดูหนาวก็ไม่รู้ร้ายนัก ผิดกับที่ฮาร์บิน”
“เธอเห็นจะอยู่ที่ฮาร์บินนานมาก?”
วารยายิ้มอย่างเศร้า คล้ายกับว่าข้าพเจ้าได้สะกิดความหลังอะไรสักอย่างหนึ่ง
“ฉันโตที่ฮาร์บิน” หล่อนตอบห้วน ๆ
“ฉันคิดว่าเธอเกิดในรัสเซีย”
“ถูกแล้วฉันเกิดในรัสเซีย แต่มาโตที่ฮาร์บิน”
ข้าพเจ้าถอนมือออกจากกระเป๋าเสื้อ ยืดตัวตรงสบตาหล่อนอย่างประหลาดใจ
“ยังงั้นหรือ เธอได้ท่องเที่ยวมากทีเดียว”
วารยาโยนก้อนหินเล็ก ๆ ลงไปในบึงตรงหน้า มองดูน้ำที่แตกออกเป็นวงกลมหลายวง สีหน้าไม่มีรอยยิ้มแย้ม แววตาค่อนข้างขุ่นมัว
“เธอเห็นจะชอบท่องเที่ยว ฉันเกลียดเหลือเกิน”
“เที่ยวมากก็รู้จักโลกมาก”
“ข้อนั้นฉันไม่เถียง แต่มันน่าเบื่อสำหรับการท่องเที่ยวเพราะถูกบังคับ”
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า หล่อนหมายความถึงเหตุผลที่ทำให้ต้องหลบหนีออกมาจากรัสเซีย จึงถามว่า
“เธอไม่คิดกลับรัสเซียหรือ?”
วารยามองหน้าข้าพเจ้า คล้ายกับจะคิดว่าข้าพเจ้าถามโดยไม่เข้าใจเรื่องที่หล่อนพูด แต่ไม่กล่าวแก้ประการใด กลับตอบว่า
“รัสเซียไม่มีอิสรภาพแล้ว ฉันคิดว่าเรายอมอดตายมากกว่าจะกลับไป มันไม่ผิดอะไรกับเดินเข้าไปในกรงเหล็ก”
“หมายความว่า เธอจะอยู่ในเมืองจีนอีกนาน?”
หล่อนสั่นศีรษะช้า ๆ กิริยาเต็มไปด้วยความชาเย็น
“ชีวิตฉันยังไม่มีที่หมาย ไม่เห็นมีอะไรแน่นอนในโลกนี้ ฉันอาจจะอยู่ที่ปักกิ่งนี่จนตายก็ได้”
“เธอพูดยังกับว่าได้อ่านพระพุทธปรัชญามาหลายเล่ม”
“เป็นจริงเช่นนั้น ฉันอ่านมาหลายเล่มทีเดียว”
ข้าพเจ้าเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ
“เธอชอบทางศาสนามากกระมัง?”
หล่อนพยักหน้า
“ศาสนาที่มีเหตุผล เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้โลกพ้นภัย”
ข้าพเจ้าทวีความแปลกใจมากขึ้น เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากวารยา หล่อนควรจะพูดถึงเพลงเพราะ ๆ พูดถึงการเต้นรำ และโปรแกรมภาพยนตร์มากกว่าจะพูดถึงสิ่งที่หนักสมองและมองเห็นประโยชน์ได้ยากอย่างเรื่องของศาสนา ทุกวันนี้มนุษย์ส่วนมากกำลังทุ่มเทความฝันไปในทางวัตถุด้านเดียว ศาสนาเกือบจะเป็นแต่ประเพณี แทบไม่มีความหมายอะไรเลย เขาชอบพูดถึงเศรษฐกิจการเมือง ชอบพูดถึงปัญหาสังคมร้อยแปด ชอบพูดถึงสงครามและสันติภาพ แต่มีสักกี่คนที่ชอบพูดถึง ศาสนา? เขาเข้าใจว่าศาสนาเป็นศาสตร์ที่ล้าสมัยที่สุด งุ่มง่าม โบราณ ขัดต่อความเจริญของสังคม เขาไม่เข้าใจว่าศาสนาที่มีเหตุผล เป็นศาสตร์ที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างประมาณไม่ได้ เป็นศาสตร์ที่ทำให้คนเป็นคน–เป็นศาสตร์ที่ยังจะต้องดำรงคงอยู่เช่นเดียวกับศาสตร์อื่น ๆ มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องค้นหาความลึกลับของเรเดียม เพื่อกู้ร่างกายของคนให้ยั่งยืนอยู่ ในเมื่อเราไม่ได้พยายามกู้จิตใจของเราให้ลอยพ้นจากกองกิเลสแต่อย่างใดเลย? เรารักษากันแต่ร่างกายเท่านั้น เราไม่ต้องการจะรักษาจิตใจ เมื่อ ๒๒ ปีก่อนเราช่วยกัน สร้างสันนิบาตชาติขึ้นที่เจนีวา แต่ในหัวใจทุก ๆ ดวงที่เต้นอยู่ในที่ประชุมแห่งนั้น มีความสะอาดหมดจดโดยทั่วถึงกันแล้วหรือ? มีอะไรบ้างที่พอจะพิสูจน์ได้ว่าท่านผู้เจริญทุกตัวคนที่เข้าไปนั่งอยู่ในสันนิบาตชาติ มีหัวใจที่เจริญได้ส่วนกับดวงหน้าอันสะอาดและเครื่องแต่งกายอันสง่างามแบบสุภาพบุรุษแท้ของเขา? เขาพูดกันถึงปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง เขาพูดกันถึงปัญหามนุษยธรรมร้อยแปด แต่มันไม่เป็นความจริงดอกหรือ ที่ท่านผู้เจริญของชาติมหาอำนาจหลายชาติในที่ประชุมแห่งนี้ได้พยายามพูดเพื่อตัวของเขาเอง–พูดเพื่อตลาดและดินแดนที่เขาปล้นเอาไปจากชาติมนุษย์ที่อ่อนแอ ตามส่วนต่าง ๆ ของโลกตลอดเวลา ๓๐๐ ปีที่ได้ผ่านไปแล้ว–พูดเพื่อรักษาทรัพย์สมบัติที่เขาสะสมไว้โดยอาศัยอำนาจเป็นธรรม พูดเพื่อกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างให้มากขึ้นโดยไม่มีอัตราจำกัด อนิจจา! To have and to hold! คำห้าคำนี้จารึกอยู่ในหัวใจข้าพเจ้าทุกขณะจิต มนุษย์หลายชาติได้เขียนคำเหล่านี้ด้วยเลือดของผู้แพ้ เขียนเพื่อให้ทาสการเมืองยังคงปรากฏอยู่ในสมุดประวัติศาสตร์ เขียนเพื่อความเป็นใหญ่เป็นโตส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงว่าใครจะทุกข์จะร้อนกันแค่ไหน เขาไม่เคยแปลความหมายของคำว่าเสมอภาค เพราะถ้าขืนแปลก็จะเป็นการด่าตัวเอง อุดมคติของเขามีอยู่ว่า ความเสมอภาคจะมีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เพราะผิวต่างกัน และความเจริญเหลื่อมล้ำกัน ท่านประหลาดใจไหมที่มนุษย์ผู้เรียกตัวเองว่าผู้เจริญแห่งศตวรรษที่ ๒๐ ยังคงบูชาอุดมคติชนิดนี้อยู่อีกมากมาย?