๒๑
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงโฉมประวะลิ่มเสนหา |
แต่โศกศัลย์รัญจวนทุกเวลา | ถึงพระยอดฟ้ายาใจ |
ไม่เป็นสรงเสวยโภชนา | ให้อาวรณ์ร้อนรนหม่นไหม้ |
ตั้งแต่โศกาอาลัย | มิได้มีความสุขสักเวลา |
นางแสนอาดูรพูนเทวษ | เยาวเรศไม่วายถวิลหา |
จนครรภ์นั้นได้เจ็ดเดือนตรา | กัลยาประหวั่นพรั่นใจ |
กลัวบิตุเรศชนมาน | แม้นแจ้งเหตุการณ์จะตักษัย |
จำกูจะลอบหนีไป | ให้พ้นภัยพระผู้ทรงธรณี |
ทั้งจะได้ติดตามพระทรงฤทธิ์ | กว่าชีวิตจะม้วยเป็นผี |
จะสัญจรดอนดงพงพี | ตามที่ผลกรรมได้ทำมา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ คิดแล้วจึ่งมีวาที | แก่พระพี่เลี้ยงสันหยา |
ทั้งองค์ลิขิตอนุชา | พี่จะลาเจ้าแล้วนะดวงใจ |
จะไปติดตามหาพระสามี | กว่าชีวีจะม้วยตักษัย |
อยู่หลังเจ้าจงระวังภัย | อย่าให้มีเหตุอันตราย |
แม้นไปได้พบพระภัสดา | พี่จะกลับคืนมาหาโฉมฉาย |
แม้นไม่พบองค์พงศ์นารายณ์ | จะสู้ตายในดงพงพี |
สั่งพลางโศกาอาลัย | รานร้อนพระทัยดั่งไฟจี้ |
แสนวิโยคโศกสร้อยโศกี | เทวีพ่างเพียงจะขาดใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สันหยานารีศรีใส |
ทั้งองค์ลิขิตฤทธิไกร | ทูลสนองทรามวัยทันที |
พระองค์จะทิ้งข้าไว้ | ให้อยู่ที่ในปราสาทศรี |
กลัวเดชพระผู้ทรงธรณี | แม้นทราบคดีมิเป็นการ |
จะซักไซ้ไถ่ถามเนื้อความหลัง | จะประหารชีวังให้สังขาร |
จะขอไปเพื่อนองค์เยาวมาลย์ | กว่าจะพบพานพระะภูมี |
ถึงจะได้ยากแค้นแสนเข็ญ | ตายเป็นฉันใดให้รู้ที่ |
ว่าพลางทางทรงโศกี | สองศรีพ่างเพียงจะขาดใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเทวีศรีใส |
ได้ฟังทั้งสองก็ต้องใจ | ทรามวัยจึ่งมีวาจา |
เราจะชวนกันไปทั้งสามคน | ดั้นด้นเข้าไพรพฤกษา |
แม้นพบพระองค์ทรงศักดา | จึ่งกลับคืนมายังเวียงไชย |
แล้วคิดถึงพระชนกชนนี | มารศรีเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
ลูกจะพลัดพรากจากไป | มิเคยไกลสักทิวานาที |
โอ้ว่าสนมกำนัล | จะชวนกันเศร้าสร้อยหมองศรี |
เคยอยู่เป็นสุขทุกราตรี | แต่นี้จะแลไม่เห็นใคร |
นางทรงโศกาอาดูร | พูนทุกข์เทวษโหยไห้ |
ห่วงหน้าห่วงหลังกังวลใจ | มิได้หลับไหลในราตรี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงอินทรีราชปักษี |
ดำริตริตรึกคดี | กูนี้ไปรับยุขันมา |
จากโฉมประวะลิ่มนิ่มน้อย | ป่านนี้จะละห้อยคอยหา |
เช้าค่ำจะพรํ่าโศกา | เวราจะติดตัวไป |
