มูลเหตุแห่งความหายนะของพะม่า

มูลเหตุแห่งความหายนะของประเทศพม่าเกิดแต่พระเจ้าพาคยีดอ ทำสงครามแพ้อังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องเสียหัวเมืองมอญทางใต้ปากน้ำสาลวินตลอดเมืองทวายเมืองตะนาวศรีกับทั้งเมืองยักไข่และเมืองอัสสัม ทางต่อแดนอินเดียไปเป็นของอังกฤษ นอกจากนั้นยังต้องเสียเงินค่าชดใช้ในการสงครามแก่อังกฤษถึง ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ รูปี พระเจ้าพาคยีดอ ต้องเก็บเงินจากราษฎรในอาณาเขตที่ยังเหลืออยู่เพิ่มขึ้นด้วยประการต่าง ๆ เพื่อเอาไปใช้หนี้อังกฤษ เป็นเหตุให้ราษฎรเดือดร้อน เริ่มระส่ำระสาย เสื่อมความภักดีแต่สมัยนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อสมัยพระเจ้าพุกามครองประเทศพม่าเป็นรัชกาลที่ ๘ ในราชวงศ์อลองพระ พม่าเกิดรบกับอังกฤษอีก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ รบกันครั้งนี้พออังกฤษตีได้หัวเมืองมอญฝ่ายเหนือขึ้นไปถึงหัวเมืองแปรและเมืองหงสาวดี ที่เมืองอมรบุระราชธานีก็เกิดเหตุ ด้วยสงสัยน้องยาเธอสององค์ทรงนามว่า “เจ้ามินดง” องค์หนึ่งกับเจ้า “กะนอง” องค์หนึ่ง ซึ่งร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันจะเป็นขบถ เจ้าสององค์นั้นรู้ทันก็พากันหนีออกจากเมืองอมรบุระ ไปรวบรวมกำลังตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองชเวโบ คือเมืองรัตนสิงหราชธานี ที่พระเจ้าอลองพระเป็นผู้สถาปนาขึ้นนั้น พระเจ้าพุกามให้กองทัพไปปราบหลายครั้งก็กลับพ่ายแพ้มา ผู้คนเห็นเป็นบารมีเจ้าสององค์นั้นก็พากันสมัครเป็นรี้พลมากขึ้น เมื่อเจ้ามินดงเห็นว่ามีกำลังพอที่จะตีเมืองอมรบุระได้ก็แต่งสายให้ไปสืบเจตนาของอังกฤษ ได้ความว่าถ้าพม่ายอมเป็นไมตรีจะไม่ขึ้นไปตีถึงราชธานี เจ้ามินดงก็ให้เจ้ากะนองอนุชาเป็นแม่ทัพยกลงมาตีเมืองอมรบุระ เผอิญมาประจวบเวลาพวกกองทัพพม่าที่ล่าหนีอังกฤษขึ้นไปถึงหลายกอง พวกนั้นพากันไปเข้ากับเจ้ากะนอง ๆ ก็ตีเมืองอมรบุระได้โดยง่าย เจ้ามินดงจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินพะม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๖ นับเป็นปีที่สองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อพระเจ้ามินดงได้ราชสมบัตินั้น สั่งห้ามมิให้ทำร้ายพระเจ้าพุกาม ให้สร้างวังถวายเป็นที่ประทับ นับถือเป็นผู้ใหญ่ในราชวงศ์ต่อมาจนถึงแผ่นดินพระเจ้าสีป่อจึงสิ้นพระชนม์ ส่วนพวกขุนนางกับทั้งรี้พลนายไพร่ที่ได้รบพุ่งต่อสู้ เมื่อกลับใจอ่อนน้อม ก็พระราชทานอภัยไม่เอาโทษ คนทั้งหลายเห็นพระเจ้ามินดงทรงปราศจากอาฆาต ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ราชสมบัติ ด้วยรบชนะมาแต่ก่อน ก็พากันนิยมยินยอมสวามิภักดิ์ การฉุกเฉินในแผ่นดินก็สงบลงได้ทันที ทางภายนอกพระเจ้ามินดงก็แต่งทูตให้ไปเจรจาขออย่าทัพกลับไปเป็นไมตรีกับอังกฤษ อังกฤษได้หัวเมืองมอญฝ่ายเหนือไว้ในมือหมดแล้วก็ยอมเลิกสงครามแต่นั้นประเทศพม่าจึงแยกออกเป็นสองอาณาเขต ข้างฝ่ายใต้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเรียกนามว่า “พม่าใต้” อาณาเขตต์ข้างฝ่ายเหนือพระเจ้าแผ่นดินพม่ายังคงปกครองอยู่ตามเดิม เรียกนามว่า “พม่าเหนือ” แต่ตามประเพณีพม่าไม่ได้เรียกบ้านเมืองของตนว่า “ประเทศพม่า” ใช้นามประเทศว่า “กรุงอังวะ” มาแต่โบราณ ดูประหลาดที่เหมือนกับประเพณีไทย เรียกประเทศสยามว่า “กรุงศรีอยุธยา” และใช้พระนามพระเจ้าแผ่นดินว่า “พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา” มาแต่โบราณอย่างเดียวกัน จนถึงรัชกาลที่ ๔ ไทยจึงเปลี่ยนเรียกว่า “ประเทศสยาม” และใช้นามพระเจ้าแผ่นดินเฉพาะพระองค์

เมื่อพระเจ้ามินดงขึ้นเสวยราชย์ทรงสถาปนาเจ้าหญิงเสกขรเทวี น้องนางร่วมพระชนนีกับพระเจ้าพุกามเป็นอัครมเหสี สถาปนาเจ้าหญิงราชธิดาพระเจ้าพากคยีดอ คือนางอเลนันดอ เป็นมเหสี ทรงตั้งเจ้ากะนองราชอนุชา ซึ่งเป็นผู้บัญชาการรบพุ่งได้ราชสมบัติถวายเป็นมหาอุปราช ทั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณเพราะไว้วางพระราชหฤทัย ข้างฝ่ายพระมหาอุปราชก็จงรักภักดีมิได้รังเกียจกัน ในระหว่างสองพระองค์นั้น การเหล่านี้ล้วนเกิดด้วยเจตนาดี แต่กลับมีผลร้ายเมื่อภายหลัง เริ่มด้วยพวกลูกยาเธอของพระเจ้ามินดง คิดเห็นว่าถ้าสิ้นพระเจ้ามินดงเสียแล้วเมื่อใด พระมหาอุปราชก็จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเมื่อนั้น เจ้านาย “วังหลวง” คงสิ้นวาสนาด้วยอำนาจและการสืบสันตติวงศ์ จะไปตกอยู่ในพวก “วังหน้า” เพราะมีความรังเกียจเช่นนั้น พวกเจ้านายลูกยาเธอของพระเจ้ามินดงจึงไม่ชอบพระมหาอุปราชโดยมาก อยู่มาถึง พ.