ไม่มีอะไรใหม่เลยในกรุงปักกิ่ง มองดูโดยทั่ว ๆ ไปจะพบแต่ฝุ่น ความผุพัง ความทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้รัฐบาลจีนไม่มีเวลาจะแก้ไขเพราะต้องเอาเวลา เอาเงินไปรบกันเองเสียหมด เมื่อพิจารณาดูอย่างหยาบ ๆ ก็ไม่ควรจะคิดว่ามีอะไรที่สามารถทำให้ข้าพเจ้าลืมปักกิ่งไม่ได้ แต่ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ลืมปักกิ่ง? ทำไมข้าพเจ้าจึงพูดว่าเรื่องเมืองปักกิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ตาย? ทำไมข้าพเจ้าจึงคิดว่าความหลังในนครแห่งนี้ เป็นความหลังที่ตรึงใจอยู่ชั่วกัลปาวสาน? ข้าพเจ้ามีเหตุผลอยู่ ๒ ข้อ

ในข้อแรก ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีความงามอันเงียบสงบอย่างลึกซึ้ง ความงามที่คละเคล้าไปด้วยวัฒนธรรมและธรรมชาติ เพื่อนคนไทยบางคนของข้าพเจ้าเคยพูดว่าปักกิ่งเป็นเมืองหลวงเก่าชนิดเลวที่สุดในโลก คนเหล่านั้นอาจพูดถูกตามสายตาของเขา เพราะอุดมคติของเขามีอยู่ว่า เมืองที่งามและดีจะต้องมีถนนดี มีตึกสูง ๆ มีรถใต้ดิน มีรถเก๋งแบบใหม่วิ่งอยู่เต็มถนน มีโรงเต้นรำมาก ๆ ฯลฯ ปักกิ่งไม่มีลักษณะเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจึงจะเป็นเมืองงามสำหรับคนเหล่านั้นไม่ได้ เพื่อนที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ เอาปักกิ่งไปเปรียบกับเซี่ยงไฮ้ เขาว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่สวยงามข้ามหน้าปักกิ่งอย่างฟ้ากับดิน เซี่ยงไฮ้มีถนนดี มีตึกสูงเกือบจดเมฆ มีโรงเต้นรำแทบทุกถนน มีรถเก๋งแล่นเป็นแพ มีคนแต่งตัวสวยหรูเดินกรีดกรายไปมาไม่ขาดสาย ฯลฯ เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เถียงเขา เพราะคนเราควรจะมีความคิดเห็นของตนเองบ้าง ความคิดของคนหนึ่ง ๆ จะดีชั่วสูงต่ำอย่างไร ต้องแล้วแต่นิสัยสันดานและการศึกษาอบรม ข้าพเจ้าคิดว่าเขาอาจจะถูกก็ได้ในสายตาของเขาเอง และในเวลาเดียวกัน ข้าพเจ้าอาจจะถูกก็ได้ในสายตาของข้าพเจ้า ถ้าจะให้ข้าพเจ้าออกความเห็นบ้าง ข้าพเจ้าก็อยากจะพูดว่า เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีภัยมาก พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้ากลัวภัยจากพวกผู้ร้ายที่ออกมาไล่ยิงกับตำรวจตามถนนในเซี่ยงไฮ้เนือง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตะวันยังไม่ตกดิน ภัยที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ คือภัยของวัฒนธรรม ข้าพเจ้าอยากจะเปรียบความงามของเซี่ยงไฮ้กับความงามของผีเสื้อ ฉูดฉาด ฟุ่มเฟือย กรีดกราย โลดเต้นไม่อยู่นิ่งได้ ชาวเซี่ยงไฮ้โดยมากถือตัวว่าศิวิไลซ์แล้ว พยายามทำแทบทุกอย่างที่พวกฝรั่งทำ ซึ่งบางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฝรั่งจึงทำเช่นนั้น ตั้งแต่ขอทานไปจนถึงเศรษฐี ตั้งแต่กรรมกรไปจนถึงนักการเมือง เราพบแต่กลิ่นอายที่แปลกประหลาด จะว่าตะวันออกก็ไม่ใช่ ตะวันตกก็ไม่เชิง พวกจีนหัวสมัยที่เซี่ยงไฮ้ เป็นพวกที่ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ได้ บางทีก็ทำเป็นจีน บางทีก็ทำเป็นฝรั่ง เขาพูดภาษาจีน แต่พออารมณ์แปลก ๆ ผ่านเข้ามา เขาก็พูดฝรั่งเสียยาวยืด