จำจะไปเยี่ยมเยียนนงคราญ | ให้รู้เหตุการณ์เป็นไฉน |
จะมีโทษทัณฑ์สิ่งใด | ในองค์บิตุเรศชนนี |
คิดแล้วจึ่งมีวาจา | บอกแก่ลูกยาปักษี |
แม่จะไปเยี่ยมองค์นางเทวี | ที่ในบูรีอุเรเซน |
นางพรากจากองค์ภัสดา | กัลยาได้ทุกข์ขุกเข็ญ |
ไม่ช้าจะมาเพลาเย็น | จำเป็นจะไปในวันนี้ |
สั่งแล้วจึ่งราชปักษา | ออกมาจากพระไทรศรี |
บินขึ้นอากาศด้วยฤทธี | ข้ามมหาวารีรีบมา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ พสุธาเลื่อนลั่นครั่นครื้น | พระสมุทรเป็นคลื่นฉานฉ่า |
ด้วยกำลังลมปีกสกุณา | ทั้งอากาศเลื่อนลั่น |
รีบบินมาถึงนครา | สุริยายังไม่ลับแสงฉัน |
ปักษินบินอยู่ในเมฆัน | สุริยันเลื่อนลับจะเข้าไป |
ครั้นล่วงประฉิมยามพลบ | ชนชาวพาราหลับไหล |
สงัดเงียบทั้งกรุงภพไตร | ใครจะตื่นสักคนก็ไม่มี |
ปักษินบินมายังปราสาท | โฉมนาฏประวะลิ่มมารศรี |
ลงยังบัญชรนางเทวี | อินทรีจึ่งมีวาจา |
ขอเชิญพระธิดายาจิต | กับลิขิตผู้เป็นขนิษฐา |
ออกมายังเกยชาลา | จะใคร่สนทนาพาทีกัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเศร้าสร้อยโศกศัลย์ |
ได้ยินแว่วเสียงสุบรรณ | กัลยาคิดอัศจรรย์ใจ |
จึ่งชวนลิขิตอนุชา | สันหยานารีศรีใส |
ออกจากแท่นแก้วแววไว | แลไปก็เห็นสกุณา |
นางเสด็จยังเกยรูจี | ยอกรชุลีแม่ปักษา |
ถามถึงสมเด็จพระภัสดา | ว่าพลางกัลยาก็โศกี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อินทรีราชปักษี |
เห็นนางโศกศัลย์พันทวี | มีความเมตตาอาลัย |
จึ่งกล่าวปลอบโยนนางกัลยา | แม่อย่าโศกาหม่นไหม้ |
อันพระสามีที่จากไป | ไม่ช้าจะได้พบกัน |
บัดนี้ยุขันชาญชัย | ไปยังในไพรพนาสัณฑ์ |
หยุดอยู่อาศรมพระนักธรรม์ | ยังไม่จรจรัลไปบูรี |
เมื่อวันจะพรากจากจร | อาวรณ์ถึงองค์มารศรี |
เจียนจะม้วยมุดสุดชีวี | ภูมีครวญคร่ำร่ำไร |
อันองค์สมเด็จพระบิดา | ยังจะแจ้งกิจจาหรือหาไม่ |
แม้นเจ้าจะเสด็จคลาไคล | แม่จะพาไปส่งยังกุฎี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มผู้เฉิดโฉมศรี |
ได้ฟังสกุณาพาที | นางค่อยคลี่คลายสบายใจ |
บอกว่าบิตุเรศมารดา | จะได้แจ้งกิจจาก็หาไม่ |
ข้าบอกป่วยอยู่ไม่ขึ้นไป | เฝ้าองค์ท้าวไททั้งสองกษัตรา |
อุทรก็ใหญ่ขึ้นทุกวัน | คิดพรั่นกลัวภัยเป็นหนักหนา |
แม้นสองพระองค์รู้จะโกรธา | ชีวาจะม้วยวอดวาย |
ยากเย็นเป็นไฉนไม่ขออยู่ | ให้อดสูแก่คนทั้งหลาย |
จะไปให้พ้นความอาย | สู้ตายที่ในพงพี |