ศ. ๒๔๐๙ เจ้าเมงกูนลูกเธอชั้นใหญ่ของพระเจ้ามินดงองค์หนึ่งถูกฟ้องหาว่าประพฤติชั่วร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง มหาอุปราชจะพิจารณาคดีนั้น เจ้าเมงกูนรู้ตัวว่าคงถูกลงโทษหนัก จึงปรารถนาจะกำจัดพระมหาอุปราชเพื่อป้องกันตัว แต่เห็นว่าถ้าทำร้ายพระมหาอุปราชพระเจ้ามินดงคงลงโทษถึงสิ้นชีวิต ก็เลยคิดจะกำจัดพระเจ้ามินดงชิงเอาราชสมบัติเสียด้วยทีเดียว วันหนึ่งเวลามหาอุปราชกำลังว่าราชการอยู่ ณ ศาลาหลุดดอ เจ้าขบถสององค์ทำกลอุบายให้เจ้าเมงกูนแดงน้องชายวิ่งเข้าไปในวังเหมือนอย่างกับจะหนีภัย และเจ้าเมงกูนกับพรรคพวกถือดาบวิ่งไล่ตามเข้าไปเหมือนอย่างจะทำร้ายเจ้าเมงกูนแดง เมื่อเจ้าเมงกูนแดงวิ่งเข้าไปถึงศาลาหลุดดอร้องว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” พระมหาอุปราชกับเจ้านาย และข้าราชการผู้ใหญ่ที่อยู่ในศาลาหลุดดอ เข้าใจว่าเจ้าสององค์นั้นวิวาทกัน ก็พากันลงมาจากศาลาหลุดดอ หมายจะห้ามปราม เจ้าเมงกูนกับพรรคพวกเห็นได้ทีก็ฟันพระมหาอุปราชและเจ้านายอีกสามองค์กับข้าราชการผู้ใหญ่ที่ออกมาด้วยกันนั้นสิ้นชีพหมด แล้วพากันตรูออกไปยังพลับพลาเชิงเขามัณฑเลที่พระเจ้ามินดงประทับแรมอยู่ในเวลานั้น แต่ขณะแรกที่เกิดเหตุขึ้นในวัง มีพวกชาววังวิ่งไปทูลให้พระเจ้ามินดงรู้พระองค์ทัน เวลานั้นพระองค์เมฆระลูกเธออยู่กับพระเจ้ามินดงเชิญเสด็จออกจากพลับพลาทางประตูข้างหลัง แล้วเชิญเสด็จขึ้นขี่หลังข้าเฝ้าพาลัดทางเข้าไปในวังได้ พวกขบถออกไปถึงพลับพลาเที่ยวค้นหาพระเจ้ามินดงไม่พบรู้ว่าหนีเข้าไปในวังก็พากันกลับเข้าไปในวัง แต่เวลานั้นพระเจ้าเมฆระให้ปิดประตูวังและเรียกพวกรักษาพระองค์คอยต่อสู้อยู่แล้ว พวกขบถเข้าพังประตูวังชั้นกลาง พวกเจ้าเมฆระขึ้นประจำอยู่บนชาลาหน้ามหาปราสาทเอาปืนยิงกราดไว้ พวกขบถก็ไม่สามารถจะเข้าไปในประตูได้ ในเวลากำลังรบกันอยู่นั้นลูกพระมหาอุปราชคุมพวกวังหน้ามาถึง พวกขบถเห็นเหลือกำลังจะต่อสู้ที่ตรงนั้น ก็พากันถอยไปรวมกันอยู่ที่บริเวณสวนซ้าย อันเป็นที่สำหรับนางในประพาส ต่อสู้พวกข้าหลวงอยู่จนกลางคืน พวกขบถเห็นเหลือกำลัง พอเช้าตรู่ก็ลงเรือกำปั่นไฟของหลวงที่ยึดได้ที่ท่าน้ำแล่นลงไปขอพึ่งอังกฤษทางพม่าใต้ที่เมืองร่างกุ้ง แต่แรกอังกฤษถือว่าเป็นผู้หนีภัยทางการเมืองจึงรับไว้ เจ้าเมงกูนแดงเป็นไข้ตายที่เมืองร่างกุ้ง เหลือแต่เจ้าเมงกูนยังพยายามจะตีเมืองพม่าเหนือรัฐบาลอังกฤษรู้ก็ให้ส่งไปไว้เสียยังอินเดีย

เมื่อพระมหาอุปราชถูกปลงพระชนม์แล้วปัญหาว่าใครจะเป็นรัชทายาทก็เกิดขึ้น ถ้าหากพระเจ้ามินดงมีเจ้าฟ้าลูกยาเธอก็จะไม่ลำบากอย่างไร แต่บังเอิญพระอัครมเหสีเป็นหมันไม่มีราชโอรสธิดา พระนางอเลนันดอมเหสีรองลงมามีแต่ราชธิดาหามีเจ้าฟ้าชายที่จะเป็นรัชทายาทไม่ มีแต่พระองค์เจ้าลูกยาเธอเกิดแต่นักสนมถึง ๓๐ องค์ แต่ละองค์ก็มีสิทธิเสมอกัน จึงเกิดลำบากในการที่จะจัดตั้งรัชทายาท เรื่องนี้มีจดหมายเหตุอังกฤษว่า เมื่อร้อยเอกสะเลเดนซึ่งต่อมาได้เป็นพันเอกเซอร์เอดวารด์สะเลเดน เป็นทูตอังกฤษอยู่ที่เมืองมัณฑเล เป็นคนสนิทชิดชอบกับพระเจ้ามินดงได้เคยทูลตักเตือนว่า มีลูกยาเธอหลายองค์ด้วยกันควรตั้งองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นมหาอุปราชเสียให้ปรากฏ มิฉนั้นหากสิ้นพระองค์ลงจะเกิดเหตุด้วยชิงราชสมบัติกัน พระเจ้ามินดงตรัสตอบว่า เป็นการยากอยู่ เพราะตั้งองค์ไหนเป็นมหาอุปราช ก็คงถูกพี่น้องกำจัดไม่รอดอยู่ได้ ตั้งใครก็เหมือนวางบทประหารชีวิตคนนั้น จึงยังมิรู้ที่จะทำอย่างไร ความส่อให้เห็นว่า พระเจ้ามินดงท้อพระราชหฤทัยมาแต่ครั้งเจ้าเมงกูนเป็นขบถ สิ้นหวังว่าสายโลหิตจะกีดกันมิให้ฆ่าฟันกันเองได้ แต่มีเค้าเงื่อนว่าพระเจ้ามินดงได้หมายลูกเธอที่จะให้เป็นอุปราชไว้สามองค์ คือ เจ้าตอนเซ ซึ่งเป็นลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ และเป็นลูกเขยมหาอุปราชด้วยพระองค์หนึ่ง เจ้าเมฆระซึ่งเป็นคนกล้าหาญมีความชอบเมื่อครั้งปราบขบถองค์หนึ่ง เจ้านยองยานซึ่งเป็นนักเรียนมีความรู้องค์หนึ่ง แต่ขัดข้องด้วยเหตุดังตรัสไว้กับนายร้อยเอกสะเลเดน จึงรอหาโอกาสที่จะตั้งองค์ใดองค์หนึ่งได้โดยเรียบร้อย ตำแหน่งรัชทายาทก็เลยว่างอยู่ กลายเป็นปัจจัยให้ร้ายแก่พม่าอย่างหนึ่ง