แลดูเหมือนเขาจะชอบพูดฝรั่งมาก เครื่องแต่งกายทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้มีการปฏิวัติกันบ่อย ๆ ดูเหมือนว่าพวกหัวสมัยทั่วเมืองจีนพากันถือว่าเซี่ยงไฮ้เป็นกระจกเงาสำหรับเครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายแบบใหม่ที่สุดมักจะเกิดที่เซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้าชอบดูหุ่นผู้หญิงและผู้ชายที่พาเครื่องแต่งกายแบบใหม่ ๆ เร่ร่อนไปตามถนน ที่จริงก็เพลิดเพลินดี แต่เมื่อถามตัวเองว่าเป็นแบบอะไร ก็หาคำตอบไม่ได้ ไม่ใช่จีน ไม่ใช่ฝรั่ง ถ้างั้นก็จะเป็นอะไรเล่า? ว่าทางขนบธรรมเนียมประเพณี ข้าพเจ้าก็เข้าใจไม่ได้ว่าเท่าที่พวกหัวสมัยในนครเซี่ยงไฮ้ปฏิบัติกันอยู่เขาถือธรรมเนียมอะไร คือ มีทั้งของจีนและของฝรั่ง และที่เป็นของฝรั่งก็เป็นแต่ผิวฝรั่ง ไม่ใช่เนื้อฝรั่ง เมื่อพูดถึงความรักก็อีกน่ะแหละ ดูมันมีรสประหลาดพิกล เขาพอใจความรักที่เป็นอิสระและฟุ่มเฟือย ผู้หญิงผู้ชายพอแตกเนื้อสาวเนื้อหนุ่มก็ฝันถึง free love และไม่แต่ฝันเท่านั้น ปฏิบัติเอาทีเดียว ข้าพเจ้าไม่ใช่คนหัวเก่า แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าความรักแบบ free love ในเซี่ยงไฮ้จะทำให้ชีวิตการแต่งงานตลอดรอดฝั่งไปได้สักแค่ไหน ความรักในเซี่ยงไฮ้... โอ อย่าพูดเลย มันวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูก หัวเราะแล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้และก็หัวเราะอีก รักน้อย ๆ แต่รักให้นานนั้นแทบไม่มี มีแต่รักมาก ๆ รักเร็ว ๆ แต่งงานเร็ว ๆ หรืออาจไม่ต้องแต่งงานเลยก็ได้ แต่ในไม่ช้าไม่นานวิมานก็พังทลาย แล้วก็เรื่องเต้นรำอีก นี่ก็น่าขันและน่าเศร้า เมื่อพูดถึงเรื่องศีลธรรมของสังคม ข้าพเจ้ารักศิลปะของการเต้นรำมาก แต่ข้าพเจ้าทนไม่ได้เมื่อเห็นผู้ชายหรือผู้หญิงกระหายเต้นรำคล้ายกับพวกกะลาสีที่เพิ่งขึ้นจากเรือ ในเซี่ยงไฮ้ โรงเต้นรำมีอยู่แทบทุกถนน ซึ่งที่จริงก็ไม่น่าแปลก เพราะเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าอันมหึมาของตะวันออก การเต้นรำควรจะมีของดีอยู่หลายประการ เช่นของดีในทางศิลปะและการสมาคม เป็นต้น ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเราจะเถียงกันว่าเต้นรำดีหรือไม่ดี เราก็ควรจะจำกัดวงให้อยู่ในหัวข้อใหญ่ ๆ สองข้อ นั่นคือ สถานที่หนึ่งและคนหนึ่ง เราควรจะพิจารณาดูว่า แผ่นดินส่วนไหนของโลกเหมาะและไม่เหมาะแก่การเต้นรำเพียงใด และคนที่เต้นเขาเต้นกันอย่างไร มีความประสงค์ที่สุจริตแค่ไหน

อย่างไรก็ดี นี่คือนครเซี่ยงไฮ้–นครที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันประหลาดพิสดาร น่าพิศวงงงงวย ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจว่าวัฒนธรรมเซี่ยงไฮ้คืออะไรแน่ ถ้าจะอุปมาก็คล้ายเอาโลหะทุกชนิดในสากลพิภพมาหลอมรวมกันเข้า ซึ่งในที่สุดก็บอกไม่ได้ว่าเป็นธาตุอะไร นี่คือวัฒนธรรมเซี่ยงไฮ้–วัฒนธรรมที่ประหลาด คล้ายคนไม่มีชาติ มันเป็นเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งของเรื่องเศร้าหลายร้อยเรื่องที่ข้าพเจ้าพบในประเทศจีน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