ว่าพลางทางรํ่าโศกา | อนิจจาพระองค์มาหน่ายหนี |
นางแสนโศกศัลย์พันทวี | มารศรีดั่งจะสิ้นชีวาลัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อินทรีผู้มีอัชฌาศัย |
จึ่งปลอบให้ชอบพระทัย | ไปไม่ช้าจะพบพระภูมี |
แม้นเจ้าจะเสด็จไคลคลา | จงแต่งกายาเถิดโฉมศรี |
อย่าให้ทันรุ่งราตรี | สุริย์ศรีจวนจะแจ้งแสงพราย |
เห็นจะแสนลำบากยากใจ | ด้วยอโณทัยจำรัสฉาย |
เนื้ออ่อนจะร้อนสกนธ์กาย | ยังจะข้ามสายชลสมุทรไทย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเยาวยอดพิสมัย |
ค่อยระงับดับโศกโศกาลัย | ที่ในถ้อยคำนกอินทรี |
แล้วนางจึ่งมีสุนทร | จงท่าลูกก่อนแม่ปักษี |
จะไปเอาภูษาของภูมี | ที่เปลี่ยนไว้เมื่อพระหนีไป |
สั่งแล้วยุรยาตรคลาดคลา | เข้าห้องไสยาพิสมัย |
นางทรงโศกาอาลัย | ร่ำไรไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ โอ้พระชนกชนนีเจ้า | เคยปกเกล้าลูกได้กระเษมศรี |
มิได้สนองคุณพระพันปี | ลูกนี้จะพรากจากไป |
ถวายบังคมลาทั้งสององค์ | พระผู้ทรงพิภพเป็นใหญ่ |
เสวยสุขอย่ามีทุกข์ภัย | แม้นไม่บรรลัยจะกลับมา |
เพ่งพิศดูห้องไสยาสน์ | วรนาฏยิ่งโทรมนัสา |
แต่นี้จะเศร้าโรยรา | ตัวข้าจะร้างแรมไกล |
ฉากฉายลายตั้งบังระยับ | อัจกลับจะหม่นหมองไหม้ |
เครื่องทรงภูษาผ้าสไบ | เคยนับพับไว้ในห้องทอง |
ทั้งสายสะอิ้งกุณฑล | สังวาลสร้อยสนจะมัวหมอง |
ซบพักตร์ลงกับเขนยทอง | ร้องไห้สั่งห้องนางเทวี |
ยี่ภู่เขนยเคยสำราญ | โอ้นานจะมัวหมองศรี |
ล้วนแก้วแวววาวรูจี | ทีนี้จะเยียบเย็นใจ |
โอ้ฝูงกำนัลขันที | จะมีแต่ทุกข์ทนหม่นไหม้ |
เคยกระเษมเปรมทั่วอนงค์ใน | มิได้มีสิ่งอนาทร ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ ครวญพลางทางแต่งองค์ทรงเครื่อง | อร่ามเรืองดั่งเทพอัปสร |
ภูษิตวิจิตรอลงกรณ์ | ทรงสไบบวรเครือสุวรรณ |
สร้อยสนตาบประสานสังวาลเพชร | ทองกรกาบเก็จทับทิมคั่น |
ธำมรงค์รุ่งสลับกัน | มงกุฎแก้วแพรวพรรณรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึ่งหยิบภูษาพระภูวเรศ | มาทูนเหนือเกศเกศี |
แล้วเสด็จย่างเยื้องจรลี | ออกมาจากที่ไสยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึ่งมีมธุรสวาที | แก่แม่อินทรีราชปักษา |
พี่สันหยากับองค์อนุชา | ก็จะไปกับข้าทั้งสามคน |
เมตตาช่วยพาไปด้วยกัน | เป็นเพื่อนจรจรัลในไพรสณฑ์ |
จะได้ปรับทุกข์ร้อนผ่อนปรน | ดั้นด้นในป่าพนาลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปักษินจึ่งตอบนางโฉมศรี |
จะอาวรณ์ร้อนใจไปไยมี | แม่นี้จะพาเจ้าคลาไคล |
เจ้าจงดับความโศกี | สุริย์ศรีจวนจะแจ้งแสงใส |
ยังจะข้ามมหาสมุทรไทย | ช้าไปจะจวนเวลา |
จึ่งชวนสองกระษัตริย์ธิบดี | อีกนางนารีสันหยา |
ขึ้นนั่งบนหลังสกุณา | จงระวังกายาทั้งสามคน |
สั่งแล้วสำแดงฤทธา | ถีบทะยานผ่านมาเวหาหน |
บินร่าร่อนไปในลมบน | ด้วยกำลังฤทธิรณสกุณี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางประวะลิ่มโฉมศรี |
ปักษาพาไปด้วยฤทธี | โศกีดั่งจะสิ้นชีวา |
นางร้องด้วยสุรเสียงอันดัง | สั่งพระสนมถ้วนหน้า |
ช่วยทูลทั้งสองกษัตรา | สกุณาพาเอาเราไป |
ถวายบังคมลาเบื้องบาท | แม้นชีวาตม์ไม่ม้วยตักษัย |
จะกลับมาสนองคุณภูวไนย | อย่าได้โศกเศร้าโศกี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นร้องสั่งแล้วแคล้วเคลื่อน | ลับเลื่อนยอดปรางค์ปราสาทศรี |
ปักษินบินไปด้วยฤทธี | เร็วรี่ดั่งลมพัดพา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระสนมกรมในถ้วนหน้า |
ครั้นได้ยินเสียงนางกัลยา | ร้องมาบนยอดปราสาทไชย |
ต่างคนต่างขึ้นไปดู | เห็นโฉมตรูครวญครํ่าร่ำไห้ |
ทั้งนางสันหยาทรามวัย | ปักษีพาไปยังเมฆา |
ต่างคนต่างตระหนกอกสั่น | เห็นเป็นอัศจรรย์หนักหนา |
บ้างเข้าไปดูในไสยา | หัสรังปักษาก็หายไป |
ต่างปรึกษากันไปมา | เราจะนิ่งอยู่ช้าก็มิได้ |
จะไปทูลองค์พระทรงไชย | บัดใจก็ชวนกันขึ้นมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งกราบบทบงสุ์ | ทูลองค์บรมนาถา |
บัดนี้ยังมีครุฑา | เข้ามายังปราสาทมณี |
ลอบลักพระราชธิดา | กับสันหยาพี่เลี้ยงสาวศรี |
อีกทั้งหัสรังสกุณี | ฉวยฉาบคาบหนีบินไป |
เมื่อจวนจะรุ่งราตรี | เทวีโศกสร้อยละห้อยไห้ |
ร้องสั่งให้ทูลพระทรงไชย | ว่าพลางกำนัลในก็โศกา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตริย์สุริย์วงศ์นาถา |
ทั้งพระอุรังหงันอนุชา | ได้ฟังวาจากำนัลใน |
ให้ตะลึงตะไลไปทั้งองค์ | ปิ้มจะทรงพระกายไว้ไม่ได้ |
พระแสนโศกาอาลัย | ร่ำไรไห้รักพระบุตรี |
บิดาว่าโอ้เจ้าดวงเนตร | มาทุเรศไปจากบูรีศรี |
พระมารดาว่าเวรสิ่งใดมี | แต่นี้จะเห็นหน้าใคร |
อนุชาว่าโอ้พระพี่นาง | มาทิ้งขว้างน้องเสียก็เป็นได้ |
พระบิตุรงค์ว่าเจ้าทรงจำเริญวัย | พ่อมิให้ระคายราคี |
พระชนนีว่าหวังตั้งใจ | จะให้เจ้าเป็นปิ่นบูรีศรี |
อุรังหงันว่าพระองค์อารี | มิให้ขุ่นข้องวิญญาณ์ |