ถึง พ.ศ. ๒๔๑๙ ก่อนที่พระเจ้ามินดงจะสวรรคต ๒ ปี พระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ เหตุอันนี้ก็เป็นปัจจัยให้ร้ายต่อไปถึงบ้านเมืองอีกอย่างหนึ่ง ด้วยประเพณีในราชสำนักเมืองพม่า ภรรยาข้าราชการย่อมเข้าเฝ้าแหนพระอัครมเหสีเหมือนสามีเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน มีโอกาสที่ภรรยาข้าราชการจะทูลกิจสุขทุกข์ของตน ตลอดไปจนถึงสามีให้พระอัครมเหสีทรงทราบ พระอัครมเหสีมักนำความทูลแถลงแก่พระเจ้าแผ่นดินให้เป็นคุณความดีแก่คนเหล่านั้นได้ การที่ทูลพระอัครมเหสีจึงเป็นทางอันหนึ่งซึ่งพวกข้าราชการจะขอพระราชานุเคราะห์ ก็พระนางเสกขรุเทวีพระอัครมเหสีนั้น พระอัธยาศัยโอบอ้อมอารีเป็นที่น่านับถือของคนทั้งหลายทั่วไป ผิดกันกับพระนางอเลนันดอ พระอัครมเหสีรองซึ่งทรงคุณเฉพาะภักดีในอุปัฏฐากพระเจ้าแผ่นดิน แต่มีนิสัยก้าวร้าวร้ายกาจ ไม่มีนางในใครชอบ กล่าวกันว่าพระนางอเลนันดอได้อุปนิสัยมาแต่มารดาซึ่งเดิมเป็นคนนั่งร้านขายของอยู่ในตลาด พระเจ้าพาคยีดอได้ไปเป็นนางห้ามแต่เมื่อยังเป็นหลานเธอแล้วเลยรักใคร่ลุ่มหลงถึงตั้งเป็นมเหสี เมื่อได้เสวยราชย์นางนั้นมีบุญขึ้นก็ทำยุ่งต่าง ๆ เมื่อตอนปลายรัชกาล จนพระเจ้าพาคยีดอถูกปลงจากราชสมบัติ และยังกล่าวกันต่อไปอีกว่า ที่ราชินีสุปยาลัตร้ายกาจนั้น ก็เพราะได้อุปนิสสัยสืบไปจากพระนางอเลนันดอ และยังประหลาดต่อมาที่มีราชธิดาองค์หนึ่งของราชินีสุปยาลัต เมื่อเสียเมืองพม่าแล้วได้สามีเป็นเนติบัณฑิตอยู่ ณ เมืองเมาะลำเลิง เพิ่งสิ้นชีพเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ว่ามีอุปนิสสัยก้าวร้าวร้ายกาจทำนองเดียวกัน ดูราวกับรับอุปนิสสัยสืบกันมาถึงสี่ชั่วคนน่าพิศวง

เมื่ออัครมเหสีสิ้นพระชนม์แล้ว เกิดกิตติศัพท์ว่า พระนางอเลนันดอจะได้เลื่อนเป็นที่อัครมเหสี พวกนางในก็พากันหวาดหวั่น ใครมีโอกาสก็ทูลร้องทุกข์ต่อพระเจ้ามินดงว่าถ้าพระนางอเลนันดอได้เป็นอัครมเหสีเห็นจะทนไม่ไหวถึงต้องทูลลาออก พระเจ้ามินดงก็นิ่งอยู่ ในไม่ช้าพระนางอเลนันดอก็ทูลขอเป็นตำแหน่งอัครมเหสี พระเจ้ามินดงตรัสตอบว่า พระอัครมเหสีที่สิ้นพระชนม์นั้นได้ทูลขอมิให้ตั้งพระอัครมเหสีอีก ได้ตรัสรับคำไว้ จึงเป็นแต่เพิ่มยศพระนางอเลนันดอให้เป็นนางพญาช้างพังเผือก และพระราชทานเศวตฉัตรชั้นเดียวให้กั้น พระนางอเลนันดอไม่ได้เป็นอัครมเหสีดังประสงค์ เมื่อทราบว่าได้มีพวกนางในได้ทูลทัดทาน ก็หมายหน้าอาฆาตคนเหล่านั้นมา ที่พระอัครมเหสีทูลห้ามมิให้ตั้งพระอัครมเหสีใหม่นั้น เห็นจะทรงรังเกียจอุปนิสัยของพระนางอเลนันดอ เกรงว่าจะทำให้เกิดขุ่นเข็ญขึ้นในพระราชฐาน แต่ที่จริงก็ไม่ป้องกันความลำบากได้ เพราะพระนางอเลนันดอเป็นมเหสีรองอยู่แล้ว เมื่อไม่มีองค์อัครมเหสีนางก็ได้เป็นใหญ่อยู่นั่นเอง เป็นแต่ไม่อยู่ในฐานะที่จะออกรับรองภรรยาข้าราชการเหมือนองค์อัครมเหสีเท่านั้น ถึงกระนั้นพวกข้าราชการที่เคยได้ประโยชน์ด้วยให้ภรรยาเพ็ดทูลพระอัครมเหสีมาแต่ก่อนก็หันไปประจบประแจงพระนางอเลนันดอขอให้ช่วยสงเคราะห์ แม้พวกเสนาบดีในหลุดดอที่เป็นหัวหน้าข้าราชการก็พากันยำเกรง พระนางอเลนันดอจึงมีอำนาจขึ้นในระหว่างสองปีนั้น อาจจะเริ่มคิดถึงเรื่องสืบสันตติวงศ์แต่ในสมัยนี้ก็เป็นได้ ด้วยรู้อยู่ว่าพวกนางในที่เกลียดชังตนมีอยู่มาก หากลูกเธอของเจ้าจอมมารดาคนใดที่เป็นอริกันได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็คงจะเบียดเบียฬให้เดือดร้อนมิรู้ว่าจะสักเพียงใด จึงแสวงหาพรรคพวกร่วมคิดการป้องกันตัว ได้ขุนนางชั้นมนตรีคนหนึ่งชื่อ “แตงดา” เป็นที่ปรึกษามาแต่สมัยนั้น พระนางอเลนันดอจะรู้ตั้งแต่เมื่อใดว่าเจ้าหญิงสุปยาลัตธิดารักใคร่ติดพันอยู่กับเจ้าชายสีป่อข้อนี้ไม่ปรากฏ แต่เป็นกรณีสาคญอันหนึ่ง เจ้าชายสีป่อเป็นลูกยาเธอชั้นผู้น้อยไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะเป็นรัชชทายาท และไม่มีคุณวิเศษอย่างอื่น นอกจากไล่หนังสือเป็นเปรียญเมื่อทรงผนวชเป็นสามเณร ซ้ำจอมมารดาซึ่งเป็นธิดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองสีป่อก็ถูกกริ้วต้องเป็นโทษ ไม่มีใครเป็นผู้สนับสนุนเมื่อพระนางอเลนันดอทราบว่า เจ้าชายสีป่อรักใคร่กันกับพระธิดา ก็เห็นช่องที่จะป้องกันภัยได้ด้วยคิดอ่านให้เจ้าชายสีป่อได้ราชสมบัติ ธิดาได้เป็นมเหสี ตัวก็คงได้เป็นใหญ่อยู่ในวังอีกต่อไป แต่ซ่อนความคิดนั้นไว้ แสดงกิริยาให้ปรากฏแต่ว่าไม่เอาใจใส่ในเรื่องการสืบสันตติวงศ์ เพราะตัวมีแต่ธิดา พระเจ้ามินดงก็ไม่ทรงระแวงสงสัย กรณีที่กล่าวมานี้ก็น่าพิศวง เพราะถ้าหากเจ้าชายสีป่อมิได้ลอบรักกับเจ้าหญิงสุปยาลัต เหตุการณ์ภายหลังก็อาจกลับเป็นอย่างอื่น บางทีจะไม่ต้องเสียเมืองพม่าก็เป็นได้

ถึง พ.ศ. ๒๔๒๑ สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้ามินดงพระชันษาได้ ๖๔ ปี ประชวรเป็นบิดเมื่อเดือนสิงหาคม เสด็จออกว่าราชการไม่ได้หลายวัน เกิดลือกันว่าพระเจ้ามินดงสวรรคต แต่พวกชาววังปกปิดความไว้มิให้ใครรู้ คนก็ตื่นตกใจกันไปทั่วพระนคร พระเจ้า มินดงทรงทราบ ก็ให้พะยุงพระองค์เสด็จออกท้องพระโรงให้ข้าราชการเฝ้าเห็นพระองค์ เพื่อระงับความตื่นเต้นของชาวพระนคร แต่นั้นมาพระอาการก็ทรุดลงโดยลำดับ ถึงเดือนกันยายน ผู้รักษาพยาบาลเห็นชัดว่า จะไม่คืนดีได้ พระนางอเลนันดอจึงเรียกพวกเสนาบดีประชุมในที่รโหฐานเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน บอกพระอาการพระเจ้ามินดงให้ทราบ สันนิษฐานว่าแล้วคงได้ปรึกษากันต่อไปว่าจะทำอย่างไรดีที่จะไม่ให้ลูกเธอชิงราชสมบัติกัน ก็เห็นควรจะเอาเจ้านายผู้ชายไปคุมขังเสียที่ในวัง จึงใช้อุบายให้คนไปทูลลูกยาเธอเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ว่าพระเจ้ามินดงประชวรหนัก ตรัสสั่งให้หาลูกยาเธอเข้าไปเฝ้า ขณะนั้นจอมมารดาของเจ้านยองยานกับเจ้านยองโอ๊กรู้ระแคะระคายว่าเป็นกลอุบาย ให้คนไปทูลลูกทั้งสององค์ ว่าอาจมีภัยอันตรายอย่าให้เข้าไป เจ้าสององค์นั้นก็เลยหนีไปอาศัยอยู่ในสถานทูตอังกฤษ แต่เจ้านายองค์อื่นพากันไปในวังตามรับสั่งก็ถูกจับ แต่เห็นจะยังจับไม่ได้ทุกองค์ ในวันที่ ๑๒ นั้น จึงปรากฏในจดหมายเหตุว่า ต่อวันที่ ๑๔ จึงได้สั่งเอาเจ้าไปขังรวมกันไว้ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในเขตต์ราชวังชั้นนอก ในตอนนี้เจ้าชายสีป่อก็ถูกจับ และถูกจ๋าด้วยกันกับเจ้านายองค์อื่น ๆ จึงมีวินิจฉัยอีกอย่างหนึ่งว่าบางทีพระนางอเลนันดอจะเพิ่งรู้เรื่องเจ้าหญิงสุปยาลัตรักใคร่กับเจ้าชายสีป่อในตอนนี้ เพราะเจ้าหญิงสุปยาลัตทูลสารภาพเพื่อป้องกันภัยเจ้าชายสีป่อก็เป็นได้ แต่การที่จับและจำเจ้าชายสีป่ออาจเป็นอุบายของพระนางอเลนันดอเพื่อป้องกันภัย เพราะในเวลานั้นเจ้านายองค์อื่น ๆ ยังมิได้อยู่ในเงื้อมมือรู้เข้า เกรงจะทำร้ายเจ้าชายสีป่อก็เป็นได้เหมือนกัน เมื่อแรกจับเจ้านายนั้น พวกจอมมารดาเห็นจะเข้าใจกันว่าพระเจ้ามินดงคงสั่งให้จับ จึงรอคอยดูอยู่ พอรู้แน่ว่าพระนางอเลนันดอสั่งให้จับ พวกจอมมารดาก็พากันฝ่าที่ห้ามเฝ้า เข้าไปในห้องประชวรเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ไปร้องไห้ทูลพระเจ้ามินดงให้ทรงทราบ พระเจ้ามินดงตกพระทัยจนสามารถลุกขึ้นประทับได้ ตรัสเรียกอาลักษณ์เข้าไปให้เขียนพระราชโองการสั่งให้ปล่อยเจ้านายลูกยาเธอไปเฝ้าหมดทุกองค์ พระนางอเลนันดอกับพวกเสนาบดีไม่อาจขัดพระราชโองการก็ต้องถอดเครื่องเวรจำปล่อยให้เจ้านายเข้าไปเฝ้าตามรับสั่ง เมื่อพระเจ้ามินดงทอดพระเนตรเห็นลูกยาเธอทุกพระองค์ แล้วตรัสสั่งให้เจ้าเมฆระอยู่ฟังแทนเจ้านายพี่น้อง และดำรัสให้อาลักษณ์เขียนพระราชโองการอีกฉะบับหนึ่ง ทรงตั้งให้ตอนเซเป็นผู้สำเร็จราชการครองหัวเมืองฝ่ายเหนือเปรียบเหมือนมณฑลพายัพ ให้เจ้าเมฆระเป็นผู้สำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้เปรียบเหมือนมณฑลจันทบุรี และให้เจ้านยองยานเป็นผู้สำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายตะวันตกเฉียงใต้ เปรียบเหมือนมณฑลนครศรีธรรมราช ให้มีอำนาจเป็นอิสระทั้งสามองค์ เจ้านายที่เป็นชั้นผู้น้อยรองลงมาใครจะสมัคร์อยู่กับเจ้าพี่องค์ไหนในสามองค์นั้น ก็ให้ไปอยู่ด้วยกัน แล้วตรัสสั่งพวกลูกเธอว่า เมื่อไปลาเจ้าจอมมารดากับเจ้าพี่น้ององค์หญิงแล้วให้พากันรีบออกจากเมืองมัณฑเลไปในวันนั้น พระราชทานเรือกำปั่นไฟของหลวงให้เป็นพาหนะพวกละลำและทรงกำชับในที่สุดว่า เมื่อออกไปครองเมืองแล้ว ถึงใครจะอ้างรับสั่งเรียกหาถ้าไม่เห็นลายพระหัตถ์เป็นสำคัญก็อย่าให้เข้ามาในราชธานีเลยเป็นอันขาด ก็ในเวลานั้นพระนางอเลนันดอพยาบาลอยู่ ได้ยินกระแสรับสั่งพระเจ้ามินดงดังนั้นก็ตกใจ แต่จะได้ปรึกษาพวกเสนาบดีก่อน หรือจะคิดอ่านแต่กับขุนนางคนสนิทไม่ปรากฏ ปรากฏแต่ว่า เมื่อเจ้านายลูกยาเธอไปจากที่เฝ้าแล้ว พากันไปลาเจ้าจอมมารดาเจ้าพี่น้องที่สวนซ้ายมีพวกทหารกรูกันเข้าไปจับ เว้นแต่เจ้าชายสี่ป่อนั้นหาจับไม่ และครั้งนี้พระนางอเลนันดอ ไม่ได้ประมาทเช่นหนหลัง ให้ทหารเที่ยวไปคุมนางในตำหนัก มิให้ใครขึ้นไปทูลร้องทุกข์ได้อีก ที่พระราชมณเฑียรก็มิให้มีใครอื่นนอกจากพวกของตนเข้าไปใกล้ที่ประทับพระเจ้ามินดง แล้วพระนางอเลนันดอไปปรึกษาเสนาบดีถึงพระราชโองการที่ให้เจ้า ๓ องค์ไปครองหัวเมือง ก็เห็นพร้อมกันว่า ถ้าปล่อยให้ไปก็เสมือน “ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ” พระเจ้ามินดงสวรรคตลงเมื่อใด ก็คงเกิดแย่งชิงราชราชสมบัติถึงรบพุ่งฆ่าฟันกันเป็นศึกกลางเมือง จึงปิดพระราชโองการนั้นซ่อนเสีย ฝ่ายพระเจ้ามินดงสำคัญว่าพวกลูกยาเธอพ้นภัยได้แล้วก็สิ้นวิตก เล่ากันว่า ในวันต่อมาอีกสองสามวันตรัสปรารภอีกว่า “ป่านนี้เห็นจะถึงบ้านเมืองแล้ว” ก็ไม่มีใครทูลความจริงให้ทรงทราบ ตรงนี้น่าคิดวิจารณ์ว่า พระเจ้ามินดงทรงดำริพระราโชบายอย่างไร จึงให้ลูกยาเธอไปปกครองเมืองเป็นอิสสระแก่กันสามก๊กเช่นนั้น พิเคราะห์ดูจะเป็นได้สองอย่าง อย่างหนึ่ง ประสงค์จะให้อยู่เสียห่างไกลกัน เพื่อจะให้รบพุ่งกันยากขึ้น ถ้าหากพระองค์สวรรคต ผู้คนในราชธานีนับถือองค์ไหนมากก็พร้อมกันถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้น ก็จะได้กำลังป้องกันพระองค์ อีกสององค์จะได้ครองเมืองอย่างเป็นประเทศราช ไม่จำเป็นจะต้องแย่งชิงราชสมบัติกัน มิฉนั้นอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้ามินดงยังเชื่อพระหฤทัยว่าจะหายประชวร ให้ลูกยาเธอแยกไปอยู่ตามหัวเมืองแล้วพอให้พ้นภัย เมื่อหายประชวรแล้ว จึงคิดจะตั้งมหาอุปราชก็เป็นได้

เมื่อจับเจ้าชายหนหลังได้แล้วสักสามสี่วัน พระนางอเลนันดอให้เสนาบดีทำฏีกาเข้าชื่อกัน ทูลขอให้ทรงตั้งเจ้าชายสีป่อเป็นพระมหาอุปราช แล้วรับฎีกานั้นเข้าไปถวาย พระเจ้ามินดงก็นิ่งเสีย ไม่ตรัสว่าประการใด แต่เวลานั้นพระเจ้ามินดงประชวรเพียบอาการหนักอยู่แล้ว พระนางอเลนันดอจึงกล้าอ้างรับสั่งบอกเสนาบดีว่า พระเจ้ามินดงทรงเห็นชอบด้วย ก็ประกาศตั้งเจ้าชายสีป่อเป็นมหาอุปราชก่อนพระเจ้ามินดงก็สวรรคตสัก ๗ วัน แต่รู้กันเพียงในพระราชฐานเท่านั้น ถึงวันที่ ๑ ตุลาคม พระเจ้ามินดงก็สวรรคต ทำพิธีอยู่ ๗ วันแล้วเชิญพระบรมศพแห่ไปบรรจุมณฑปที่สร้างขึ้นใหม่ มีกระบวนแห่พระเจ้าสีป่อทรงยานมาศตามกระบวนแห่พระบรมศพไป คนทั้งหลายเห็นพระองค์จึงรู้ว่าพระเจ้าสีป่อได้รับรัชชทายาท เมื่อเสร็จการบรรจุพระบรมศพแล้วพระนางอเลนันดอก็ให้ทำพิธีอภิเษกสมรสพระเจ้าสีป่อกับเจ้าหญิงสุปยาคยี และเจ้าหญิงสุปยาลัต

การราชาภิเษกรออยู่ถึงสี่ปีจึงได้กระทำ ทั้งนี้ คงเนื่องด้วยบ้านเมืองไม่อยู่ในฐานะที่จะกระทำได้ เมื่อวินิจฉัยเฉพาะพระองค์พระเจ้าสีป่อเดิมก็มิได้อยู่ในฐานะที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ที่ผูกสมัครรักใคร่เจ้าหญิงสุปยาลัต ก็ประสงค์เพียงแต่จะได้ไปเป็นชายา เผอิญเคราะห์กรรมจูงให้ไปเป็นเจ้าแผ่นดิน ข้อนี้ดูน่าพิศวงเหมือนกัน

เมื่อพระเจ้าสีป่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินบ้านเมืองก็สงบอยู่ ด้วยคนทั้งหลายสำคัญว่าพระเจ้ามินดงมอบเวนราชสมบัติพระราชทาน เป็นแต่ประหลาดใจกันว่า เหตุไฉนไม่ทรงตั้งลูกยาเธอที่เจริญพระชันษาและทรงคุณวุฒิยิ่งกว่าเจ้าชายสีป่อเป็นรัชชทายาท ส่วนพระเจ้าสีป่อเองก็ไม่สามารถจะบังคับบัญชาราชการ ด้วยมิได้เตรียมพระองค์ที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อ้านาจราชการจึงตกอยู่ที่พระนางอเลนันดอ พอเสร็จงานบรมศพ ก็สั่งให้จับพวกนางในที่ผูกพยาบาทไว้เอาไปจำขังทั้งหมด แต่ในชั้นนี้ยังมิได้คิดจะฆ่าฟัน ด้วยปรากฏว่า ให้สร้างเรือนจำขึ้นใหม่ที่ในวัง สำหรับจะได้ทั้งเจ้านายองค์ชายและนางในที่ถูกจับไว้ แต่เมื่อความจริงรู้กันแพร่หลายออกไปนอกวัง ว่าพระเจ้าสีป่อได้ราชสมบัติเพราะพระนางอเลนันดอให้กลอุบาย ทั้งให้จับเจ้านายกับนางในไปขังไว้มากก็เกิดหวาดหวั่นกันไปทั่วทั้งพระนคร กรณีที่ปรากฏภายหลังชวนให้สันนิษฐานว่า ทูตอังกฤษเห็นจะได้ว่ากล่าวกับเสนาบดีพม่าตั้งแต่แรกจับเจ้านายเข้าไปยัง แต่ฝ่ายพะม่าคงแก้ว่า ถ้าไม่จับเอาไปคุมไว้เสียเกรงจะเกิดรบพุ่งชิงราชสมบัติกัน ทูตอังกฤษเห็นจริงก็นิ่งอยู่ ก็เจ้านายลูกยาเธอของพระเจ้ามินดงนั้น