พระบิตุเรศว่าพ่อประหวั่นจิต | คิดว่าประชวรนักหนา |
พระมารดาข้อนทรวงเข้าโศกา | อนิจจาจากแม่ไปทั้งเป็น |
อนุชาว่าจะเป็นประการใด | ลำบากยากกระไรแสนเข็ญ |
พระบิดาว่าโอ้ทุกเช้าเย็น | พ่อเห็นพักตร์เจ้าค่อยคลายใจ |
สามกระษัตริย์วิโยคโศกศัลย์ | พ่างเพียงชีวันจะตักษัย |
ทั้งฝูงอนงค์นางใน | รํ่าไห้สิ้นทั้งปราสาททอง |
ทั้งนางพี่เลี้ยงข้าหลวง | ข้อนทรวงโศกาหม่นหมอง |
กลิ้งเกลือกครวญครํ่ารํ่าร้อง | แซ่ซ้องด้วยเสียงโศกี ฯ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ ครั้นว่าคลายความโศกศัลย์ | พระทรงธรรม์ผู้ผ่านกรุงศรี |
จึ่งมีพระราชวาที | แก่พระมเหสีนงคราญ |
อันเกิดเหตุการณ์ทั้งนี้ | ด้วยฤทธิ์สกุณีปักษาน |
จึ่งให้มืดมนอนธการ | ถึงสองครั้งในสถานธานี |
คิดเห็นเป็นอัศจรรย์นัก | ซึ่งสุบรรณมาลักนางโฉมศรี |
ทั้งสันหยาหัสรังสกุณี | ความนี้เป็นน่าสงสัยใจ |
แล้วท้าวมีราชบรรหาร | แก่โหราจารย์เป็นใหญ่ |
อันพระธิดายาใจ | หัสรังหายไปด้วยกัน |
จงคัดควรทวนเทียบชันษา | ที่ในลัคนาจอมขวัญ |
หรือว่าครุฑาอาธรรม์ | ผลาญชีพชีวันมรณา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โหรเฒ่ารับสั่งใส่เกศา |
ขนเอาคัมภีร์ออกมา | ดูห้วงเพลานาที |
ขับไล่ในดวงพระชันษา | ตามโชคลัคนาราศี |
แล้วกราบทูลพลันทันที | อันพระบุตรีนงคราญ |
พิเคราะห์ชันษานั้นร้ายนัก | จำจักจรจากราชฐาน |
จะได้ความร้อนรนทรมาน | ในพงดงดานพนาวา |
ครั้นถ้วนคำรบสามปี | เห็นดีในเกณฑ์ชันษา |
ได้คู่สู่สมภิรมยา | จะกลับคืนมายังเวียงไชย |
จะมีพระโอรสา | ฤทธาปรากฏในต่ำใต้ |
สกุณีอันมีฤทธิไกร | ก็จะได้กลับคืนมาพารา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวอุเรเซนนาถา |
ได้ฟังโหรเฒ่าพูดมา | ผ่านฟ้าค่อยคลายอาวรณ์ |
จึ่งมีมธุรสวาจา | แก่โฉมมะยุดาสายสมร |
เจ้าอย่าโศกาอนาทร | ถึงลูกรักซึ่งจรจากไป |
ไม่ช้าจะได้กลับมา | ครองไอศวรรยาเป็นใหญ่ |
ไปดีไม่มีเภทภัย | ทรามวัยอย่าทรงโศกี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งโฉมมะยุดามารศรี |
ได้ฟังบัญชาพระภูมี | ว่าพระบุตรีจะคืนมา |
นางระงับดับโศกโศกี | คลายคลี่เคลื่อนความโทรมนัสา |
ให้รำลึกตรึกถึงพระลูกยา | อยู่ทุกทิวาราตรี |
อันสาวสนมกรมใน | อาลัยถึงองค์นางโฉมศรี |
ไม่มีสุขทุกข์หน้านารี | ต่างโศกโศกีเป็นนิรันดร์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