แต่ละองค์โดยเฉพาะที่เป็นชั้นผู้ใหญ่มีผู้คนเป็นบริวารมาก เมื่อพวกบริวารรู้ว่าเขาลวงจับเอาเจ้านายของตนไปก็เป็นธรรมดาที่พากันโกรธแค้น คิดจะแก้ไขเอาเจ้านายของตนออกจากที่คุมขัง จึงมีความลำบากเกิดขึ้นเป็นปัญหาว่าจะควรทำอย่างไรให้ปลอดภัยในการที่จับเจ้านายไว้ ในหนังสือบางเรื่องว่า พระนางอเลนันดอกับพระเจ้าสีป่อปรึกษาเสนาบดีทั้งหมด บางเรื่องว่าปรึกษาแต่เสนาบดีที่เป็นตัวสำคัญ เสนาบดีคนอื่นมิได้รู้ แต่ทำนองจะเห็นพ้องกันว่า ถ้าปล่อยเจ้านายออกไปก็คงไปคิดขบถ ถ้าขังไว้พวกบริวารก็คงคิดขบถ เมื่อปรึกษาหาทางป้องกัน พระนางอเลนันดอกับมนตรีแตงดาเห็นว่าจำต้องตัดต้นเหตุด้วยการฆ่าเจ้านายเหล่านั้นเสียตามเยี่ยงอย่างที่พม่าเคยทำกันแต่โบราณ พระเจ้าสีป่อกับเสนาบดีคนอื่นไม่เห็นชอบด้วย แต่ไม่สามารถจะหาอุบายอย่างอื่นได้ ก็ต้องยอมอนุมัติ ขอชีวิตไว้แต่เจ้านายที่ยังเป็นเด็ก ไม่มีใครคิดเห็นว่าวิธีตัดต้นเหตุที่เคยใช้กว่าร้อยปีมาแล้ว จะให้ร้ายแก่บ้านเมืองในสมัยเมื่อฝรั่งต่างประเทศมามีอำนาจมาแทรกแซงอยู่ จึงให้ฆ่าเจ้านายและนางในที่เป็นอริกันกับพระนางอเลนันดอ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๑ ฆ่าอย่างทารุณเหมือนเช่นว่า “ตัดหนามไม่ไว้หน่อ” เจ้าชายองค์ใดถูกฆ่า จอมมารดาและลูก กับทั้งเจ้าน้ององค์หญิงของเจ้าชายองค์นั้นก็ถูกฆ่าด้วย แม้จนขุนนางที่เป็นญาติสนิททางฝ่ายจอมมารดา ก็จับฆ่าเสียเหมือนกัน จำนวนเจ้านายกับญาติวงศ์ที่ถูกฆ่าครั้งนั้น รวมกันถึงราว ๘๐ คน ว่าฆ่ากันอยู่สามวันจึงหมดเพราะซ่อนฆ่าที่ในวังแต่เวลากลางคืน หวังจะมิให้พวกชาวเมืองรู้ แต่จอมมารดากับเจ้าน้องหญิงสององค์ของเจ้านยองยาน เจ้านยองโอ๊กที่หนีไปได้นั้นให้เอาไว้เป็นตัวจำนำยังไม่ฆ่า เลยถูกจำขังต่อมาถึง ๗ ปี จนเสียเมืองพม่า อังกฤษสั่งให้ปล่อยจึงพ้นเวรจำ

การที่ฆ่าเจ้านายครั้งนั้น พอข่าวรั่วออกมาข้างนอกคนทั้งหลายก็ตกใจกันทั่วไป ทั้งพม่าชาวเมืองและชาวต่างประเทศ มิสเตอร์ชอทูตอังกฤษแต่พอรู้แน่ว่าฆ่าเจ้านายก็รีบเขียนหนังสือห้ามปรามไปยังเสนาบดีพม่า และบอกไปในหนังสือนั้นว่า ถ้าไม่ปรารถนาจะให้เจ้านายองค์ใดอยู่ในเมืองพม่า อังกฤษจะยอมรับเอาไปไว้เสียที่อินเดีย ขอแต่อย่าให้ฆ่าฟัน ถ้าห้ามไม่ฟังอังกฤษกับพม่าก็คงขาดไมตรีกัน เผอิญหนังสือทูตอังกฤษมีไปในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ เมื่อทางโน้นฆ่ากันเสร็จแล้วแต่วันที่ ๑๗ จึงช่วยชีวิตเจ้านายไว้ไม่ได้ ฝ่ายเสนาบดีพม่าได้รับจดหมายทูตอังกฤษเมื่อเวลาล่วงเลยเสียแล้ว ก็ได้แต่ตอบว่า เมืองพม่ามีพระมหากษัตริย์ปกครองเป็นอิสสระ ถือว่าบ้านเมืองสำคัญยิ่งกว่าบุคคล เมื่อบ้านเมืองจะเกิดการจลาจลก็จำต้องระงับตามประเพณี เพื่อจะรักษาบ้านเมืองและพระศาสนาให้พ้นภัย ขออย่าให้กระทบเทือนไปถึงทางไมตรี ทูตอังกฤษก็ได้แต่บอกไปยังรัฐบาลของตน ว่าพระเจ้าสีป่อทำให้บ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ มีผู้เห็นกันมากว่าสมควรจะเอาออกเสียจากพระราชบัลลังก์ และให้เจ้านยองยานที่หนีไปได้ และที่อังกฤษส่งไปไว้อินเดียนั้น มาเป็นพระเจ้าแผ่นดินพม่าตามที่พระเจ้ามินดงทรงคาดหมายไว้ บ้านเมืองจึงจะกลับเรียบร้อยได้ดังเดิม อังกฤษเจ้าเมืองพม่าใต้ก็เห็นเช่นนั้น แต่เมื่อบอกไปยังอินเดีย ไปประจวบเวลากับที่อังกฤษกำลังทำสงครามติดพันกับประเทศอัฟฆานิสถานทางฝ่ายเหนือ ไม่อยากจะให้เกิดรบพุ่งกับพม่าอีกทางหนึ่งในขณะเดียวกัน จึงอนุญาตเพียงให้ “ลดธง” ถอนทูตมาเสียจากมัณฑเล เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๒ แต่เผอิญในปีต่อมาทางกรุงลอนดอนเปลี่ยนรัฐบาล พวกลิเบอรัลซึ่งมีวิจัยรังเกียจการรบพุ่งได้เป็นใหญ่ และซ้ำต้องฝืนใจทำสงครามทางอาฟริกาใต้และอียิปต์ อังกฤษจึงระงับความคิดที่จะรุกรานพม่าอยู่หลายปี

ในเมืองพม่าเอง ตั้งแต่ฆ่าเจ้านายแล้ว พระนางอเลนันดอก็เกิดหวาดหวั่น ด้วยรู้ว่ามีคนโกรธแค้นมากจะเกิดขบถ จึงแนะนำพระเจ้าสีป่อให้ตั้งมนตรีแตงดาซึ่งเคยเป็นคู่คิดกันมาแต่ก่อนเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร และให้เป็นผู้บัญชาการรักษาพระนครด้วย แต่พระนางอเลนันดอมีอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ไม่นานเท่าใด พอราชินีสุปยาลัตคุ้นกับพระเจ้าสีป่อสนิทแล้ว ก็เอากิจการฝ่ายในราชฐานไปบัญชาเสียเอง ใช่แต่เท่านั้นยังเอื้อมไปเกี่ยวข้องถึงกิจการฝ่ายหน้า ด้วยอาจจะว่ากล่าวให้พระเจ้าสีป่อทำตามถ้อยคำได้ เมื่อแตงดาหวุ่นคยีเห็นราชินีสุปยาลัตมีอำนาจมากขึ้น ก็หันเข้าประจบประแจงจนได้เป็นที่ปรึกษาหารือของราชินีสุปยาลัต เหมือนเช่นเคยเป็นที่ปรึกษาของพระนางอเลนันดอมาแต่กาลก่อน ราชการบ้านเมืองก็สิทธิ์ขาดอยู่ที่บุคคลทั้งสาม คือพระเจ้าสีป่อ กับราชินีสุปยาลัต และแตงดาหวุ่นคยี เลยเป็นเหตุให้เสนาบดีอื่นพากันท้อถอย การปกครองบ้านเมืองก็ผันแปรเสื่อมทรามลงจนเห็นปรากฏแก่คนทั้งหลาย จึงมีคนจำพวกหนึ่ง คบคิดกับพวกชาวเมืองพม่าใต้ให้ไปเชิญเจ้านยองยานมาปราบยุคเข็ญ คนเหล่านั้นรับจะเป็นกำลังรบเอาราชสมบัติถวาย จะอย่างไรก็ตามความปรากฏว่า เจ้านยองยานกับเจ้านยองโอ๊กอนุชาหนีมาได้จากอินเดียอย่างง่ายดาย ทำให้เห็นได้ว่าอังกฤษรู้เห็นเป็นใจด้วย หนังสืออังกฤษที่ว่าถึงเรื่องนี้ก็มิได้ปฏิเสธหรือรับรองทั้งสองสถาน แต่ใน พ.ศ. ๒๔๒๕ นั้น เผอิญเจ้านยองยานมาประชวรสิ้นชีพเสียที่เมืองพม่า เหลือแต่เจ้านยองโอ๊กออกเป็นหัวหน้าพวกขบถ ตีแดนเมืองพม่าเหนือขึ้นไปได้ไม่เท่าใด พม่าเห็นไม่ใช่เจ้านยองยานก็ไม่พอใจช่วย เจ้านยองโอ๊กทำการไม่สำเร็จก็ต้องกลับไปอินเดีย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้านยองโอ๊กเป็นคนกักขฬะไม่มีใครนับถือมาแต่ก่อน เรื่องนี้ถ้าจะว่าไป ว่าเป็นเคราะห์กรรมของเมืองพม่าก็ได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้านยองยานไม่สิ้นชีพเสียก็อาจได้เมืองจากพม่า แม้อังกฤษจะว่าไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่แรก ก็คงเข้าอุดหนุนในชั้นหลัง เมื่อเห็นผู้คนในเมืองพม่าเข้าด้วยมาก เจ้านยองยานได้เป็นเจ้าแผ่นดิน เมืองพม่าก็เห็นยังจะไม่เสีย

กรณีที่เกิดขบถครั้งเจ้านยองยานนั้น เป็นปัจจัยให้แตงดาหวุ่นคยีสั่งให้สืบสวนเอาตัวผู้รู้เห็นเป็นใจในการขบถ จับขุนนางที่ในกรุงและหัวเมืองมาใส่คุกไว้ กว่า ๑๐๐ คน การขบถก็สงบไปได้คราวหนึ่ง แต่ถึงปีหลังก็มีพวกพะม่าคิดขบถอีก คราวนี้หมายจะไปเชิญเจ้าเมงกูน ซึ่งหนีไปอยู่อินเดียแต่รัชชกาลพระเจ้ามินดง มาเป็นหัวหน้าตีเมืองพะม่า กิตติศัพท์ทราบถึงแตงดาหวุ่นคยี ว่าพวกขุนนางที่ถูกขังคอยจะแหกคุกออกมาช่วยเจ้าเมงกูน พอได้ข่าวว่าเจ้าเมงกูนหนีจากแดนอังกฤษมาอาศัยแดนฝรั่งเศสอยู่ที่เมืองจันทรนคร ใต้เมืองกลักตาอันเป็นเมืองท่า ที่จะลงเรือมายังเมืองพะม่าได้ แตงดาหวุ่นคยีก็คิดกลอุบาย ทำให้ปรากฏว่า นักโทษแหกคุก ให้เอาไฟเผาคุกครอกนักโทษในนั้น ใครหนีออกมาได้ก็ให้ฟันเสีย จำนวนคนที่ถูกฆ่าครั้งนี้รวมทั้งผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นพวกขบถ และที่เป็นนักโทษสามัญตายกว่า ๒๐๐ คน ก็เกิดความสยดสยอง สิ้นความเชื่อถือในรัฐบาลทั่วไปทั้งอาณาเขตต์ประเทศพะม่า ด้วยเห็นว่าพระเจ้าสีป่อปกครองบ้านเมืองไม่ได้เป็นแน่แล้ว แต่นั้นก็เริ่มเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม ผู้ร้ายบางพวกมีจำนวนตั้งร้อยตั้งพันเที่ยวปล้นสะดมจนถึงที่ใกล้ ๆ ราชธานี พวกหัวเมืองไทยใหญ่ก็พากันแข็งเมืองขึ้นหลายแห่ง ที่สุดพวกจีนลงมายึดเมืองบาโมที่แดนต่อแดนก็ไม่สามารถจะยกทัพไปขับไล่ เพราะต้องปราบปรามโจรผู้ร้ายภายในหัวเมืองชั้นใน และต้องระวังรักษาพระนครไว้มิให้เกิดขบถ แม้พระเจ้าสีป่อก็ไม่กล้าเสด็จออกนอกราชวัง ถึงกับสร้างหอสูงขึ้นที่ริมราชมณเฑียรสำหรับเสด็จขึ้นทอดพระเนตรพระนคร เมื่อบ้านเมืองระส่ำระสายดังกล่าวมาก็เลยเป็นปัจจัยให้เงินผลประโยชน์แผ่นดินได้ตกต่ำลง จนไม่มีจะพอใช้จ่ายในราชการ ในหนังสือฝรั่งแต่ง ยังอ้างเหตุอีกอย่างหนึ่งว่า เพราะราชินีสุปยาลัตชอบซื้อของแปลก ๆ สุรุ่ยสุร่าย ไม่เสียดายเงิน แต่แรกพระเจ้าสีป่อเสวยราชย์ พวกเสนาบดีคิดตั้งวิธีทำงบประมาณจำกัดเงินพระเจ้าแผ่นดินทรงใช้สอย ราชินีสุปยาลัตทูลพระเจ้าสีป่อให้ถอดเสนาบดีกระทรวงคลังเสีย แต่นั้นก็เรียกเงินใช้ตามชอบใจ เลยเป็นช่องให้พวกชาวต่างประเทศสั่งของจากยุโรปมาขายเอากำไร เงินหลวงจึงได้สิ้นเปลืองไปด้วยเหตุนี้อีกประการหนึ่ง เมื่อเงินในพระคลังไม่พอ ให้คิดออกสลากกินแบ่งที่ในเมืองมัณฑเลก็ได้กำไรไม่พอความต้องการ จึงให้แตงดาหวุ่นคยีคิดหาเงินผลประโยชน์แผ่นดินด้วยประการอย่างอื่นอีก แตงดาหวุ่นคยีไปตรวจเห็นจำนวนเงินที่ควรได้จากป่าไม้สักซึ่งอนุญาตให้บริษัทบอมเบเบอร์ม่าอังกฤษทำคั่งค้าง และไม่ได้ตามพิกัด เพราะบริษัทเอาเปรียบด้วยประการต่าง ๆ จึงให้ตรวจบัญชีคิดจำนวนเงินตามซึ่งเห็นควรจะได้จากบริษัทบอมเบเบอรม่า แล้ว เรียกเอาถึง ๒,๓๐๐,๐๐๐ รูปี บริษัทร้องทุกข์ต่อเจ้าเมืองพะม่าใต้ เจ้าเมืองพะม่าใต้ขอให้ทั้งสองฝ่ายพร้อมกันตรวจบัญชี ถ้าเห็นผิดกันอย่างไร ให้ตั้งอนุญาโตตุลาการตัดสิน ฝ่ายพะม่าไม่ยอม และเข้าขัดขวางการที่บริษัทบอมเบเบอร์ม่าทำป่าไม้ รัฐบาลอังกฤษจึงยกเรื่องที่พม่าทำแก่บริษัทบอมเบเบอร์ม่าขึ้นเป็นเหตุที่ เข้ารุกรานเมืองพะม่า แต่เหตุที่จริงนั้น เป็นเรื่องหนึ่งต่างหากทีเดียว เกิดแต่สมัยนั้นประจวบเวลาพวก “คณะหาเมืองขึ้น” ในประเทศฝรั่งเศสมีอำนาจขึ้น คิดจะเอาแผ่นดินระหว่างประเทศอินเดียกับจีนเป็นอาณาเขตต์ของฝรั่งเศส เหมือนอย่างที่อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เริ่มทำตามความคิดด้วยตีเมืองตังเกี๋ยก่อน ก็ฝรั่งเศสได้มีทางไมตรีกับพะม่ามาแต่สมัยพระเจ้ามินดงแล้ว ถึงรัชชกาลพระเจ้าสีป่อ เมื่อมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้ พะม่าขุ่นหมองกับอังกฤษ ฝรั่งเศสเห็นได้ที ก็ตั้งคนสำคัญในคณะหาเมืองขึ้นมาเป็นกงศุลฝรั่งเศส เวลานั้นไม่มีทูตผู้แทนรัฐบาลอังกฤษกีดขวางอยู่ ณ เมืองมัณฑเล นับว่าเป็นเคราะห์กรรมได้อีกอย่างหนึ่ง กงสุลฝรั่งเศสเห็นได้ที ก็เข้าประจบประแจงเกลี้ยกล่อมพะม่า ด้วยรับจะชักชวนมหาประเทศในยุโรปให้ช่วยกันกีดขวางมิให้อังกฤษทำร้ายเมืองพะม่า หรือถ้าพะม่าจะต้องรบกับอังกฤษ ฝรั่งเศสก็จะให้กองทัพกับทั้งส่งเครื่องศัสตราวุธมาช่วยพะม่า โดยทางบกจากเมืองตังเกี๋ย ก็เวลานั้นรัฐบาลพะม่าต้องลำบากอยู่ทั้งภายในบ้านเมืองและหวาดอยู่ว่า อังกฤษจะมารุกราน พระเจ้าสีป่อให้เสนาบดีปรึกษากัน ฝ่ายหนึ่งมีกินแมงหวุ่นคยีอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมพระเจ้ามินดง เป็นต้น ไม่เชื่อว่าฝรั่งเศสจะช่วยได้ดังว่า เห็นควรจะรักษาทางไมตรีดีไว้กับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่งมีแตงดาหวุ่นคยีอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นต้น เชื่อว่าถึงฝรั่งเศสช่วยพะม่า อังกฤษก็ไม่กล้ารุกราน พระเจ้าสีป่อกับราชินีสุปยาลัตเชื่อตามความคิดของแตงตาหวุ่นคยี ก็เกิดสมาคมสนิทสนมกับฝรั่งเศส นัยว่าถึงกับกงศุลฝรั่งเศส เข้าเฝ้าพระเจ้าสีป่อและราชินีสุปยาลัต ในที่รโหฐานได้เนืองนิจ เป็นปัจจัยให้ฝรั่งเศสได้รับสิทธิต่าง ๆ ในเมืองพะม่า คือ ทำทางรถไฟและตั้งธนาคารออกธนบัตร เป็นต้น เผอิญเวลานั้น ทางประเทศอังกฤษพวกคณะลิเบอรัลต้องออก และพวกคอนเซอวะตีฟ กลับเข้าเป็นรัฐบาล เห็นว่าถ้าเฉยอยู่ อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ต้องรบกันด้วยเรื่องเมืองพะม่า จำต้องตัดต้นเหตุด้วยเอาเมืองพะม่าเป็นของอังกฤษเสีย จึงอนุญาตให้รัฐบาลอินเดียตีพะม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘

ถ้าว่าถึงตัวการณ์ที่ทำให้เสียเมืองพะม่า นับว่ามี ๔ คน คือ พระเจ้าสีป่อ ราชินีสุปยาลัต พระนางอเลนันดอ และแตงดาหวุ่นคยี ก็ต้องรับทุกข์โทษเป็นผลกรรมทุกคน พระเจ้าสีป่อถูกเนรเทศไปอยู่ ณ เมืองรัตนคิรีในอินเดีย ถึง ๓๐ ปี สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ ราชินีสุปยาลัตก็ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองรัตนคิรี จนพระสวามีสิ้นพระชนม์แล้ว จึงกลับมาเมืองพะม่า อยู่ที่เมืองร่างกุ้งจนสิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ พระนางอเลนันดอตอนถูกเนรเทศไปอยู่อินเดีย แต่กล่าวกันว่า เกิดไปวิวาทกันขึ้นกับราชินีสุปยาลัต ถูกส่งกลับคุมไว้ที่เมืองเมาะลำเลิง จนสิ้นพระชนม์ ส่วนแตงดาหวุ่นคยี ก็ถูกส่งไปคุมไว้ ณ เมืองคัตตักมาในอินเดีย จนเมื่อเจ็บจวนจะตาย จึงปล่อยให้กลับมาตายที่บ้านเดิมเมืองมัณฑเล ในสี่คนนั้นพิจารณาตามเรื่องที่ปรากฏ ดูน่าสงสารแต่พระเจ้าสีป่อ เพราะอดีตกรรมนำให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยมิได้อยู่ในฐานะหรือมีความประสงค์ เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ไม่ได้ทำบาปกรรมอันใดโดยลำพังพระองค์ ถูกแต่คนอื่นเขาข่มขืนให้ทำ ก็ทำไปด้วยความขลาดเขลา แต่ความขลาดเขลาก็เป็นอุปนิสสัยในพระองค์มีมาเองโดยธรรมดา ที่มาต้องรับทุกข์โทษภัยอย่างร้ายแรง และเสียพระเกียรยศปรากฏอยู่ในพงศาวดารเกินกว่าความผิด จึงน่าสงสารยิ่งกว่าคนอื่นทั้งสิ้น.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